ตำนานพระศรีอาริย์กลางศาสนา ๓


 

สงครามแย่งภูเขาทอง

เมื่อปรากฏภัย ๑๐ ประการหนาแน่นขึ้นก็จะปรากฏผู้เฒ่าผมขาวหนวดเครายาวขี่ม้าขาวเหาะลอยมายังท่ามกลางเมืองเชียงใหม่ นั่นคือองสมเด็จพระศรีอริยะเมตไตรยมาปรากฏเป็นที่พึ่งแก่โลกแล้ว อย่าสงสัยเลย

หลังจากนั้นไม่นานขุมทรัพย์ทั้ง 4 ของพระศรีอาริย์ก็จะปรากฎเกิดขึ้นในสุวรรณภูมิ ระหว่างเชียงราย ฝาง เชียงใหม่ ลำพูน เพราะขุมทรัพย์อันมหาศาล คือแก้วแหวนเงินทองจะระเบิดออกในภาคเหนือของประเทศไทย ดอยเงินดอยคำและเพชรนิลจินดาจะแตกออกทั้งลูกดอย และจะมีหลายลูกด้วยกัน กองทัพจะเข้าแย่งชิงสมบัติเหล่านี้ มืดมัวไปทั้งสี่ทิศ ทหารของชาติต่างๆ จะล้มตายไปถึง 3 ใน 4 ส่วน คงเหลืออยู่เพียงส่วนเดียวเลือดจะไหลนองเป็นห้วยน้อย จนถึงกับพวกหนูต้องว่ายข้ามต่างก็จะยิงกันจนเหลวแหลก เพราะโลภตัณหา จะรบกันถึง 7 ชาติ แต่ขุนศึกสำคัญนั้นมี 3 คน คือพญาลายตีนเป็นกงจักร พญาแขนสั้นราว (คืนแขนสั้นข้างยาวข้าง) พญาลิ้นกาฬ (ลิ้นดำ) ในตำนานพระศรีอาริย์จุติ ซึ่งพระอิศวรผู้เป็นเจ้าไปนิมนต์มาเกิดนั้นกล่าวไว้เป็นปัญหาว่า"ฤทธิ์เดชของพระยาแขนสั้นยาวนั้นมากมายเหลือหลาย เหล็กกลม 7 กำยาว 4 ศอก นั่งหย่องเยาะ เอามือซ้ายขว้างไปไกลได้ถึง 7 - 8 ไร่นา" ผู้เขียนขอวิจารณ์ว่า "เหล็กกว้าง 7 กำยาว 4 ศอกนั้นคงไม่ใช่เหล็กธรรมดา คงเป็นลูกระเบิดขนาดใหญ่นั่นเอง" แก้วแหวนเงินทองนั้นใครๆ ก็อยากได้ด้วยกันทุกคน ถ้ามันมีมากขนาดเท่าภูเขาเลากา และมันเกิดประเทศใด ประเทศนั้นก็ต้องตกเป็นจุดยุทธศาสตร์ขนาดล้างโลก และนั่นก็เป็นวันตัดสินโลก(Doomsday) ได้มาถึงแล้วโดยไม่มีปัญหา

พระศรีอาริย์ นารายณ์ปราบสงครามล้างโลก

พอถึงวันคำรบ 8 ซึ่งเป็นวันรุ่งสางสว่างแจ้ง ฝูงมนุษย์ที่เหลือจากความตายด้วยภัยสงครามก็พากันร้องไห้ระงมถมทึก แทบว่าจะไม่เป็นเสียงมนุษย์ เพราะจะมองไปทางใดก็พบแต่ซากศพของคนตาย เช่น ลูกตายพลัดพ่อแม ่พ่อแม่พลัดลูก ผัวตายเมีย เมียตายพลัดผัว ญาติมิตรที่ต้องตายพลัดตายพรากจากกัน เหลือที่จะนับคณา เพราะวันตัดสินโลกได้ผ่านไปแล้ว พร้อมกับมนุษย์ที่ชั่วร้าย คงเหลือแต่มวลมนุษย์ที่เชื่อในคำสั่งสอนของพระศาสนา ซึ่งมีเมตตาภาวนาเพื่ออยู่สืบโลกและศาสนาต่อไป

ในวันที่รุ่งแจ้งซึ่งความมืดได้ฉุดกระชากลากพาเอาวิญญาณร้ายผ่านพ้นไปแล้วนั้น กองทัพอากาศของพระศรีอาริย์บรมจักร พร้อมด้วยเทพเจ้าบนสวรรค์ก็เคลื่อนขบวนเวชยันตรถทิพย์เลื่อนลอยไปโดยทางนภากาสเวหา เพลงสวรรค์ซึ่งคนธรรพ์ทั้งหลายอันมีปัณจสิกขคนธรรพเทพบุตรเป็นหัวหน้า ก็ดีดสีตีเป่าสะท้านหวั่นไหวไปพร้อมกับกองทัพนั้นด้วย ฝูงเทพเจ้าทั้งหลายก็โปรยข้าวตอกดอกไม้ทิพย์เกลื่อนกลาดไปทั่วแผ่นดินที่ผ่านไป ครั้นแล้วกองทัพพระศรีอาริย์ก็หยุดลอยอยู่เหนือดอยสุวรรณคีรี ซึ่งกองทัพมนุษย์กำลังพิฆาตฆ่าฟันกันตายเหมือนใบไม้ร่วง เมื่อกองทัพเหล่านั้นได้ยินเสียงอึกทึกโกลาหลอยู่เบื้องนภากาศ และร้อนรุ่มกลุ้มใจไปด้วยไฟพิษ ซึ่งหมู่มวลนาคราชได้พ่นออกจากปากเป็นประกายอยู่ทั่วไป ทางเบื้องซ้ายก็กัมปนาทหวาดหวั่นไหวด้วยแสงอาวุธของมวลยักษ์ ตะบองใหญ่เท่าลำตาลก็กวัดแกว่งเป็นเปลวไฟ ทหารที่ทนได้ก็ทนไป ที่ทนไม่ได้ก็สลบล้มลงไป ด้วยความร้อนสุดที่จะทนทาน อิทธิฤทธิ์ของทหารผีกระทำปาฏิหาริย์อยู่ครู่เดียว ทหารมนุษย์ก็กลิ้งทูต ระเนระนาดตามกันลงไป ร่างกายสั่นเทาเหมือนผีสิงสิ้นหมดทั้งกองทัพ พลันก็มีเสียงคำรามลั่นลงมาจากฟากฟ้าแทบว่าแก้วหูจะแตกตาย

" อะโห! มาริสสา- มาริสสาดูก่อนทะแกล้วทหารผู้ใจบาปหยาบช้าทั้งหลาย!พวกสูจะมารบราฆ่าฟันกันตายด้วยเหตุผลกลใด? ขุมทรัพย์อันใหญ่หลวงที่เกิดขึ้นนี้ หาใช่เป็นสมบัติของพวกสูทั้งหลายหรือผู้ใดไม่ดอก! หากเป็นสมบัติของพระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์ในรถนี้ ซึ่งจะมาดำรงตำแหน่งบรมจักรอันประเสริฐ เพื่อจรรโลงโลกไปสู่สันติสุขและสันติภาพอันเที่ยงแท้! เลิก- เลิกรบกัน !เลิกรบกันเว้ย!! ประเดี๋ยวตายโหงหมดเอ้า! ไม่เชื่อก็ลองไปดู!!" พระอิศวรผู้เป็นเจ้าได้สำแดงเสียงอยู่บนศรีษะทหารมนุษย์ อย่างเอาเป็นเอาตาย แล้วเปล่งสิงหนาทสืบต่อไปว่า

วันตัดสินโลกได้เริ่มมาถึง 7 วันแล้ว(อาจเป็น 7 อาทิตย์แล้ว)วันนี้เป็นวันคำรบ 8 ( อาจเป็นอาทิตย์ที่ 8 ) โลกสว่างแล้ว! สงครามครั้งสุดท้ายได้เสร็จสิ้นไปแล้ว คนบาปทั้งหลายได้ถูกความมืดกลืนกินไปหมดแล้ว นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ตูข้าจะสร้างอาณาจักรสัมมาทิฏฐิให้พวกสูทั้งหลายอยู่ดีกินดีกันทั่วไป

พระอิศวรเจ้าฟ้าตะคอกขู่จู่โจมเสียงนั้นสะท้านเหมือนฟ้าผ่า ได้ยินตลอดไปทั่วทั้งกองทัพแม้พวกจอมทัพจอมขุนศึกทั้งหลายก็พากันตกใจ เหมือนหัวจะแตกลงในยามนั้น พญาลายตีนเป็นกงจักร พญาแขนสั้นยาว พญาลิ้นกาฬฯลฯ ต่างก็พากันส่งสัญญาณให้กองทัพของตนถอนกลับไปสู่บ้านเมืองสิ้นด้วยกัน ครั้นแล้วพระอิศวรเป็นเจ้าก็บันดาลฝนห่าใหญ่ตกลงมาถึง 7 วัน 7 คืน ท่วมท้นซากศพเหล่านั้น ลอยไปลงทะเลจนหมดสิ้น คงเหลือแต่พื้นดินป็นปรกติ อนึ่ง ก็เป็นธรรมดาสงครามที่ล้างโลก จะต้องบังเกิดมรสุมทำลายความชั่วช้าเลวทรามของมนุษย์ที่กระทำขึ้น แล้วฝูงมนุษย์ก็จะต้องเป็นทายาทรับกรรมนั้นๆ หาใช่ผู้ใดหรือพระเจ้าองค์ใดมากระทำขึ้นให้ไม่ ก็เมื่อมนุษย์พากันฝ่าฝืนคำสอน พระเจ้าหาใช่ทาสของมนุษย์ดังที่บางคนเข้าใจกัน

พระศรีอาริย์ห้ามทัพตะวันออกเฉียงใต้ตำนานพุกามทำนายว่าเมื่อปรากฏแล้วพระอาริย์ธรรมิกราช พร้อมด้วยพระอิศวรเจ้าจะเสด็จไปห้ามทัพตะวันออกถึง 2 ครั้ง ไปโดยทางฟ้าและกองทัพฟ้าของเทวดาเป็นหมู่รี้พล

ลักษณะพระศรีอาริย์

ผู้มีบุญนั้นเป็นคนหลายเชื้อชาติ เกิดในปีขาล บ้านเกิดอยู่ปลายหล้าน้ำ ที่เกิดมีเรือน๓หลัง ทางตะวันออกมีลำคลอง ทางตะวันตกมีภูเขารูปร่างคล้ายครกกระเดื่อง บิดามารดาเป็นชาวนาและช่างทอหูก เมื่อเริ่มเติบใหญ่ได้ศึกษาศิลปวิทยาการต่างๆแล้ว บัดนั้นไปก็บวชๆสึกๆอยู่๗หน เคยบวชเป็นฤาษีชีป่า

เมื่อบวชอยู่เพื่อนนักบวชก็รุมชัง เมื่อสึกออกมาเป็นฆราวาส ฆราวาสก็รุมชัง สมณะชีพราหมณ์ตลอดจนฝูงท้าวพระยาที่มีใจหนาแน่นไปด้วยบาปต่างก็ไม่คบค้าสมาคมด้วย อยู่ที่ไหนไม่มั่นพลันหนีเพราะมีศีลธรรมและความประพฤติผิดกับคนทั้งหลาย จึงคบค้าสมาคมกับคนที่มีใจบาปหยาบช้าไม่ได้นาน

เมื่อเป็นทารกนอนดั่งลิงลม เมื่อบวชเรียนอยู่นอนดั่งนกกาน้ำ เมื่อสึกออกมาเป็นฆราวาสแล้วนอนดั่งพญาช้างสาร และเมื่อปรากฏเป็นพระเจ้าบรมจักรธรรมิกราชแล้ว นอนดั่งพญาสีหะ

ตำหนิรูปพรรณสัณฐานนั้น รูปร่างลักษณะท่าทางเหมือนดังครุฑ จมูกดังยักษ์ ใบหน้าดังครุฑ มีฟันเหมือนฟันม้า ตัวกลม ตาลึก ท้องใหญ่เล็กน้อย อกเต็ม ไหล่ขด มือและเท้ายาว นิ้วมือเบื้องซ้ายกิ่วคอดเป็นแผลเป็นหนึ่งแห่ง ที่ไหล่ซ้ายมีขนยาวหนึ่งเส้น ฝ่าเท้าเบื้องขวามีปานแดง บนศีรษะมีแผลเป็นลักษณะไม่สูงไม่ต่ำไม่ดำไม่ขาว สีผิวเนื้อขาวเหลือง ยามเจรจามีเสียงแลบออกจากไรฟัน พูดจามั่นเที่ยงไม่กลับกลอก กระแสเสียงแจ่มใสไพเราะและก้องกังวาน

เมื่อบวชอยู่ในเพศบรรพชิตนั้นมักมีรัศมีพุ่งออกจากศีรษะเสมอ และมักมีดวงแสงสว่างขนาดลูกมะพร้าวบ้าง ส้มบ้าง เป็นท่อเป็นลำยาวบ้าง ปรากฏแก่สายตาประชาชนอยู่ไม่ขาด นอกจากนั้นก็มักมีเสียงดนตรีและฆ้องกลองประหลาดที่ไม่เห็นผู้บรรเลงปรากฏอยู่ครึ้มเครือ

มีปัญญาดุจมโหสถ มีความเพียรดุจมหาชนก มีสัจจะดั่งวิธุรบัณฑิต มีขันติดุจขันติวาทีดาบส มีความกล้าหาญดุจสุรยักษ์ มีใจเบาและรวดเร็วดังลิงลม มีไมตรี รักคนใจบุญและสัตย์ซื่อ เมตตากรุณาต่อคนทุกข์ไร้อนาถา ไม่ถือตัวไม่ถือชั้นวรรณะ แก่กล้าด้วยศีลและทานจนตกทุกข์ได้ยาก
เมื่อเริ่มจะปรากฏเป็นที่พึ่งแก่โลกนั้นจึงได้นามสมัญญาอีกอย่างว่าทลิททกธรรมิกราชาคือ พระราชาผู้เข็ญใจไร้ทรัพย์

บางตำนานกล่าวว่า ท่านจะปรากฏเป็นที่พึ่งแก่โลก เมื่อมีอายุได้๔๙ปี  บางตำนานว่า๕๕ แต่กรมพระยาดำรงราชานุภาพ กล่าวว่า น่าจะเมื่อท่านมีอายุได้ ๕๒ปี.

นอกจากที่กล่าวแล้วนั้น ในตำนานยังมีกล่าวถึงพิธีมุรธาภิเษกพระศรีอารย์ขึ้นเป็นพระราชาของเมืองใหม่ ซึ่ง จะจัดกันขึ้นที่จอมดอยฮด(ดอยรดน้ำมุรธาภิเษก) ในเขตเชียงใหม่  ซึ่ง หมู่เทวดาเป็นผู้จัดพิธีขึ้น

ในหนังสือพระศรีอารย์ ของ ส.พลายน้อย  กล่าวว่า พระศรีอารย์จะได้ม้าแก้วจากดอยดินแดง ในเขตเมืองฝาง. (ซึ่งก็ไม่ทราบว่า เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ผู้เฒ่าผมขาวหนวดยาว ขี่ม้าขาวนั้นด้วยหรือเปล่า)

อันนี้เขียนขึ้นจากที่ทรงจำได้  ส่วนเรื่องราวที่ยกขึ้นมาประกอบนี้ เห็นจากที่เขาเขียนกันในกระทู้ต่างๆในบางเว็บ จึงได้ก๊อปมาใช้อ้างอิงไว้ ให้ได้อ่านด้วยกัน

(หาอ่านเพิ่มเติมได้จาก หนังสือพระศรีอาริย์เจ้าโลก โดยรหัสยญาณ สำนักพิมพ์ลานอโศกเพรสกรุ๊ป โรงพิมพ์สหธรรมิก)

จากตำนานพระศรีอารย์นี้ ทำให้ข้าพเจ้าจินตนาการถึงเมืองกุสาวดีได้มากยิ่งขึ้น โดยการนำคำบรรยายเมืองใหม่ของจากทั้งสองเรื่องราวมาผสมผสานกัน แล้วก็เขียนขึ้นมาเป็นผังเมืองกุสาวดีราชธานี แบบลูกผสม.

 

หมายเลขบันทึก: 154060เขียนเมื่อ 17 ธันวาคม 2007 00:49 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 มิถุนายน 2012 14:40 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

ครั้งหนึ่งเคยสัญญา         จำได้

ความรักน้ั้นยิ่งใหญ่          มากมี

ให้ด้วยบริสุทธิ์ใจ              แด่เธอ  (สัตว์โลก)

ประหนึ่งว่าโลกนี้้              ดับไป   นิรันดร 

ดีครับที่หาข้อความดีมาลง เพื่อให้ทุกคนมุ่งทำความดีเพื่อจะได้รอดปลอดภัยจากภัยต่างๆ

แต่เคยอ่านมานานแล้วมีข้อมูลมากกว่านี้นะครับ

ข้อมูลพระศรีอาริย์ตัวจริงออกมาแล้วมีหลักฐานรับรอง ลองไปอ่านดู พิสูจน์กัน

https://plus.google.com/103131528013540102195

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท