การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ


"It is more blessed to give than to receive"

บนโลกใบนี้ผู้คนต่างสาละวนกับเรื่องมากมาย ส่วนใหญ่ก็เกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต การเรียน การงาน ความรัก หลายครั้งที่เราได้มองข้ามสิ่งรอบตัวที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเรา แม้นจะเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสสำหรับบุคคลอื่น

พระธรรมสุภาษิตในพระคัมภีร์ไบเบิลได้กล่าวไว้ว่า "สิ่งที่น่าปรารถนาในตัวมนุษย์คือความเมตตา" โดยส่วนตัวเชื่อว่าความเมตตาเป็นสิ่งซึ่งซ่อนอยู่ในมนุษย์ทุกคน รอแค่การตัดสินใจที่จะนำออกมาใช้ปฎิบัติต่อผู้อื่นหรือไม่ ซึ่งแต่ละคนมีสิทธิที่จะเลือกได้ว่าจะทำหรือไม่

เมื่อราวเดือนเศษที่ผ่านมา ผู้เขียนได้ทราบข่าวคราวน้องที่สนิทคนหนึ่งซึ่งรู้จักกันมาตั้งแต่เด็กว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ได้ทำการผ่าตัดแล้วตรวจพบ วินาทีนั้นคำถามแรกที่ผุดขึ้นในใจคือ "ทำไม ทำไม และทำไม" ในเมื่อน้องเขาเป็นคนดี มีน้ำใจ ต่อสู้ชีวิตด้วยตนเองตามลำพังอย่างเข้มแข็ง ไม่เคยเบียดเบียนและไม่เคยมีจิตคิดร้ายต่อใครต้องมาพบกับเรื่องแบบนี้ แต่หลังจากกลับมาสงบนิ่งคิดอยู่หนึ่งวันเต็มๆ คำถามที่เราตั้งไว้แต่แรกก็เปลี่ยนไป ไม่มีประโยชน์ที่จะคิดหาเหตุผลว่าทำไม คำถามจึงเปลี่ยนเป็น "เราเองจะทำอย่างไร" เริ่มต้นที่ตัวเราเป็นอันดับแรก

ผู้เขียนเองก็มีภาระไม่ใช่น้อย ทั้งครอบครัวบริษัทและอีกหลายๆ อย่าง เหมือนคนอื่นทั่วไป ถ้าจะถืออ้างว่าภาระเราเยอะแล้วช่วยไม่ไหวก็คงจะทำได้ น้องเขาเองก็ไม่ได้เป็นคนบอกเราด้วยซ้ำ ทราบข่าวมาจากเพื่อนอีกทอดหนึ่ง มีสารพัดเหตุผลที่จะยกขึ้นมาเพื่อเพิกเฉยต่อการณ์นี้ แต่สิ่งที่ทำให้ไม่สามารถทำได้คือข้อพระคัมภีร์ดังกล่าวที่เตือนใจ หากเราเพิกเฉยปิดกั้น ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ชีวิตของคนๆ หนึ่งจะเป็นอย่างไร และถ้าทุกคนทำแบบเดียวกันนี้ สังคมจะเป็นอย่างไร มนุษย์จะยังคงเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าปรารถนาหรือไม่???

ความเมตตา....เป็นสิ่งยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่บุคคลหนึ่งจะกระทำแก่บุคคลอื่นได้ เมตตา... อา...คำนี้เหมือนง่ายแต่ช่างยากเข็ญ เพราะการที่จะเมตตาด้วยลมปากมันง่าย แต่เมตตาด้วยการกระทำนั้นต้องลงทุน ลงแรง และลงใจ เมื่อลุกขึ้นตัดสิ่งอื่นที่เป็นข้ออ้างได้แล้วลงมือทำ กลับเห็นว่าความเมตตานั้นช่างง่ายดาย และผลิดอกออกผลเป็นความสุขใจ ความเข้าใจชัดเจนในข้อพระคัมภีร์ที่ว่า "การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ" ผุดขึ้นมาในสมองทันที ความสุขที่แท้ไม่ใช่การซื้อมือถือใหม่ คอมใหม่ นาฬิกาใหม่ ไปเที่ยวต่างประเทศ กินดื่มอย่างเต็มที่ หรือแม้กระทั่งการทำสิ่งที่ชอบ แน่นอนที่สิ่งเหล่านั้นก่อให้เกิดความสุข แต่มันเป็นความสุขเชิงกายภาพชั่วคราว การให้ด้วยความเมตตาและความรักต่างหากเป็นความสุขแท้จริงที่เราสัมผัสได้ เบ่งบานอยู่ภายในจิตใจ


 

