เช้าวันสุดท้าย นัดรวมพลเด็กๆ เวลาแดดอ่อนยามเช้า เพื่อนำไปเรียนรู้ถีชีวิตของชุมชน ที่ตลาดเก่า"คลองท่าคา" เช้าวันนี้อากาศสดชื่นแจ่มใสดี และตรงกับวันนัด 7 ค่ำ พอดี ชาวบ้าน รุ่นราวคราวเดียวกับ ปู่ ย่า ตา ยาย และลุง ป้า นา อา ต่างพายเรือนำของจากสวน มาขายกันตั้งแต่เช้า ข้าวปลา อาหารแห้ง พืช ผัก ผลไม้ราคาถูก มากมาย มีให้เลือกซื้อหาตามวิถีชาวสวน
เด็กๆต่างตื่นเต้นกับวิถีของชุมชน ที่ดำเนินไปแบบธรรมชาติ กลมกลืนและเป็นกันเอง "เตรียมพร้อมลงเรือพายได้แล้ว" เสียงเรียกจากโทรโข่งดังขึ้น เรือพายที่นัดไว้ก็มารอที่ท่าเรือเพื่อออกเดินทางแล้ว "วันนี้จะไปเส้นทางคลองท่าศาลา คลองท่าคา" คือ คำชี้แจงของทีมงานที่บอกกับเด็กๆ ด้วยกำลังของฝีพายชาวบ้านที่มีความชำนาญ ไม่ช้าก็นำเด็กๆมาถึงเตาตาลโบราณกลางสวนมะพร้าว ท่ามกลางกลิ่นไอหอมฟุ้ง ของน้ำตาลที่กำลังถูกต้มด้วยแรงฟืนไฟ จากเชื้อเพลิงธรรมชาติในสวน เรื่องราวของน้ำตาลมะพร้าว จึงถูกถ่ายทอดสื่อความหมายของชีวิตชาวสวนมะพร้าว เล่าเรื่องจากชีวิตจริงของ ลุงจรูญ ชายวัยชราที่ผ่านประสบการณ์ชีวิต ตามวิถีถิ่นดั่งเดิมของคนเมืองสามน้ำ มายาวนาน เมื่อทราบซึ้งในเรื่อง "กว่าจะเป็นน้ำตาลมาพร้าว" จบจึงลงเรือพายกันต่อด้วยความสนุกสนาน และเสียงหัวเราะที่ดังไม่ขาดสายตลอดทาง เต็มอิ่มด้วยความสุขใจกับบรรยากาศ ผ่านมาถึงร่องสวนมะพร้าวและบ้านไทยริมคลอง ตามรอยเส้นทางเสด็จประพาทต้น ร.5 เพื่อไปรับฟังเรื่องเล่าในอดีตที่บ้านกำนันจัน กับเรื่องราว ของการเลิกทาส ณ บ้านท่าคาแห่งนี้ โดยมีหญิงวัยชรา รุ่นหลาน เจ้าของบ้านบอกเล่าเรื่องความทรงจำในอดีต อย่างรู้คุณค่าความดีงาม
เรือพายจอดเทียบท่าน้ำตลาดท่าคาแล้ว อาหารมื้อเที่ยงสุดท้าย คือกิจกรรมที่ให้เด็กๆได้เลือกซื้อของกินจากเรือในคลองโดยมีเมนูอาหารพื้นบ้านสุดแสนอร่อย มากมายที่ชาวบ้านพายเรือมาเร่ขาย เช่น ก๋วยเตี๋ยวเรือน้ำแดง(สูตรโบราณ) ก๋วยจั๊บ หอยทอด ข้าวเหนียวหมูปิ้ง แกล้มอาหารหวานด้วยข้าวเหนียวมะม่วงตามฤดูกาล
กิจกรรมการจับจ่ายใช้สอย แบ่งปันจึงเริ่มขึ้นอย่างสนุกสนานเป็นภาพที่ประทับใจ ก่อนจะเดินทางกลับที่พัก
สุดท้ายก่อนลาจากค่าย การสรุปผลความแตกต่าง กับการใช้ชีวิตในสังคม เพื่อการเรียนรู้และนำไปใช้ในชีวิตจริง ของเด็กๆ นักศึกษา และผู้ปกครอง เป็นเรื่องที่ต้องเก็บความประทับใจ ในความผูกพัน ด้วยความรัก และความใส่ใจกับชีวิตที่ยังต้องดำเนินต่อไป ภายใต้สังคมปัจจุบันที่มีสภาพแวดล้อมเสี่ยงต่อการหลงผิดของเด็กๆ
แรงศัทธาที่จะทำความดี ของกลุ่มนักศึกษาหนุ่มสาววัยใสกลุ่มนี้ ที่เต็มเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่น ตั้งใจจะรับใช้สังคม
ในห้องเรียนโลกกว้าง บทเรียนที่มีค่าคือประสบการณ์ ที่ได้พบเห็นและสัมผัสจากการกระทำอย่างตั้งใจ ถึงแม้จะเป็นเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่ความแข็งแกร่งของจิตใจของพวกเขา และสายใยของความผูกพัน ระหว่างเด็กๆ นักศึกษา และผู้ปกครอง คงมิได้จบเพียงแค่ คำมั่นสัญญาว่า จะเป็นคนดี ด้วยคำพูด แต่ทางจิตใจนั้น แสดงให้เห็นด้วยน้ำตาที่รินไหล เป็นคำสัญญาจากใจว่าจะก้าวเดินไปด้วยกัน
ผมในฐานะของผู้เฝ้ามองดู และเขียนบันทึกเรื่องราว ”ศรัทธากับแสงหิ่งห้อย” ในความหมายที่ว่า “แสงของหิ่งห้อยตัวน้อยๆ เมื่อรวมกันอยู่เป็นกลุ่ม พลังของแสงนั้นจะมีค่าน่ามองเสมอ" คือบทสรุปของกิจกรรมดีๆ ที่เกิดขึ้นที่นี่ "แม่กลองแคมป์"
อ้าว....
อ้าว...
อ้าว..
อ้าว.
เป็นชาว G2K เหมือนกันก็ไม่บอก
ปั๊ดโถ่...
ยินดีต้อนรับสู่บ้านหลังนี้ครับ
เห็นพี่ใช้คุยกัน น่าสนุกครับก็เลย ลองส่งมาให้อ่านบ้าง "พอดีผมมีเรื่องเล่า มากมาย จากแม่กลอง ก็เลยอยาก ส่งให้อ่านสนุกๆ ครับ" ขอบคุณครับ
เยี่ยมเลยครับ...
ส่งมาโลด มีคนรออ่านเพียบ...
สวัสดีค่ะ..
ขอบคุณครับ
" ความสุขอยู่ที่ใจที่ได้ทำครับ "
ตื่นเต้นๆๆ เจอบันทึกนี้ ตามพี่เกียรติมาติดๆๆครับ
สวัสดีค่ะ...ตามน้องหนานเกียรติและน้องดร.ขจิตมาชมหิ่งห้อยค่ะ....เอากลอนกระท่อนกระแท่นมาฝากด้วย....
สวัสดีค่ะ
เด็ก ๆ ได้รับประสบการณ์การเรียนรู้ที่คุ้มค่ามากนะคะ ขอขอบคุณและขอเป็นกำลังใจให้ตลอดไปค่ะ
ด้วยความคิดถึงน้อง ๆค่ะ
ตามคุณหนานเกียรติที่ไปชวนคุณครูคิมมาค่ะ
ไม่ผิดหวัง ดีจังเลยค่ะ
ขอบคุณค่ะ
ขอคุณทุกท่านนะครับ ผมก็เพียง อยากเขียนเรื่องเล่าสู่กันฟังจากเหตุการณ์ที่ได้สัมผัสมาด้วยความรู้สึกทั้งกายและใจ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ มือใหม่ ครับ
ตามมาอ่านตอนจบค่ะ ^O^
เรียนรู้ธรรมชาติและวิถีชีวิตผู้คนอย่างลึกซึ้ง คงจะทำให้น้องๆ ในแคมป์ได้มองอะไรได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น
แม้เวลาในการทำกิจกรรมจะไม่นาน แต่เชื่อแน่ว่ากิจกรรมในครั้งนี้คงจะประทับอยู่ในความทรงจำของน้องๆ ไปอีกนาน
ขอบพระคุณสำหรับเรื่องเล่าดีๆ นะคะ
ขอบคุณเช่นกัน ครับ คุณblue star