|
||
|
โอ้ละหนอดวงเดือนเอย |
พี่มาเว้ารักเจ้าสาวคำดวง |
|
โอ้ดึกแล้วหนอพี่ขอลาแล้ว |
อกพี่เป็นห่วงรักเจ้าดวงเดือนเอย |
|
ขอลาแล้วเจ้าแก้วโกสุม |
พี่นี้รักเจ้าหนอขวัญตาเรียม |
|
จะหาไหนมาเทียมโอ้เจ้าดวงเดือนเอย |
จะหาไหนมาเทียมโอ้เจ้าดวงเดือนเอย |
|
หอมกลิ่นเกสรเกสรดอกไม้ |
หอมกลิ่นคล้ายคล้ายเจ้าสูของเรียมเอย (ซ้ำ) |
|
หอมกลิ่นกรุ่นครันหอมนั้นยังบ่เลย |
เนื้อหอมทรามเชยเอยเราละเหนอ |
|
โอ้ละหนอนวลตาเอย |
พี่นี้รักแสนรักดังดวงใจ |
|
โอ้เป็นกรรมต้องจำจากไป |
อกพี่อาลัยเจ้าดวงเดือนเอย |
|
เห็นเดือนแรมเริศร้างเวหา |
เฝ้าแต่เบิ่งดูฟ้า(ละหนอ)เห็นมืดมน |
|
พี่ทนทุกข์ทุกข์ทนโอ้เจ้าดวงเดือนเอย |
พี่ทนทุกข์ทุกข์ทนโอ้เจ้าดวงเดือนเอย |
|
เสียงไก่ขันขานเสียงหวานเจื้อยแจ้ว |
หวานสุดแล้วหวานแจ้วเจื้อยเอย (ซ้ำ) |
|
ถึงจะหวานเสนาะหวานเพราะกระไรเลย |
บ่แม้นทรามเชยเราละเหนอ (ซ้ำ) |
|
|
|
**โอ้ละหนอ ดวงเดือนเอย...
ที่มาของเพลงนี้น่าประทับใจก็เพราะว่า
มันเป็นเรื่องราวของความรักที่ไม่สมหวังของราชนิกูลพระองค์หนึ่งที่ชื่อว่า
‘พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหมื่นพิชัยมหินทโรดม’
หลานตาของพระยามหินทรศักดิ์ธำรง(เพ็ญ เพ็งกุล)
ชื่อหลังนี้ใครเรียนละครไทยมาคงจะต้องคุ้นอยู่บ้าง
เพราะท่านเป็นหนึ่งในคนทำละครที่เก่งและดังมากๆ
เมื่อครั้งปลายรัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5
ธิดาของเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรงนั้น
ได้ถูกถวายตัวเพื่อรับใช้ฝ่ายใน
ซึ่งก็คือเจ้าจอมมารดามรกฏในรัชกาลที่ 5
มีพระเจ้าลูกยาเธอและพระเจ้าลูกเธอ 2 พระองค์
คือพระองค์เจ้าจุฑารัตนราชกุมารี
และพระองค์เจ้าชายเพ็ญพัฒนพงศ์
สำหรับพระองค์เจ้าชายเพ็ญพัฒนพงศ์
นั้นถูกส่งไปเรียนที่อังกฤษ และเมื่อกลับมาเมืองไทยได้รับราชการ
พระองค์ท่านก็กลายเป็นกรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม
โดยรับราชการในกระทรวงเกษตราธิการ
และคนหลายคนรู้จักดีว่าท่านเป็นคนแต่งเพลงลาวดวงเดือนอันลือลั่น
แต่ความรักอันเป็นต้นทางของลาวดวงเดือนนั้นมาเมื่อท่านอายุเพียง
21 ปีเท่านั้นครับ ในช่วงเวลาดังกล่าว
พระองค์เจ้าชายเพ็ญพัฒน์พงค์ เพิ่งจบการศึกษาจากอังกฤษมาหมาดๆ
ได้มีโอกาสไปเที่ยงเมืองแสนงามอย่างเชียงใหม่
เพื่อศึกษาภูมิประเทศและประวัติศาสตร์ของมณฑลฝ่ายเหนือ
เป็นการเตรียมตัวให้พร้อมในการพัฒนาประเทศสยามต่อไป
แต่ไม่ใช่เพียงแค่ประวัติศาสตร์เท่านั้นซิครับที่องค์ชายได้เรียนรู้ เพราะที่นั่นมีเจ้าหญิงชมชื่น ณ เชียงใหม่ สาวหวานที่แคล่วคล่องว่องไว ธิดาคนที่สองของเจ้าราชสัมพันธวงศ์ กับ เจ้าหญิงคำย่น ณ ลำพูน ซึ่งทำให้พระองค์เจ้าชายประสบพักตร์ครั้งแรกท่านก็หลงรัก
แต่อาจจะเป็นเพราะฝ่ายพระองค์เจ้าชายฯ
เองก็มีคู่หมั้นคู่หมายอยู่แล้ว หรือ
มีคนที่อยู่ที่สายที่จะต้องแต่งงานเพื่อหน้าที่โดยผู้ใหญ่จัดหาให้ทำนองนั้น
การปฏิเสธดังกล่าวจากฝ่ายหญิงก็เลยทำให้ความรักของทั้งคู่กลายเป็นหมัน
คือจบกันไปเลย เพราะอีกสองปีต่อมาพระองค์เจ้าชายฯ
ก็ได้เสกสมรสกับธิดาผู้มีชื่อเสียงไป ต่อมาไม่นาน
พระองค์เจ้าเพ็ญพัฒน์พงค์ ก็ได้รับพระสุพรรณบัฏเลื่อนขึ้นทรงกรม เป็น
กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม
แต่ว่ากันว่ารักของท่านนั้นแม้ในความจริงจะมีกำแพง
แต่ใน ‘โลกของความคะนึงหา’
นั้นท่านยังไม่เคยลืมใบหน้าและความสุขเมื่อครั้งอยู่เมืองเหนือเลย
ผลก็คือ ท่านต้องระบายออกมาเป็นการเขียนเป็นเนื้อและทำนองเพลง
ลาวดำเนินเกวียน
เพื่อเป็นเครื่องคลายเศร้าและย้ำแน่นถึงความรักที่ท่านมีต่อเจ้าหญิงชมชื่นนะครับ
เขาเชื่อว่าพระองค์ท่านแต่งเพลงนี้ขณะอยู่บนเกวียนระหว่างเดินทางไปตรวจราชการที่ภาคอิสาน
แถวๆ จังหวัดสุรินทร์ ถึงใช้ชื่อว่า
‘ลาวดำเนินเกวียน’ มาก่อน
แต่บังเอิญเพลงนี้ไพเราะมาก แล้วก็เริ่มต้นเนื้อร้องด้วยประโยคว่า
โอ้ละหนอ ดวงเดือนเอย ...แถมยังมีคำว่าดวงเดือนอีกหลายต่อหลายท่อน
คนก็เลยเอาคำว่าดวงเดือนมาเรียกเป็นชื่อเพลงเสียเลย
แต่ก็ต้องเข้าใจว่า ลาวดำเนินเกวียน กับ
ลาวดวงเดือนนั้นเป็นเพลงเดียวกัน
อีกอย่างก็คือ เมื่อพูดถึงลาวในเพลงนี้ขอให้นึกว่าเป็นคนเหนือ
มิใช่คนอิสานนะครับ แม้ท่านจะเขียนเพลงนี้แถวๆ
สุรินทร์ก็ตามที
เพลงนี้ไพเราะสุดยอดทีเดียว
โดยเฉพาะถ้าได้คนลูกคอดีๆร้องแล้วละก็จะเศร้าอย่างบอกไม่ถูกทีเดียว
แต่เรื่องโรแมนติกกว่านั้นเกิดหลังจากเพลงๆ นี้ดังไปแล้ว
เพราะเมื่อพระองค์ชายท่านทรงเสกสมรสแล้ว
ทางฝ่ายเจ้าหญิงชมชื่นก็ถูกจับให้แต่งงานกับเจ้าเหนือพระองค์หนึ่งที่ลำพูนเหมือนกัน
เรื่องนี้ออกจะเป็นเรื่องที่เจ็บปวดของพระองค์ท่านทั้งสอง
เพราะอายุน้อยมากทั้งคู่ แต่กลับถูกม่านประเพณีเล่นงาน
ว่ากันว่าท่านชายหาทางมุงานเพื่อให้ลืมเรื่องในใจนี้ไป
การมุงานจนเกินกำลังกายนี้เองทำให้พระองค์ชายเจ็บป่วยบ่อยๆ
จนกระทั่งวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2453
พระองค์ก็จากโลกนี้ไปโดยมีพระชันษาเพียงแค่ 28
ปีเท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมากๆ
และเมื่อข่าวการสิ้นชีพของท่านชายไปถึงภาคเหนือก็ทำเอาเจ้าหญิงชมชื่นเกิดอาการซึมเศร้าทันที
เนื่องจากทรงมีอารมณ์อ่อนไหวละเอียดอ่อนมากๆ
เช่นกันว่าความรักในใจขององค์หญิงก็ไม่เคยจางในหัวใจของท่าน
หนึ่งปีให้หลังองค์หญิงชมชื่นก็สิ้นชีพลงเช่นกันโดยมี ชันษา 23
ปีเท่านั้นเองครับ**
รีบไปนิดลืมบอกว่า ข้อมูลประกอบเพลงนำมาจาก www.banramthai.com/html/fon_laodoangdoen
ต้องขอบพระคุณอย่างสูง ค่ะ
ส่วนลิ้งค์ เพลงจาก สนุกดอทคอม ค่ะ
เพลงนี้ (ลิ้งค์เวอร์ชั่นพี่ฟอร์ดร้องค่ะ) เป็นเพลงที่คุณพ่อขายาว ร้องกล่อมลูก ตั้งแต่ในท้อง ปัจจุบันยังเป็นเพลงกล่อม..เราทั้งสามคน ก่อนนอนทุกคืนค่ะ
ทั้งประวัติของเพลงและความหมายของเนื้อเพลงโดนใจมาตั้งแต่ได้เรียนรู้ ได้รับฟังจากคุณครูท่านสอนเมื่อตอนเป็นนักเรียน (วัยรุ่น) ประทับใจจนถึงทุกวันนี้ ฟังเพลงเมื่อไรก็ซาบซึ้งใจ มีความสุขทุกครั้ง...ขอบคุณที่นำมาสะกิดเตือนความทรงจำดี ๆ ท่ามกลางสายฝนปรอย ๆ ได้บรรยากาศดีมาก (ลพบุรีฝนกำลังรินเม็ดค่ะ)
ปัจจุบันยังเป็นเพลงกล่อม..เราทั้งสามคน ก่อนนอนทุกคืนค่ะ
วันไหนเดินทางไปนอนที่อื่น เช่นไปเที่ยวยังต้องหยิบแผ่นนี้ไปด้วยค่ะ
อ่านบันทึกแล้ว เหมือนได้นั่งฟังเพลง ลาวดวงเดือน เพราะๆเย็นๆมาพร้อมกันเลยครับ :)
จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร พี่มีเนื้อร้อง คำร้องฝ่ายหญิงร้องด้วยนะคะ
เคยเรียนร้องเพลงนี้
และ แน่นอน..สีไวโอลินเพลงนี้ได้ค่ะ
โด เรมี ซอล โด....
มาขอบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์เราเองว่า
เขียนกาพย์ห่อโคลงไว้บทหนึ่ง และแนะนำทีมงานให้เปิดเพลงบรรเลงนี้คลอไปด้วยระหว่างการอ่านกลอนทำนองเสนาะ
คิดถึงเพลงนี้เป็นเพลงแรก
ได้ยินว่าผู้ร่วมงานชอบ กาพย์ห่อโคลง ที่มีนักอ่านมืออาชีพอ่าน มาก ๆ
ยังไม่รู้เลยว่า เขาใช้เพลงนี้จริง ๆ หรือเปล่า
ถ้าใช่จะไปตามล่า วิดีทััศน์มา ค่ะ