การให้อย่างไม่มีข้อแม้นำมาซึ่งสันติสุขภายในใจ และแผ่ขยายออกไปยังคนรอบข้าง เคยสังเกตกันบ้างไหมว่าเมื่อเราให้อะไรใครสักคนแบบที่ไม่หวังการตอบแทนมันช่างมีความสุขจริงๆ เช่น ให้ความปรารถนาดี ห่วงใย ให้กำลังใจ ให้เลือด ให้เงิน หรือแม้กระทั่งเรื่องเล็กน้อยอย่างให้คนอื่นนั่งแทนที่เราบนรถเมล์ สิ่งเหล่านี้ทำไมเราทำแล้วมีความสุข สำหรับตัวเองแล้วอยากจะบอกว่า...เพราะในใจลึกๆ ของทุกคนรู้ดีว่าการให้และความเมตตาต่อผู้อื่นเป็นสิ่งที่น่าพึงปรารถนาในตัวมนุษย์นี่เอง



ปล. ขณะนี้น้องซีกำลังทำการรักษาด้วยคีโมอยู่ที่โรงพยาบาลจุฬา พรุ่งนี้จะเข้ารับยาเป็นครั้งที่สอง ต้องทำทั้งหมด 12 ครั้ง ขอบคุณหลายท่านใน G2K ที่ได้ให้การช่วยเหลือก่อนหน้าเมื่อทราบเรื่องจากอนุทิน เป็นการให้อย่างไม่มีข้อแม้ใดๆ เพราะไม่แม้กระทั่งรู้จักกับน้องเขาแต่ก็ให้ น้องซีซาบซึ้งในน้ำใจมาก นอกจากเงินทองที่ช่วยเหลือกันในยามยากแล้ว กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้เรื่องเงินซึ่งผู้ที่ช่วยก็ฝากความปรารถนาดีและห่วงใยไปให้ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่งดงามที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาในสังคมออนไลน์ ขอบคุณอีกครั้งและอีกครั้ง มากมายกว่าคำพูดจะบอกได้หมด เรื่องนี้ไม่ได้บอกน้องก่อนว่าจะมาเขียน แต่มันวนเวียนอยู่ในใจมาหลายสัปดาห์ จนวันนี้สุกงอมจึงนำมาถ่ายทอดให้ทราบกัน 

ปล.2 บันทึกนี้ต้องขอออกตัวก่อนว่าไม่ได้มีเจตนาหรือจุดประสงค์ที่จะมาเรี่ยไรเงินช่วยเหลือใดๆ ทั้งสิ้น เนื่องจากทางเพื่อนๆ พี่ๆ ได้ดำเนินการช่วยเหลืออยู่แล้ว ถามว่าพอรักษาหรือยังก็ยังไม่ แต่มีความหวังใจลึกๆ ว่าความเมตตาและการให้จะยังมีมาให้กับน้องเขาเรื่อยๆ จากคนรู้จัก ...บันทึกนี้เพียงแต่อยากเล่าแบ่งปันกันเท่านั้นค่ะ : )

หมายเลขบันทึก: 265287เขียนเมื่อ 2 มิถุนายน 2009 19:59 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 20:50 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (15)
  • ให้ด้วยใจบริสุทธิ์
  • ให้ด้วยเมตตา

ขอบคุณค่ะคุณ berger นั่นคือใจหลักของการให้ที่ทำให้เกิดความสุข คือ ให้ด้วยใจบริสุทธิ์ เมตตา และกอปรด้วยความรัก : )

เรื่อง การให้นี่ พี่เองเป็นคนตัดสินใจเร็ว ถ้ามีเหตุอันสมควร ก็ไม่ลังเลเลยค่ะ ไม่ว่า จะเป็นการให้มาก ให้น้อย และก็ไม่ใช่ให้เพราะความเกรงใจด้วย คือ เต็มใจให้จริงๆ และก็ไม่หวังว่า ผู้ที่ได้รับ จะต้องมาเป็นกังวลอะไร
ถ้าเป็นการทำบุญ ก็จะทำบุญเพราะ ความศรัทธา และเลือกของอย่างประณีตไปทำบุญ แต่ไม่ได้หวังว่า จะต้องได้บุญตอบแทน และมักไม่ค่อยอธิษฐานอะไรด้วย  ที่สำคัญคือ ทำบุญหรือ ให้ ตามกำลังของตัวเองค่ะ

และพี่คิดว่า "การให้" ที่จะทำให้ ทั้งผู้ให้ และผู้รับปลื้มใจ คือ  กาลทาน   = การให้ที่ถูกจังหวะเวลา คือ ผู้ให้ก็พร้อมจะให้ และผู้รับก็กำลังอยู่ในเวลา ที่เขากำลังต้องการอยู่พอดี

ถ้าเราไปให้คนที่เขามีเหลือเฟือ คงไม่ค่อยเกิดประโยชน์อันใดค่ะ
สำหรับน้องซี พี่ขอส่งกำลังใจ ส่งความปรารถนาดีอย่างจริงใจไปให้เขาด้วย ให้เขาได้พบกับหมอดีๆ  เอาใจใส่คนไข้  ให้ยาถูกโรค ให้อาการบรรเทาอย่งรดเร็ว และแข็งแรง  จนหายดีในที่สุดนะคะ จะคอยฟังข่าวค่ะ

ขอบคุณมากค่ะพี่ศศินันท์ทั้งความช่วยเหลือและความปรารถนาดี จะมาอัพเดทข่าวคราวเป็นระยะค่ะ พรุ่งนี้ก็จะหาเวลาไปดูน้องที่โรงพยาบาลสักหน่อย นัดไว้แล้วก็นัดเพื่อนที่เป็นพยาบาลที่นั่นไว้ด้วยค่ะ : ) จะนำคำพูดพี่ไปส่งให้ถึงที่ด้วยตัวเอง ^ ^

เห็นด้วยกับ คคห ของพี่ศศินันท์ทุกประการ
ดีใจที่มีคนคิดเห็นเหมือนเราเคยนั่งคุยกับเพื่อนรัก "ให้"

เป็นบันทึกที่มีแต่ รับ วัตถุดิบที่มีคน ให้ มา

(อ่านหลังไมค์แล้วค่ะ)

พี่หมอเล็ก: เหอๆๆ แหม...ประหยัดเวลาตอบนะพี่ แต่ก็ไม่ผิดที่คิดเห็นเหมือนกัน : P เพราะสิ่งที่พี่ศศินันท์เขียนไว้ก็น่าสนใจค่ะ "การให้ที่ถูกจังหวะเวลา คือ ผู้ให้ก็พร้อมจะให้ และผู้รับก็กำลังอยู่ในเวลาที่เขากำลังต้องการอยู่พอดี" ลงตัวทั้งสองฝ่าย

แต่การให้ที่น้องหมายถึงไม่ใช่เรื่องเงินเพียงอย่างเดียว การให้นั้นเราสามารถทำได้หลายรูปแบบ ซึ่งถ้าต้องให้เงินทองแล้วเบียดเบียนตัวเองก็ไม่เหมาะ สามารถให้กำลังใจ ให้การดูแล เซอร์วิสเล็กน้อย หรือให้เวลาพูดคุย นั่นก็เป็นสิ่งที่ทำได้เช่นกัน เรื่องการให้นี่พูดแล้วคิดถึงหนังเรื่องนึง เลยไปยืมโครงสร้างรูปเขามา คือเรื่อง "Pay it forward" มีองค์กรนี้จริงๆ ด้วยค่ะ

การให้เป็นสุขกว่าการรับแน่นอนครับ

ผมเป็นผู้ให้เป็นส่วนใหญ่ มีรับบ้างเป็นบางครั้ง แต่เมื่อไหร่ที่เราให้เราจะมีความโปร่งโล่งสบาย แถมไม่เคยบันทึกไว้ด้วยว่าช่วยใครที่ไหนอย่างไรและเมื่อไร ดังนั้นเวลาจะขอความช่วยเหลือก็มักจะไม่ค่อยรู้ว่าจะขอจากใคร

แต่เวลาเราเป็นผู้รับ เราก็จะติดอยู่กับคำว่าบุญคุณ

ลิตเติ้ลแจ๊ส เป็นผู้ให้ การให้โดยที่เขาไม่ได้ร้องขอเพราะอาจจะไม่กล้าร้องขอ แต่การให้ที่ตรงกับความต้องการยิ่งทำให้ผู้รับมีความรู้สึกดีต่อมนุษย์ด้วยกันในสังคมครับ

ท่านอัยการ: การไม่จดจำว่าได้ทำอะไรให้คนอื่นเป็นการดีค่ะ เพราะว่าเป็นการให้โดยไม่มีเงื่อนไขว่าคนนี้เราช่วยแล้วต้องมาตอบแทน หรือคนนั้นเคยช่วยเขาแล้วต้องเกรงใจเรา แบบนั้นมันหวังผล ถ้าช่วยคนแล้วต้องคาดหวังอย่างนี้อย่าช่วยจะดีกว่า ทรมานทั้งผู้ให้และผู้รับเพราะมีความคาดหวังตั้งไว้ก่อนล่วงหน้า : ) การให้ในที่ถูกที่ควร ถูกทั้งบุคคล เวลา สถานที่ โอกาส เป็นการให้ที่ลงตัวที่สุดค่ะ

สวัสดีครับ

เห็นด้วยครับ การให้เป็นสุขกว่าการรับ

สวัสดีค่ะ

  • ขอเป็นกำลังใจให้น้องได้รับการรักษาที่ดีและหายด้วยค่ะ
  • การให้..มีคุณค่าเสมอค่ะ
  • ผู้ให้ย่อมผึ่งผาย..ผู้รับย่อมนอบน้อม..

ขอบคุณทุกท่านค่ะ ทั้งอ.เพชรากร ครูคิมและคุณเกษตร (แอบตกใจไซส์มะม่วง ใหญ่จนน่ากลัว)

เป็นเพื่อนซี ครับ ขออนุญาต ดึงบางส่วนไปบล็อก ที่ คริสตมาส www.plajazz.com นะครับ

การให้และการรับกับมนุษย์ บริสุทธิ์จิตก่อส่อเหตุผล เจตนาปลอดโปร่งหรือโกงกล จะส่งผลเป็นสุขหรือทุกข์ตาม ควรให้ด้วยเมตตาปราถนาดี สิ่งควรรับได้มีไม่บุ่มบ่าม มิตรจิตรมิตรใจให้งดงาม คือนิยามการรับ-ให้ไว้ตรองดู/ดร.อนันท์

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท