เรียนรู้ชีวิตกลางคืน...ผ่านบาร์อะโกโก้


เธอไม่ผิด...ผมตอบตัวเองแทนเธอ เธอก้าวผ่านความอับอาย ก่อนที่ตัดสินใจเลือกทางเดินของเธอเอง

คืนหนึ่ง..(สมัยเรียน ปริญญาตรี) สองคนเพื่อนซี้ ตะลุยราตรี..เมืองเชียงใหม่

เราไม่ได้คิดไว้ว่าเราจะไปที่ไหน...

ที่แน่ๆ เราอยากไปให้รู้ ดูให้เห็น ชีวิตกลางคืน ของคนเชียงใหม่

ใกล้เที่ยงคืน...เรา(ผมกับเพื่อน) แทรกตัวนักท่องเที่ยวฝรั่ง ที่สนทนา จิบเบียร์ เป็นกลุ่มๆ หน้าบาร์อะโกโก้ แถวๆย่านท่องเที่ยวราตรี

สาวสวย สองนางวิ่งออกมาต้อนรับ ก่อนที่ผมผลักประตูเข้าไป  ยังภายใน

ครั้งแรกเลยนะนี่...(หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ)  แสงไฟหรี่ๆ ทึมๆ เสียงเพลงสากลเบาๆ มีเบาะโซฟานุ่มๆ มุมหนึ่งของบาร์ ผมกับเพื่อนเดินเข้าไปนั่ง ก่อนที่สายตาจะสำรวจทั่วๆบาร์

กลิ่นน้ำหอมปะทะจมูก น้องสาวผมยาว เดินเข้ามาทักทายอย่างคุ้นเคย(ทั้งที่ผมไม่เคยมา)

สวัสดีค่ะ ขอนั่งด้วยคนได้มั้ย? สาวสวยผมยาวตรงหน้า ทักทาย ...ผมพูดไม่ออก แต่ก็รีบเชื้อเชิญ (ก็คนขอมานั่งด้วยนี่ครับ)

สังเกตดูเพื่อนก็มีสาวอีกคนมานั่งคุยด้วย ดูเพื่อนเองก็ประหม่าไม่ต่างจากผม 

ทำไมยังไม่ค่อยมีคนเลย?  ผมถามน้องสาวที่เข้ามานั่งใกล้ๆ

"อ้อ...ประมาณ สักตีหนึ่งค่ะ จะค่อยๆทยอยค่ะ..." เข้ามา  เธอบอกผม ทำท่าทางเอียงอาย น่ารัก

พี่รับเครื่องดื่มอะไรดีค่ะ?  เธอถามผมก่อนที่ผมจะเริ่มบทสนทนาต่อ

ผมสั่งเครื่องดื่มให้เธอและผม ก่อนที่จะนั่งคุยกัน อีกหลานบทสนทนา ผมกับเธอสนิทสนมกันรวดเร็ว ด้วยอัธยาศัยที่ดีของเธอ...นี่คงเป็นหน้าที่ในการดูแลแขกละมั้ง(ผมคิด)

สียงเพลงตะวันตกจังหวะกระชั้นถี่ขึ้นเรื่อยๆ

ผู้คน (สังเกตมีแต่ฝรั่ง) เดินเข้ามาพร้อมหญิงสาวคู่กาย หัวร่อต่อกระซิก อย่างมีความสุข ดูพวกเขาไม่สนใจคนรอบข้างเลย

เวทีที่เรานั่งล้อมรอบๆ เปิดไปขึ้นมาอย่างช้าๆ

พอที่จะเห็นภาพชีวิตข้างในชัดเจนพอสมควร (แต่เราก็อยู่ในมุมมืดอยู่ดี)

เขาจะมีอะไรหรือ? ผมถามน้องสาวคนนั่งข้าง

จะมีโชว์อาบน้ำค่ะ? น้องสาวตอบทันที 

ผมกับเพื่อนที่นั่งใกล้กัน วางแก้วเครื่องดื่ม ลงที่พื้นโต๊ะข้างหน้าพร้อมกัน (คาดว่า น่าจะตื่นเต้นพอกัน)

อาบน้ำเลยหรือว่ะนี่...? (พูดกับตัวเอง...เบา) 

ผมและเพื่อนหันหน้ามาสบตากัน ก่อนที่จะมองลงไปที่เวที(เราอยู่มุมสูงกว่าเวที) 

เหตุการณ์บนเวที ....ดำเนินไป จนเธอบนเวทีซับน้ำที่ผุดพราย ด้วยผ้าขนหนูผืนเล็ก (ขออนุญาตไม่อธิบายต่อ)

บรรยากาศกาศตอนนั้น เงียบสนิท

ทุกคนต่างสนใจเหตุการณ์ที่อยู่เบื้องหน้า...หัวใจผมเต้นแรงแทบทะลุอก

รู้ตัวก็ต่อเมื่อเครื่องดื่มของเราพร่องเกือบหมดแล้ว

รับเครื่องดื่มเพิ่มอีกนะคะพี่...? เสียงหวานของสาวนั่งข้าง ทำให้ผมตื่นจากผวังค์ ...เ่อ่อ...ได้ครับ เอามาเลยครับ (เสียงลอยๆไม่ได้สติ) ของผม เราคงแพ้คนเอาใจนะ(ผมคิด)

 .....

เสียงเพลง จังหวะเร็วๆ กับไฟดิสโก้ ดูวูบวาบ แพรวพราย

...ตาผมลายหรือแสงไฟกัน ...นะนี่ี่ เริ่มมึนๆแล้ว

ที่หน้าเวทีมี สามสาว(สวย) เยื้องกราย ขึ้นจับเสาสแตนเลส ก่อนที่จะโยกย้าย เต้นตามจังหวะเพลงที่เร่าร้อน...

เฮ้ย........!!!!

ผมอุทานเสียงดัง เมื่อผมเห็นหน้า...น้องสาวคนหนึ่ง ที่เต้นด้วยชุด ทูพีชสีเหลืองอ่อน  บนเวที ...

นั่น!!!

เป็นน้องสาวคนที่ผมรู้จัก ที่อยู่บนดอยไม่ใช่หรือ...ผมขยี้ตาตัวเองหลายครั้ง (ผมไม่ได้เมา)

เธอเต้นอย่างเมามัน โยกตามจังหวะไฟและจังหวะดนตรี เสียงแขกส่งเสียงเชียร์ เป่าปากเป็นระยะๆ

จริงหรือว่ะ???  ผมถามตัวเอง 

ทันใดนั้น เธอสะบัดหน้า พลันสายตาเธอมองและจองจับมาที่ผม ...ผมตะลึง ตกใจที่เห็นเธอรีบวิ่งลงเวทีอย่างรวดเร็ว..

"....เธอตกใจมากที่เห็นผม" เธอบอกผม หลังจากที่เธอนั่งข้างผมอีกคน 

เธอเปลี่ยนไป ผมสังเกตเธอตั้งแต่เดินเข้ามาหา เธอเปลี่ยนไปจริงๆ เธอสวยขึ้น พูดเก่ง ยิ้มหวาน (แต่ดูแววตาเธอไม่มีความสุข)

เธอกับผมสนทนา เรื่องชีวิต หลากหลายเรื่องราว ....

คำพูดหนึ่งที่สะดุดใจผมคือ เธอบอกผมว่า "หนูไม่มีทางเลือก"

ความรู้น้อย เห็นว่าทำงานแบบนี้ได้เงินดี หนูก็มาค่ะพี่ เอาเงินส่งน้องส่งพ่อแม่ที่บนดอย ทำไร่ทำสวนก็ไม่พอกิน" 

"ใครจะว่าอะไร ก็ตามใจเถอะ ...หนูทำงานสุจริต"

ว่าแต่พี่เมื่อไหร่จะเรียนจบละ? เธอหันกลับมาถามผม 

 ....

ผมเงียบ คิดอะไรไปหลายเรื่องราว เหลือบเห็นเพื่อนยังคุยสนุกกับสาวคนข้างๆ

พ่อแม่หนูบนดอยสบายดีนะพี่...? เธอถามผมอีก คงเห็นผมเงียบๆ

ผมพยักหน้า จริงๆก็ไม่ได้ขึ้นไปเยี่ยมบนดอยนานแล้ว...แต่ก็ได้ข่าวว่าครอบครัวเธอสุขสบายดี...

ปีนี้ข้าวไร่ไม่มีเพลี้ยไฟระบาดเหมือนปีที่แล้ว

......ตี ๓ กว่าแล้ว

ผมกับเพื่อนเดิน...ออกมาจากบาร์ อย่างเงียบๆ

ผมคิดอะไรหลายอย่าง ...เพื่อนเห็นผมเงียบ จึงถามว่า ผมคิดอะไรอยู่?

ผมยอมรับว่า ผมคิดหลายอย่างพอสมควร ที่เห็นภาพชีวิต ของคนในบาร์ ในคืนนี้

สิ่งที่เธอเลือกทำ เป็นทางเลือกที่เธอเลือกเดิน เธอข้ามพ้นความ อับอาย ของตัวเธอและพี่น้อง...เธอผิดมั้ย...?  ไม่ผิด ผมตอบแทนเธอ

หลังจากเธอบอกผมก่อนผมลากลับว่า "เธอต้องตายแน่ๆ หากอยู่บนดอย" 

 

 

หมายเลขบันทึก: 42435เขียนเมื่อ 4 สิงหาคม 2006 08:58 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 17:29 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (50)

เรื่องเล่าเร้าใจ...แต่ทุกครั้งที่อ่านเจอเรื่องราวแบบนี้จะเศร้าทุกครั้ง...หลายๆครั้งที่เจอเหตุการณ์คล้ายๆนี้ ต้องกลับมานั่งนึกว่า เรามีสิทธิไปตัดสินใครหรือเปล่า..ในเมื่อโอกาสของคนไม่เหมือนกัน..สิ่งที่เขาทำ ในขณะหนึ่ง มันคงเป็นเหตุผลในขณะนั้น

ดอกไม้ (ซอมพอ) บอกนัยยะในใจอะไรของคุณจตุพร...ซอมพอบนยอดดอย คงสดสวยอยู่เสมอในใจของครอบครัวซอมพอ...

 

  • สะท้อนสังคม มาก คนอ่านซึมๆ
  • เคยพบคล้ายชีวิต ปกากะญอบางคน บางที่เธอบอกว่าเธอไม่มีทางเลือกดีกว่านี้แล้ว
  • ขอบคุณมากครับผม

อาจารย์จันทรัตน์ครับ

ขอเพียงความเข้าใจ ก็เพียงพอ และสำคัญมากด้วยครับ

"ดอกซอมพอ" เลือกที่จะบานสวยอย่างเจียมตนบนดอย วันหนึ่ง ซอมพอ เลือกที่จะบานตัวเองในป่าคอนกรีต อย่างไม่ยี่หระกับสิ่งรอบข้าง

วันนี้ "ซอมพอ" ยังสวยเสมอครับ 

อาจารย์ ดร.ขจิต

ผมเลือกที่จะเขียนชีวิต ที่ผ่านบันทึกให้ผู้ที่ แวะเวียนมาอ่านรับรู้ ว่าในมุมหนึ่ง มีคนชายขอบ ที่ยังต้องการ "ความเข้าใจ" อาจไม่จำเป็็นต้อง "เห็นใจ"  ก็ได้ใช่มั้ยครับ

ปริวัตร เขื่อนแก้ว

อยากจะบอกว่าทางเลือกมีมากมายครับ  ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะเลือกทางใหน หรือไม่แน่เขาอาจจะถูกกำหนดให้เลือกทางนี้ก็ได้  หวังเพียงว่าเขาจะหาทางเลือกให้กับตนเองที่เหมาะสมและมีความสุขที่สุด 

    ไม่มีทางเลือกเพราะโอกาสที่พอจะเลือกได้ถูกบดบัง ถูกเอาเปรียบ ถูกช่วงชิงไปเสียมากกว่าครับ ยอมรับว่าอ่านแล้วเศร้าใจ แต่ต้องไม่ทดท้อกันนะครับ
     เวลาผมไปทำเวทีฯ ให้แก่ชุมชนต่าง ๆ ช่วงพักมักจะมีคนมาพูดกับผมว่า "น่าจะสมัครการเมือง พูดอย่างนี้" ผมมักจะบอกว่า นั่นเป็นทางเดียวที่ผมไม่เคยคิด เพราะไม่รู้ทำไม คนดี ๆ อยู่ พอเข้าไปแล้วเสียหายหมดเลย
     แต่ยอมรับครับว่าการเปลี่ยนแปลงเรื่องอย่างนี้ให้ได้ เปลี่ยนแปลงเพื่อกลับไปสู่ปกติ ย่อมอาศัยพลังทางการเมืองด้วยอีกพลังหนึ่งนอกจากปัญญาและประชาชนแล้ว ตามที่ อ.หมอประเวศ กล่าวไว้เรื่องสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา
สวัสดีค่ะ คุณ จตุพร ฟังแล้วเศร้าจัง ในฐานะที่เป็นผู้หญิงเหมือนกัน ถามว่าผิดไหม ก็ไม่ผิดหรอก เพราะมันเป็นสิทธิ์ของเขา แต่ในแง่ของสังคม คงจะไม่มีใครยอมรับ ทุกวันนี้เวลากลับบ้าน คำแรกที่จะโดนทักก็คือ เป็นยังไงลูกทุกวันนี้ยังดื่มหรือเปล่า ทุกวันนี้ตอบด้วยความภูมิว่า เปียงดเหล้าเข้าพรรษาค่ะแม่ เพราะแม่เขาเป็นห่วงกลัวเมาแล้วขับรถเร็วเพราะยิ่งมีกิตติศัพท์การขับรถเร็วอยู่ ตอนสมัยทำงานอยู่ที่จังหวัด ก็ถือว่าเป็นนักเที่ยวตัวยงคนหนึ่ง เลิกงานปุ๊ปก็นัดกันวันนี้จะไปเที่ยวที่ไหน ตี 3 ร้านอาหารปิด ก็มานั่งดื่มต่อที่บ้านเพื่อนอีก บางวันดื่มจนถึง 6 โมงเช้าแถมยังอยู่ในชุดทำงานอีก เดินออกมาจะขับรถกลับบ้านเจอพระสงฆ์ ก็เลยรอให้ท่านเดินผ่านไปก่อน ท่านก็ทักว่าทำงานอยู่ที่ไหนล่ะโยมขยันไปทำงานแต่เช้านะ ไม่รู้จะทำยังไงก็เลยไดแต่ยิ้มแหยๆ เนื่องจากเป็นจังหวัดที่อยู่ตามชายแดน ซึ่งมันก็ไม่พ้นที่จะมีผู้หญิงจากต่างประเทศมาทำงาน ก็เคยนั่งคุยกับเขา เขาพูดว่ามีความจำเป็นที่ต้องมาทำงานที่เมืองไทย และไม่มีสิทธิ์ที่จะเลือกงานแล้วแต่นายจ้างเขาจะไห้ทำงานอะไรก็ต้องทำตามนั้น เพราะถ้าไม่ทำก็ไม่มีเงินที่จะส่งไปให้พ่อแม่ ก็เลยเข้าใจว่าเพราะความจำเป็นเขาถึงมาทำอย่างนี้ ถ้าเขามีทางเลือกอย่างเรา เขาก็อาจจะไม่ทำอย่างนั้นก็ได้

น้องปริวัตร

ในเงื่อนไขของเรา อาจจะจริงว่ามีมากมาย...แต่ตอนนั้น บริบทของเขา (ตามเหตุผลที่พี่ชายขอบ เสนอ...)

 ชายขอบ เมื่อ ศ. 04 ส.ค. 2549 @ 10:55 จาก 203.113.77.4   ลบ

    ไม่มีทางเลือกเพราะโอกาสที่พอจะเลือกได้ถูกบดบัง ถูกเอาเปรียบ ถูกช่วงชิงไปเสียมากกว่าครับ...

 ผมเห็นด้วยครับ

พี่ชายขอบ

อ่านข้อคิดเห็นพี่ แล้วบอกได้เลย นี่หละตัวตนของพี่

พี่รู้มั้ยว่า  ...ช่วงก่อนๆสาวๆทางเหนือ ไปทำงานที่ หาดใหญ่ มากพอสมควรครับ

ขอบคุณครับผม 

 

คุณเปีย

ขอบคุณครับ...ที่เข้ามาเติมเต็ม

ไม่มีใครอยากเลว ในสายตาคนอื่นหรอกใช่มั้ยครับ 

ปริวัตร เขื่อนแก้ว
    ผมก็เห็นด้วยกับพี่ชายขอบครับ  แต่ที่ผมยืนยันว่ายังมีทางเลือกอีกมากเพราะผมต้องการให้ใครก็ตามที่ตกในสภาพเหมือนน้องสาวที่ได้กล่าวถึงหรือคนที่กำลังจะเป็นเหมือนกัน ได้มีแรงใจสู้  หลายครั้งและหลายคนไม่ได้สู้ให้ถึงที่สุด  เนื่องจากกระแสสังคมที่กล่าวว่าคนจน  คนไม่มีความรู้ไม่มีทางเลือกทำให้หลายคนไม่กล้า  ผมอยากให้สู้...  โอกาสมีให้กับคนที่มีความหวัง  อย่าท้อแท้จงสู้ต่อไป

ขอบคุณความเห็นที่น้องปริวัตรมาให้ข้อคิดเห็นอีกครั้งนะครับ ปัญหานี้เป็นปัญหาสังคมครับ...

โดยเฉพาะเศรษฐกิจรากหญ้าที่ไม่แน่นอนอย่างทุกวันนี้ ปรากฏการณ์ของสังคมที่เป็นปัญหาเริ่มเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ

ปรากฏการณ์ น่าจะเป็น ข้อมูลที่นักพัฒนาจะร่วมกันขบคิดเพื่อแก้ไขปัญหานะครับผม 

     เติมอีกทีนะครับ

     นอกจากนักพัฒนาจะทำอย่างที่ตั้งใจแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ควรจะต้องพิจารณาด้วยคือการช่วยกันสกัดขบวนการทำร้ายชุมชนจากนโยบายสาธารณะต่าง ๆ ด้วย ผมมองตรงนี้ว่าสาหัส เพราะมักจะมาเพราะชอบธรรมตามกฎหมาย แต่ทำร้ายประชาชน/ชาวบ้าน/ชุมชน ได้อย่างเจ็บปวดและแสนสาหัส

จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร

พี่ชายขอบ ครับ 

วาทกรรมการพัฒนาท้องถิ่น สวนทางกับปัญหาที่แท้จริงของชุมชน

คนในชุมชนจะเห็นได้ชัดเจนครับ ว่า "ยิ่งพัฒนาก็ยิ่งด้อยพัฒนา" มันคืิออะไรกัน

รัฐบาลผู้กำนโยบายการพัฒนาประเทศไว้ จะคิดจะทำอะไรกับชุมชน ควรต้องศึกษาชุมชนให้ถ่องแท้

"เข้าถึง เข้าใจ และพัฒนา"

ตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

อย่าเพียง "ประชานิยม"

มันทำร้ายพวกเรานะ

อ่านบทความคุณจตุพรแล้วทำให้ผมนิ่ง....

นึกถึงตอนที่ผมเคยไปบาร์อะโกโก้ที่หาดใหญ่.....

เห็นคนเชียร์แขกที่มานั่งด้วยอายุพอสมควรแล้ว ส่วนเด็กที่โชว์คนแรกเป็นสาวรุ่นอยู่

ผมประทับใจในตัวเธอมากที่หน้าตาน่ารัก น่าเอ็นดู

ดูโชว์หลากลาย.....มีทั้งสาวน้อยสาวใหญ่ กระเทยแท้ กระเทยแปลง

ผมนึกในใจว่า ต่อไปสาวรุ่นคนนั้นจะทำงานอะไรต่อไป

หรือจะก้าวมาเป็นสาวเชียร์แขกหรือจะเป็นนักแสดงโชว์เทคนิคที่ยากๆ ในวงการนี้ต่อ

ผมดื่มเบียร์ไปสองขวดคิดไปก็เริ่มขมๆ ฝาดจนดื่มไม่ลง

คนที่ไปกับผมเห็นผมนิ่งเงียบ

นึกว่าผมตกตะลึงชอบใจมองตาไม่กระพริบก็ไม่กวน

บอกตรงๆ ว่าผมไม่เข้าใจชีวิตคนในนี้เท่าไหร่

แต่วันนี้ได้ฟังที่คุณจตุพรพูดคุย ทำให้รู้เรื่องโลกนี้มากขึ้น

เรื่องค่าใช้จ่ายเป็นความจริงที่ว่านับวันยิ่งมากขึ้นทั้งๆ ที่กินใช้แบบเดิมแต่รายได้ไม่ได้กระดิกขึ้นตามค่าใช้จ่ายเลย

ข้าราชการผู้น้อยอย่างผมที่เจียมตัวกินน้อยใช้น้อยยังพออยู่ได้

แต่ถ้ามีครอบครัวแล้วผมก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าจะเลี้ยงดูไหวไหม

แล้วคนบนดอยที่คุณจตุพรว่าเขากินอยู่ได้อย่างไร ผมไม่รู้....

แต่ทุกอย่างปัจจุบันมันเป็นเงินไปแทบทุกอย่างแล้ว

ขออภัยที่ไม่มีความรู้มาแลกเปลี่ยน แต่มาระบายความรู้สึกล้วนๆ

ปล. โชว์ที่ผมไปนั่นเมื่อปีก่อนแล้ว

โชว์ที่คุณจตุพรไปท่าจะเร้าใจกว่าที่ผมเห็นพอสมควร

 โลกเราไม่หยุดหมุนจริงๆ นะเนี่ย

 

คุณจันทร์เมามาย

การที่มาอ่านบันทึก...ของผม ก็ไม่ต้องมีความรู้ชุดเดียวกันมาต่อยอดหรอกครับ

อ่านเอาเรื่อง อ่านเอามัน  ยังไงก็ได้

และได้ฝากร่องรอย...ไว้ แค่นี้คนเขียนบันทึกก็สุขใจ ว่าสิ่งที่เขียน ได้สะท้อน ความรู้สึกแก่คนอ่านยังไง

นั่นหละครับ...เป็นความรู้ที่ไม่มีพรมแดน...โดยเฉพาะชีวิต ที่เราต้อง เรียนรู้อย่างไม่สิ้นสุด

หรือจะระบายก็ได้ครับ ...ขอบคุณครับเพื่อน 

ตามมาอ่านวิจัยชีวิตของอาจารย์จตุพรครับ

ไม่อยากบอกเลยว่าเพิ่งได้มีโอกาสไปสถานที่แบบนี้ที่จังหวัดขอนแก่นมาเมื่อสัปดาห์ก่อนนี่เองครับ พอดีเพื่อนลากตัวให้ไปเป็นเพื่อนน่ะครับ

เป็นสถานที่ที่เขาเรียกว่า โคโยตี้ ตอนแรกผมก็นึกว่าจะเป็นเหมือนกับที่เขาเต้นกันตามที่โชว์การแต่งรถน่ะครับ

แต่ก็เริ่มแปลกใจตั้งแต่เห็นป้ายหน้าร้าน เขาติดว่า รับสมัครโคโยตี้ รายได้ดีเดือนละ 3-4 หมื่นบาท โอ้โห งานอะไรรายได้ดีขนาดนี้เลยเหรอ

แต่พอเข้าไปแล้ว ก็ถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ ว่าสังคมประเทศเรากลายเป็นอย่างนี้ไปแล้วเหรอ

มีสาว ๆ ที่ค่อนข้างไม่ค่อยมีเงินซื้อเสื้อผ้าใส่ เต้นที่บนฟลอรอบ ๆ ห้องซักสิบยี่สิบคน แล้วก็มีผู้ชาย (ส่วนใหญ่) นั่งอยู่บนเก้าอี้แล้วก็มองสาว ๆ เหล่านั้น

ตอนนั้นนึกสมเพศตัวเองขึ้นในบัดดล คล้าย ๆ กับว่าเหมือนตัวอะไรสักอย่างที่นั่งชะเง้อคอมองขอรับส่วนบุญอยู่ประมาณนั้น

แต่คิดอีกมุมนึงก็สงสารพ่อสงสารแม่ของเด็ก ๆ เหล่านั้น ถ้าหากเขาเห็นลูกสาวของเขาวัยย19 ,20 มาเต้นยั่วยวนนุ่งน้อยห่มน้อยอย่างนั้น พ่อกับแม่เขาจะรู้สึกอย่างไร

ผมยิ่งตกใจหนักครับ เพราะเมื่อชุดนั้นเต้นเสร็จก็เปลี่ยนชุดอื่นขึ้นไปเต้นอีกสิบกว่าคน พวกที่เต้นเสร็จแล้วก็มาเดินหาแขกนั่งดริ๊งค์ เป็นวัฏจักรแบบนี้ ใครหาแขกได้แล้วก็นั่งกันไป

แล้วบังเอิญมีน้องคนหนึ่งมานั่งกับเพื่อนผม เพื่อนก็เลยถามเขาว่า ค่าดริ๊งนี่เขาให้อย่างไร น้องเขาบอกว่า ดริ๊งละ 200 น้องเขาได้ 50 ทางร้านเอาไป 150บาท

คิดไปแล้วก็ยิ่งเศร้าใจครับ ไม่รู้จะไปโทษใครดี

วัฏจักรสังคมที่อยู่บนฐานของวัฏจักรธุรกิจ การค้าต่างตอบแทน ต่างคนต่างหาประโยชน์จากกันและกัน เห็นแล้วเศร้าจริง ๆ เลยครับ

คืนนั้นก็เป็นคืนหนึ่งที่ได้เห็นชีวิตอีกแง่มุมหนึ่งครับ ถ้าเพื่อนไม่ชวนไปและออกเงินให้หมด ผมก็คงไม่มีโอกาสได้ไปสถานที่แบบนั้นและเห็นสภาพแบบนั้นในสังคมไทยครับ

 

อาจารย์ปภังกร 

นี่เลยครับ "วิจัยชีวิต" เราอาจต้องรุกเข้าไป ดูปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคม ถือว่าเป็นการเรียนรู้อย่างหนึ่ง...

อาจารย์ครับ ที่เชียงใหม่ โคโยตี้ ก็มากมาย (สวยๆทั้งนั้นครับ) แต่ก็คิดเหมือนอาจารย์ครับ ไม่ค่อยสบายใจเลย...ไม่รู้จะโทษใครดีเหมือนกัน

ขอบคุณครับอาจารย์ที่เข้ามาเพิ่มเสริม บันทึกชีวิตครับ 

ดิฉันมองว่าผู้หญิงหลายคนตกเป็นทาสของวัตถุนิยม และการยึดถือในคุณค่าของความเป็นหญิงนั้นถดถอยลงไป เห็นง่ายๆ ชุดนักศึกษาหญิงที่โป๊มากขึ้นทุกๆ วัน ผู้หญิงด้วยกันเห็นแล้วยังรู้สึกอายแทน

อยากฝากบอกผู้หญิงที่กำลังท้อถอยในชีวิตที่บังเอิญเข้ามาอ่านบันทึกนี้ว่า หนทางดีๆ ยังมีอีกมากมาย ถ้ายังไม่สิ้นหวัง และ ไม่เปรียบเทียบชีวิตกับคนอื่นที่เราสู้เขาไม่ได้ตั้งแต่กำเนิดแล้ว

ชีวิตคนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกได้ว่าจะมีชีวิตอย่างไร ดิฉันเชื่ออย่างนี้ค่ะ

ขอฝากบทเพลงนี้แก่ผู้หญิงหลายๆ คน

เพลง ดอกไม้ใกล้มือ

คำร้อง แก้ว อัจฉริยะกุล ทำนอง เอื้อ สุนทรสนานมาลา

มวลเหล่าดอกไม้ใกล้มือ    
เป็นสื่อให้คนเด็ดถือชมเชย
เจ้าอยู่ในที่เปิดเผย    
เขาใคร่เชยเห็นเจ้าก็เลยเด็ดมา
คนเด็ดก็เพราะมันใกล้    
ใครใกล้เด็ดไปสมอุรา
บานล่อใจใครจะรู้ว่า    
ต่างปรารถนาจะได้ชม
ทิ้งไว้หมองไหม้เสียเปล่า    
ขืนปล่อยเจ้าผึ้งไม่เคล้าก็เฉาด้วยลม
ทิ้งไปให้ตรมเหยื่อผึ้งเหยื่อลม    
ให้คนเขาชมดีกว่า
ดีกว่าจะทิ้งคาต้น    
โรยหล่นผู้คนไม่เห็นราคา
เจ้าใกล้มือเจ้าต้องถือว่า    
ไม่ใช่ดอกฟ้าที่อยู่ไกล


ถ้าเปรยแบบประชดก็อาจบอกว่าความดีมีคุณค่าแต่ความสวย+สาวมีราคา...น้องๆหลายคนก็เป็นดั่งที่อจ.จันทวรรณพูดถึงคือจากการติดวัตถุแต่บางคนก็คงเหมือนอย่างคุณจตุพรที่พูดถึงความจำเป็นในบางช่วงของชีวิต..ที่เคยเจอมาและเศร้าใจคือน้องที่ผิดหวังจากความรักแล้วเลยถลำลงไปอีก...เคยมีน้องสาวที่รู้จักอยู่คน...สมัย ม.ต้นเธอไว้ใจเพื่อนร่วมชั้นถูกจูงไปปาร์ตี้ยาและถูกข่มขืนเด็กกลายเป็นคนที่ต้องแสวงหาคนมายุ่งด้วย..ไม่ได้เงินก็ยอม..สุดท้ายกว่าพ่อแม่จะรู้น้องก็กลายเป็นคนติดเซ็กซ์ต้องบำบัดรักษาและรวมถึงลุ้นให้รอดจากการติดเชื้อเอดส์อยู่ล่ะค่ะ...ไม่รู้โทษอะไรและเราจะป้องกันน้องๆให้ปลอดภัยได้อย่างไร...

มีหนังสือเรื่องหนึ่ง ที่คิดว่า วิธีการนำเสนอคล้ายวิธีการที่คุณจตุพรได้เอาเสี้ยวส่วนที่สัมผัสมาบอกเล่า ชื่อ คำให้การของคนเปื้อนเหงื่อ

ลองอ่านพอยั่วน้ำลายจากคำแนะนำหนังสือ ที่นี่นะคะ

แต่ถ้าเคยอ่านแล้ว ...ลปรร. หน่อยนะคะ

ตามที่อาจารย์ ดร.จันทวรรณ ได้ให้ข้อคิดเห็น

ชีวิตเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้...จริงๆ และอย่าเอาชีวิตเราไปเปรียบเทียบกับใครเขา..ไม่มีประโยชน์ เกิดมาคราหนึ่งทำชีวิตให้มีคุณค่า...ถึงจนเงิน แต่อย่า จนใจ..ให้กำลังใจทุกคนนะครับ

เพลง "ดอกไม้ใกล้มือ"  เนื้อเพลงลึกซึ้ง สอนใจดีเหลือเกินครับ

ขอบคุณครับผม 

ผมอ่านบันทึกของตัวเองซ้ำๆหลายรอบเหมือนกัน และเสริมกับความคิดเห็นของผู้เข้ามาให้ข้อคิดเห็น อย่างคุณ-twentyAngle- อ่านแล้ว ..หดหู่ใจ เป็นเรื่องจริง ที่ยิ่งกว่านิยายเสียอีก..ชีวิตที่พลาดไปแล้ว พลาดซ้ำอีก...กว่าจะกลับมายืนทรนงได้ อาศัยกำลังใจจากคนรอบข้างไม่น้อย เข้าใจเขา ให้โอกาสเขา..นะครับ

อาจารย์จันทรัตน์

ได้ฝาก Link ที่น่าสนใจ ...ผมต้องขอบคุณอาจารย์มากเลยครับ ที่เข้ามาในบันทึกผมหลายๆครั้ง และทุกครั้งอาจารย์ได้ให้ข้อเสนอแนะที่ดีครับ 

อ่านเรื่องของบาร์บาร่า เอห์เรนไรช์  เขียนแล้ว ผมชักอยากอ่านเล่มเต็มๆของ "Nickel  and Dimed: On (Not) Getting By in America " แล้วซิครับ

ผมชอบเขียนเรื่องชีวิตครับมัน สด ดี เป็นการเรียนรู้ ชีวิตผ่านชีวิต ครับ  แต่ลงทุนแบบบาร์บาร่า เอห์เรนไรช์ คงยังไม่ไหวครับ...

ชอบตรงที่เขียนรายละเอียดบางตอนของหนังสือว่า

  เธอถามในตอนท้ายๆว่า คนจนในอเมริกาหายไปไหน

....ไม่ได้หายไปไหนหรอกครับ แต่เรามองไม่เห็น พวกเราที่ทำงาน
มั่นคงในบริษัท พวกเราที่นั่งต่ออินเทอร์เน็ต เข้าเว็บ เขียนบล็อก
อ่านเขียนอีเมล์ แชต ไออาร์ซี เล่นเกมออนไลน์ ตีตั๋วเครื่องบิน
โลว์คอสต์แบบหลอกๆไปเที่ยวต่างประเทศ หรือต่างจังหวัด แค่ขอ
ให้ได้ขึ้นเครื่องบิน

เฮ้อ....อ่ะ นะแต่คำถามนี้หากถามที่เมืองไทย ก็จะมีคำตอบว่า คนจนตายไปหมดแล้ว

มาหลายครั้ง...แต่ไร้ความเห็น...

นิ่ง...เพราะแน่นในอก...สะท้อนใจยิ่งนัก...

แม่หญิง...ผู้ให้คุณค่าแด่ค่าน้ำนม...

ต้องตรอมตรม...ทำได้ทุออย่าง..ด้วยสองมือ..แม่(หญิง)นี้...

 

พี่ Dr.Ka-Poom ครับ

ผู้หญิง ถูกทำให้กลายเป็นสินค้า ถูกโลมเลียด้วยสายตาของแขกบุรุษ

ความรู้สึกของพวกเธอ...เก็บไว้ตรงไหน??? (นะ)

ใครจะล่วงรู้ ว่า เธอกำลังคิดอะไรอยู่ 

  • เอาชนะใจตนได้นั้นแล ประเสริฐ
  • สิ่งยั่วยุ กิเลส ไม่มีความหมาย
  • แต่..หากเราหลงมืดมัวเมามาย
  • ชีวิตย่อมล่มสลายด้วยมือตนเอง

 

ขอบคุณ คุณศุภลักษณ์ ที่เข้ามาให้ข้อคิดเห็นดีๆครับ..ชนะอะไรก็ไม่เท่าชนะตัวเอง...

....................... 

ผมคนหนึ่งที่ แพ้ใจตัวเอง บ่อยๆครับ

เป็นอีกภาพหนึ่งที่สะท้อนปัญหาสังคมได้อย่างชัดเจน เป็นรูปธรรมค่ะ และปัญหานี้ก็ใช่ว่าจะเพิ่งเกิดขึ้นในสังคมไทยนะคะ มันได้เกิดขึ้นมานานมาก ทุกคนรับรู้ว่ามีเหตุการณ์อย่างนี้อยู่จริง แต่ไม่มีใคร ยื่นมาเข้ามาแก้ไขอย่างจริงจัง

แน่นอนว่า แค่คนๆ เดียว หรือองค์กรใด เพียงหน่วยงานเดียว ไม่สามารถแก้ไขได้ แต่ถ้าเราร่วมมือกัน เชื่อว่า สักวัน มันต้องดีขึ้น

คุณจตุพรคะ...ขอบอกตามตรงว่า...นะคะว่า

บันทึกนี้กระทบใจอย่างมาก..รู้สึกสะท้อนใจยิ่งนัก

บอกไม่ถูก...ไม่ว่าจะหญิง..ตามที่ท่านพบ...หรือหญิงทั่วไป...

มักถูกมองว่าเป็นที่รองรับทางเพศ...แห่งบุรุษ...

มีมากมายหลายคน..ที่ต้องทนปวดร้าว...ในใจ...

เพียงเพราะอยากแลกอะไร...บางสิ่งที่ใจจำต้องอยากแลก

คุณไออุ่น

เป็นปรากฏการณ์ ที่เรียกว่า โศกนาฎกรรมชีวิต เลยทีเดียวครับ...จะบอกว่า ปัญหาแบบนี้มันรุนแรงขึ้นเรื่อยๆนะครับ...รวมถึง ปรากฎการณ์ "โคโยตี้" ที่  อ.ปภังกร ท่านให้ข้อคิดเห็น

นี่ ไม่นับ  พริตตี้  ทั้งหลายนะครับ...

ขอบันทึกนี้สะท้อนให้คนที่เกี่ยวข้อง ช่วยกันทำให้สังคมเรา...ตระหนักปัญหาแบบนี้ด้วยเถอะครับ 

Dr.Ka-Poom ครับ

ผมก็ยอมรับว่า ผมมาทวนอ่านบันทึกผมหลายๆรอบ  ผมอาจจะรู้สึกมากหน่อย เพราะ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมเองยัง จำแววตา ของเธอคืนนั้นได้ดี

สลับภาพไปที่บนดอย ครอบครัวของเธอ

ผม...รู้สึกมากกว่าที่ผมเขียนบันทึกนี้อีก 

ขอบคุณแทนเพศ "แม่"...ที่คุณยังมีความรู้สึก...

 

ครับ...บุรุษเพศ ใช่ว่าจะ มองผู้หญิง เป็นสัญลักษณ์ทางเพศ เหมือนกันทุกคนครับ

....

ทุนนิยม ความจำเป็น ...ธรรมชาติ หรือไร...ไม่รู้ (มากมาย)  ...

...
ที่สำคัญ "ปรากฏการณ์"แบบนี้ กระตุก ความคิด ใครบ้างหรือเปล่า???

 

อ่านแล้วถอนหายใจเลย...เฮ้ย!! ชีวิตคน จะมีใครเลือกเกิดได้...แต่เลือกวิถีการดำเนินชีวิตได้...แต่ใช่จะเลือกกันได้ทุกคนไม่

ไม่มีใครเลยแม้แต่คนเดียวที่จะเกิดมาแล้วอยากให้คนดูถูกเหยียดหยาม...บางครั้งศักดิ์ศรีก็กินไม่ได้อย่างที่ว่า...ท้องยังไม่อิ่ม ปัจจัยสี่ยังไม่ได้ตอบสนอง ไฉนเลยจะมารักศักดิ์ศรีอยู่ คนไม่เจอคงไม่รู้ว่าเวลาท้องมันหิวเป็นอย่างไร สะท้อนภาพชีวิตของสังคมได้ดีมากค่ะ

เห็นหัวข้อแล้วไม่อยากอ่านเลยกลัวจะสะท้อนใจกับสังคมที่หากินกับเรือนร่างผู้หญิง แล้วก็วนเข้ามาอ่านจนได้...เฮ้อ!!

เศร้าใจ...

อาจารย์Vij ครับ

...ผมไม่รู้จะ เขียนบันทึกให้ คนมาอ่านสะท้อนได้ยังไง ความจริง ไม่ได้ครึ่งหนึ่ง ของความรู้สึกที่ผมมีด้วยซ้ำ อย่างที่ผมเขียนตอบทุกความเห็นนะครับ...

ผมเองรับรู้ ทั้ง ๒ ฉากของตัวละคร ในโลกของความจริง 

คุณ IS ไหนๆ คุณก็ถลำตัวเข้ามาแล้ว

เข้ามาอ่านเถอะครับ ...จะได้รู้ว่า มุมหนึ่งของเมืองสวย มีมุมเล็กที่คนชายขอบ มีวิถีที่ หลายๆคนไม่อยากรับรู้

....

ดอกซอมพอ ที่บานกลางป่าคอนกรีต ครับ 

มีข้อมูลเพิ่มเติมมาแชร์กันนะคะ

คือว่า เท่าที่ทราบตอนนี้มีกลุ่ม NGO ที่ทำงานเพื่อให้การช่วยเหลือคนผู้ด้อยโอกาสกลุ่มนี้อยู่บ้างนะคะ  รู้สึกว่าจะใช้ชื่อว่า กลุ่มสวิง กับ กลุ่มเอ็มเพาเวอร์ ค่ะ กลุ่ม เหล่านี้ เป็นกลุ่มที่ทำหน้าที่ในการให้ความรู้ แก่หญิงทำงานกลางคืน พูดคุยให้กำลังใจ เสริมพลังอำนาจการต่อรอง เช่น การใช้ถุงยาง ประมาณนี้น่ะค่ะ

ข้อมูลอาจจะไม่ครบนะคะ เพราะว่ารับรู้ข้อมูลมานานแล้วค่ะ ชักจะลืมๆ ถ้าผิดพลาดยังไงก็ขออภัยด้วยค่ะ

 

คุณไออุ่น 

ครับทราบว่า มีนักพัฒนาเอกชนบางกลุ่ม และองค์กรบางองค์กรที่ทำงานเกี่ยวข้องกับปัญหาแบบนี้ที่เหนือมีพอสมควรครับ แต่ปัญหาแบบนี้มันใหญ่ครับ ...ใคร หรือ องค์กรใดแก้ไขคงไม่ไหว

ต้องช่วยกัน

เป็นปัญหาที่ต้องช่วยกัน

ขอบคุณข้อมูลมากครับ 

คุณจตุพร...ขอบคุณสำหรับบันทึกนี้และประโยคที่ว่า

"ครับ...บุรุษเพศ ใช่ว่าจะ มองผู้หญิง เป็นสัญลักษณ์ทางเพศ เหมือนกันทุกคนครับ"

นี่แหละค่ะ ที่สำคัญที่สุด หากเราช่วยกันทำให้ผู้ชายให้คุณค่าผู้หญิง รู้สึกแบบที่คุณปภังกรรู้สึกเวลาไปเที่ยวสถานที่แบบนั้น หรือเห็นลักษณะการแสดงแบบนั้น ตรงที่ว่า

"ตอนนั้นนึกสมเพศตัวเองขึ้นในบัดดล คล้าย ๆ กับว่าเหมือนตัวอะไรสักอย่างที่นั่งชะเง้อคอมองขอรับส่วนบุญอยู่ประมาณนั้น"

จะทำให้คนไม่สามารถจะ"หารายได้"จากธุรกิจแบบนี้ ผู้หญิงอีกมากมายก็จะไม่ต้องตกเป็นเหยื่อสังคมแบบนี้

รู้ว่าเป็นสิ่งที่ยาก เพราะสัญชาติญาณเบื้องสูงของผู้ชายมักจะไม่เผื่อแผ่ถึงผู้หญิงทุกคน เพราะฉะนั้นเราทุกคนที่มีโอกาสต้องทำให้ "ผู้ชาย"ของเรามีความรู้สึกแบบนี้กันมากๆค่ะ

 พี่โอ๋ครับ

ผมยืนยัน เช่นนั้นกับ พี่ Dr.Ka-Poom ที่กำลังระอุ หลังจากอ่านบันทึกผมหลายๆรอบ

ผมอยากมองเลยไปที่ Gender ให้คุณค่าชีวิตคนหนึ่งคนที่เท่าเทียม...ข้อคิดเห็นของ อ.ปภังกร ทำให้เห็นภาพ ใช่แล้วครับ...

ต้องช่วยกันแก้ไข นักวิชาการก็คงต้องนำเสนอปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อให้สังคมได้รับรู้

ขอบคุณพี่โอ๋ครับ..ที่มาเติมความเห็น 

 

การวิจัยเป็นเรื่องดีชีวิตมีมากมายตามจุดหมายของแต่ละคนเมื่อรู้เห็นเป็นประโยชน์ก็นำไปใช้ถ้าไม่ดีควรหลีกเลี่ยง

พี่จตุพร เล่าซะเห็นภาพเลยนะ อูย

มาเยี่ยมบันทึกเก่าๆครับ

สวัสดีครับ

ยินดีมากๆครับ สำหรับการมาเยี่ยมของ

P
และ น้องบอมส์ครับ
ติดตามอ่านบันทึกใหม่ๆได้ทั้ง ๔ blog ของผมครับ

แน่นอนว่าชีวิตนั้นมีทางเลือก แต่ใครจะรับประกันว่าทางที่เลือกนั้นจะดีได้ดังใจหวังและปากท้องที่ต้องพึ่งพาอีกหลายคนซึ่งต้องเลี้ยงดู ไม่มีใครอยากพาตัวเองลงสู่ความเสื่อมเสียหากว่าไม่จำเป็น กรุณาแยกให้ออก ระหว่างทางเลือกกับความจำเป็นให้ชัดเจน หากคนคนหนึ่งเกิดมาแล้วรู้ว่าควรทำอย่างไรกับชีวิต เชื่อเหลือเกินว่าอาชีพที่ทุกๆคนตราหน้าว่าต่ำต้อยแต่คนที่วิพากษ์ก็ยังคงสลอนตัวไปเที่ยว นั้นก็คงหมดจากโลกใบนี้

สวัสดีค่ะน้องเอก..

  • ขอบใจมากที่แนะนำให้ครูอ้อยได้อ่านบันทึกนี้นี่ล่ะคือชีวิต  จังหวะของชีวิต  กับโชควาสนาของคน  ที่เลือกไม่ได้ 
  • แต่เมื่อ คนเรามีวาสนาแล้ว จะทิ้งหรือเสือกไสวาสนาของตนเองไปทำไม  ทำไมไม่ทำวันนี้ของตนให้ดีที่สุด  ให้ได้มากกว่า  หลายๆคนที่ไม่มีโอกาสและวาสนา

ขอบคุณมากค่ะน้องเอก..

สวัสดีครับ ครูอ้อยครับ

 

 

P
สิริพร กุ่ยกระโทกผมกลับมาอ่านบันทึกนี้ ...หวนคิดถึงบรรยากาศเก่าๆ ชีวิตเราหลากหลายมากนะครับ ในความหลาก มีความงามซ่อนอยู่

ไม่ว่าเป็นใคร ทำอะไร ขอยึดความดีเป็นฐานในดวงจิต

ผิดไม่ผิดอยู่ที่เจตนา

ขอบคุณครับครูอ้อย

น่าเห็นใจ คนเราเลือกเกิดไม่ได้จริงๆ แต่คนเราเลือกทางเดินของเราเองได้

เห็นด้วยกับ คุณ อี๊ด [IP: 58.64.59.171]  ครับ

"น่าเห็นใจ คนเราเลือกเกิดไม่ได้จริงๆ แต่คนเราเลือกทางเดินของเราเองได้"

แถวเกษตรตรึมแต่มันไม่คุ้มค่าเหนื่อยหรอกถ้าให้ทำจริงๆ

แต่ถ้าเป็นหญิงนะเกินคุ้ม ก็เป็นพวกเด็กนั่ง พวกรี พีอาร์

ป๋าให้ทิปทีแม่มอย่างกากๆนะมี100อย่างต่ำ แต่ตัวผู้นะ

แม่มเสริฟแทบตายทั้งคืนบางทีก็ไม่ได้ถ้าดีหน่อยก็100

เจอขี้กากก็ถือว่าดวงอับ

ชีวิตมันมีอะไรอีกเยอะ คำว่าขี้ ข้า กับดูถูกคนต้องเจออีกเยอะคุณจะรับได้อะเปล่าอะเมาปากหมามันมีเยอะ ส่วนสาวๆก็โดนแทะโลมบ้าง เจอโคตรหื่นก็ถือว่าซวยไป ผมอยู่วงการนี้มา10ปีได้ แต่ก็ก็ใช่ว่าผมแก่นะก็ทำตั้งแต่17 อ่ะถึงจะเหี่ยวไปใกล้30ก็เหอะ

เอาเป็นว่า....มันมีอะไรอีกเยอะ แต่ถ้าจะไปเสริฟร้านอาหารธรรมดาหรือประเภทหมูกะทะนะ หนักโคตร ทิปก็ไม่ค่อยได้ ไว้ให้พม่าเขาทำเหอะ และแม่มก็มีแต่พม่าจริงๆ

อยู่กลางคืนนะถ้าไม่รักเกียริตและยึดติดศักดิ์ศรีนะผมว่าไปรับรถรึไม่งั้นก็ไปอยู่ในห้องน้ำหน่ะเวริค์อิสระมากกว่า100เท่า เป็นนายตัวเองอ่ะเงินดี

เห็นอย่างงั้นคุณว่าเขาเหมากันเท่าไร นายทหารคุมด้วยหลายๆที่

แต่ที่ผมพูดถึงนะคืออย่าเป็นประเภทลูกจ้างเขานะถึงจะแหล่ม ไม่ชอบขี้หน้ามันก็ไม่ต้องส่ง คืนๆ1เอายืนพื้นสัก300ก็พอแล้วทำสัก5-6ช.ม.

ความรับผิดชอบของคุณมันไม่มากขนาดกัปตันหรือเสริฟที่ต้องมานั่งเก็บร้านจัดปาร์ตี้ คอนเสริต์ ลูกค้าหนีบ้างสารพัด ต้องเอาใจนาย บางทีแม่มทั้งที่หมั่นมันมาก และอีก108 เจอมาหมดแล้ว ผมเคยลาออกจากกัปตันมาเป็นรับรถเลย555 จริงๆนะ แล้วเราก็หางานหลักกลางวันเป็นหลักดีๆสัก1ที่ เวลากลางคืนเข้าก็ไม่ต้องมีบัตรตอกหักเงิน และบางทีงานเรายุ่งเราก็คุยกับเพื่อนร่วมงานได้ว่าสายหน่อย หรือไปไม่ได้ มันก็ไม่ได้เงิน แค่นั้น เพราะงานจำพวกนี้ความรับผิดชอบของคุณอยู่ที่ การเฝ้ารถดูแลรถไม่ให้เกิดการชนถ้าแม่มชนคุณก็มีหน้าที่บอกให้เขารู้ตัว คุณทำได้ขนาดนั้นคุณก็ทำหน้าที่ได้สุดยอดแล้ว แต่งานพวกนี้มันเสียค่าเช่านะครับท่าน แพงไหม ขึ้นอยู่กับ ว่าที่นั่นคนเที่ยวเยอะไหม บูมไหม

ประมาณเด็กเสริฟเสียค่าล็อคให้เด็กบาร์ เห็นไหมล่ะว่ามันเยอะ

แต่ถ้าคุณเป็นเสริฟรึกับตันหรือมาม่า คุณมีลูกพี่(ลูกค้าชั้นดี)ก็จะเป็นประโยชน์ในการทำเงินมาก หากแต่ข้อเสียมันก็มี เพราะบางครั้ง

คนรอบข้างเขาจะมองเราเป็นไอ้ตอแหลกันหมด555 ยิ่งถ้าเขาชอบแต่คุณ แล้วให้ทิปคุณอยู่คนเดียวมากเป็นพิเศษ แล้วพวกเสริฟ หรือเจ้าของล็อค เขาไม่ได้

คุณจะเป็นที่รังเกียจมาก หากไม่เจียดเงินให้น้องๆเด็กเสริฟบ้าง

และคุณ(พวกไปเที่ยว)ก็กรุณาให้ทิปเขาบ้างอย่าเคี่ยวนัก ให้คิดแค่ว่า อาหารที่คุณสั่ง บางจานมันเกินร้อยด้วยซ้ำ ไม่ต้องคิดถึงค่าเหล้าที่คุณเปิดหรอก

คุณมากันสัก4คนพอ สมมุตินะ คุณเจียดเงินคนละ25 บาท มันก็โอแลกกับการเป็นลูกค้าชั้นดีแถมไม่ต้องถูกตั้งฉายาว่า....ไอ้เคี่ยว เฮียเหนียว ไอ้เฮียเหรียญ แก็งค์น้ำเปล่า เฮียมึนและสารพัด555 แล้วคุณจะรู้ได้กินข้าวและอาหารและสิ่งต่างๆ ปราศจากสิ่งแปลกปลอม ผมจะบอกอะไรคุณให้ ว่าการที่คุณงก คุณเรื่องมากแล้วคุณข่มเขาได้แล้วเขาเงียบเขายอมและทำตามคำคุณใช่ว่าเขายอมนะ

จ๊ะบางครั้ง มันมีสารพัดวิธีจัดการคนอย่างคุณเยอะโดยที่ไม่ต้องเดือดร้อนว่าผู้จัดการจะด่ากูได้ ดังนั้น..............เชื่อผมเหอะความจริงมีเรื่องเล่าเยอะมาก

ถ้าใครอยากฟังหรืออ่านเรื่องโจ๊กๆก็โหวตด้วยน้า...............แล้วจะมาต่อให้สมบูรณ์ 555 พาทนี้สำหรับคนที่คิดจะทำงานกลางคืนกะคนเที่ยวละกัน

ก็ขอจบละ

บ้ายบาย

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท