อุบัติเหตุครั้งนี้ ผมได้รับกำลังใจ คำปลอบใจ จากหลายๆคน ทั้งชาวบ้าน ตำรวจ พี่ชาย พี่สาว เพื่อนและอาจารย์อาวุโสในสมาคมฯ คำปลอบใจมีตั้งแต่
แต่ที่โดนใจ ตรงใจผมมากที่สุด เห็นจะเป็นคำพูดของ ศ.พญ. ลักษณาโพชนุกูล ที่ว่า .. ชีวิตก็เป็นอย่างแหละ จริงจริ๊ง.. อาจารย์ทำเสียงสูงย้ำ
ครับ ชีวิตของเราก็เป็นอย่างนี้ และแค่นี้จริงๆ
บางคนก็แอบกระซิบถามว่า คุณหมอห้อยพระอะไร
ผมตอบว่า คนตานี ก็ต้องหลวงพ่อทวดสิครับ ผมห้อยคอมาตั้งแต่เด็ก
ความจริงในรถผม ยังมีหลวงพ่อทวดองค์เล็กๆ อีกองค์วางไว้ตรงหน้าปัดแสดงความเร็ว แบบวางไว้หันประจันหน้าผมเลย เพื่อเอาไว้เตือนใจตนเองไม่ให้เหยียบมิด..เหยียบมิด จะได้..ไม่ประมาท
ผมมั่นใจในฝีมือการขับรถและความไม่ประมาทของตัวเองมาก จนไม่เคยทำประกันรถชั้นหนึ่ง
อุบัติเหตุครั้งนี้ ผมพยายามบอกตัวเองว่า ก็ขับรถช้าแล้ว ง่วงก็ไม่ง่วงเพราะเพิ่งงีบมา ไม่ได้ใจลอยมัวแต่ดูวิวสองข้างทาง และก็ไม่ได้มัวแต่หัวเราะเสียงอ่านหนังสือเรื่อง..ชวนม่วนชื่น ของท่านอาจารย์พรหม ผมคิดว่าผมไม่ได้ประมาทนะ
แต่คำถามของเพื่อนผม..คุณหมอชนวัธน์ ก็มาสะกิดใจ .. แล้วรถคันหลังล่ะ เขาลื่นอย่างเราหรือเปล่า
ผมก็ยังคิดเข้าข้างตัวเองว่า ก็เขาคนท้องถิ่น ต้องรู้ว่าตรงนี้มันอันตราย ไอ้เรามันคนต่างถิ่น
บทสรุปที่ชัดเจนที่สุด อยู่ในบันทึกท้ายใบเสร็จเสียค่าปรับ ๔๐๐ บาท ที่ทางโรงพักออกให้ผม เขียนไว้ว่า ขับรถโดยประมาท เป็นเหตุให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหาย
ความคิดว่าเราไม่ประมาท คือ ความประมาท
ผมขับรถช้าแล้ว แต่ยังช้าไม่พอครับ
โล่งอกไปที
ที่ไม่เป็นอะไร
แต่ชีวิตมันเป็นอย่างนี้แหละ..จริงจิ๊งงง
พี่เขี้ยวเลยมาชวนคุรหมอไปประเมินตัวเองสักหน่อย
ว่าที่ผ่านมาช่วงนี้เครียดหรือเปล่า อิอิ
..ความไม่ประมาทดีที่สุดนะคะ...ขอให้ปลอดภัยในชีวิตตลอดไปค่ะ