บันทึกนี้คัดลอกมาจากบทความเผยแพร่ของพระมหาบุญเรือง เจ้าอาวาสวัดบ้านด่าน บุรีรัมย์
ชัยยัสสุ
ความคิด มุมมอง ทัศนคติ เพื่อความเข้าใจพระพุทธศาสนา ชีวิต และตัวตนของเรา
Permalink : http://www.oknation.net/blog/bunruang
วันพฤหัสบดี ที่ 3 ธันวาคม 2552
ดี-ชั่ว ตัวแค่นี้...(๓)
Posted by chaiyassu , ผู้อ่าน : 59 , 18:54:24 น.
หมวด : ศาสนา
กล่าวถึงเรื่องจิตในภาพรวมแล้ว วันนี้ลองหยิบประเด็นจิตดี-จิตชั่วที่อยู่ในตัวของเรามาพิจารณาเพื่อความเข้าใจให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป
อย่างที่ได้กล่าวแล้วข้างต้นว่า โดยธรรมชาติจิตนั้นเป็นธรรมชาติประภัสสร คือผ่องใส
(บ้านนิทาน ที่อ่านหนังสืออันเป็นต้นแบบของห้องสมุดสำหรับเยาวชนในวัดบ้านด่านภาพจาก http://www.oknation.net/blog/sarattatham/2009/07/11/entry-1)
ความผ่องใส หรือความประภัสสรนี้ ต่างจากจิตที่ผ่องใสเพราะหมดจดจากกิเลส เพราะจิตที่ผ่องใสเพราะหมดกิเลสนั้น แม้จะมีอารมณ์ใด ๆ มากระทบ หรือถูกต้อง มันก็ยังคงสภาพความผ่องใส ไม่มีทางให้เป็นอย่างอื่นไปได้ ไม่ว่าจะในแง่ดีหรือร้าย ขณะที่จิตประภัสสรโดยธรรมชาติ มันประภัสสร หรือผ่องใสเพียงเพราะยังไม่มีอะไรมากระทบ หรือถูกต้องเท่านั้น ต่อเมื่อมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากระทบ จิตประภัสสรดังกล่าวก็เปลี่ยนสภาพไปทันที
เปรียบเหมือนแก้วน้ำใส ที่ยังคงความใสอยู่ตราบเท่าที่เรายังไม่เอาอะไรอย่างอื่นใส่เข้าไปเท่านั้น ถ้านำสิ่งอื่นไปเจอปนเมื่อใด น้ำก็จะเปลี่ยนสภาพทันที เช่น ใส่น้ำแข็งลงไป ก็กลายเป็นน้ำเย็น ใส่เกลือลงไปก็กลายเป็นน้ำเค็ม ใส่น้ำตาลลงไปก็กลายเป็นน้ำหวาน เป็นต้น
(ศาลาห้องสมุดบ้านพระธรรมหลังเล็กๆ ในวัดบ้านด่าน อันเป็นที่อ่านหนังสือของเด็กๆ ภาพจาก http://www.oknation.net/blog/konhinsmile/2009/08/11/entry-1)
จิตของคนเราก็ทำนองเดียวกัน
จะดี หรือชั่ว ก็ขึ้นอยู่กับว่า เราเติมอะไรลงไป
สิ่งที่เราเติมลงไปนี้ เปรียบเสมือนกับหัวเชื้อ อาจจะเรียกว่า เชื้อดี-เชื้อชั่วก็ได้ เชื้อดี-เชื้อชั่วดังกล่าวนี้ แม้จะมีเพียงแค่ ๓ อย่าง แต่เมื่อนำไปผสมกับจิตแล้ว ก็ทำให้ได้คุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไปมากมาย เปรียบได้กับแม่สี แม้จะมีเพียง ๓ สี คือ แดง เขียว น้ำเงิน แต่เมื่อนำไปผสมในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ก็จะได้คุณสมบัติใหม่อีกมากมาย เช่น นำแดงไปผสมกับเขียว ก็จะได้สีเหลือง แดงผสมกับน้ำเงินกลายเป็นสีม่วง เขียวผสมกับน้ำเงินกลายเป็นสีฟ้า เป็นต้น
ตัวหัวเชื้อ ๓ ประการที่นำไปผสมกับจิตแล้วทำให้จิตเปลี่ยนสภาพเดิม คือจากที่เคยประภัสสร ก็กลายเป็นจิตดี หรือจิตชั่วไปก็ได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ (เชื้อชั่ว) อโลภะ อโทสะ อโมหะ (เชื้อดี)
(เด็กๆที่มาถือศีลในวันอุโบสถ ได้อ่านหนังสือตามชอบ)
กล่าวถึงในส่วนจิตชั่วก่อน
เชื้อชั่ว ๓ ประการ เมื่อนำไปผสมกับจิตเดิมแล้ว จะกลายเป็นจิตชั่วไปทันที กลายสภาพจาก ๓ เป็น ๑๒ ทันที นั่นหมายความว่า เราได้คุณสมบัติของจิตเพิ่ม ในจำนวนที่เพิ่มนี้ ได้จากการเติมเชื้อชั่วที่เรียกว่า โลภะ ๘ ดวง จากโทสะ ๒ ดวง และจากโมหะ ๒ ดวง
อนึ่ง จากตัวเลขข้างต้นนี้ ทำให้เราพบความจริงประการหนึ่งว่า โดยธรรมชาติของมนุษย์นั้น ตัวโลภะมีมากกว่ากิเลสตัวอื่น ๆ และเป็นความจริงเช่นกันว่า บางครั้งกิเลสตัวอื่นเกิดขึ้นเพราะอาศัยโลภะเป็นเหตุ เช่น ถูกขัดใจ เพราะไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ ก่อให้เกิดโทสะตามมา (โลภะทำให้เกิดโทสะ) มุ่งหวังแต่จะได้ ทำให้ไม่คำนึงถึงผิดชอบชั่วดี (โลภะทำให้เกิดโมหะ) เป็นต้น
ถ้าสังเกตดูให้ดี ลึก ๆ แล้วจะเห็นความจริงอีกประการหนึ่งว่า เชื้่อชั่วทั้ง ๓ ประการนี้ เป็นเพื่อนรักเพื่อนเกลอที่เกื้อกูลกันดีมาก เรียกว่าได้ว่า ช่วยส่งเสริมกันและกันอย่างแน่นแฟ้น บางครั้งแทบแยกไม่ออก เพราะมีการแบ่งหน้าที่กันชัดเจนว่า ในแต่ละสถานการณ์นั้น จะให้ใครเป็นแม่ทัพ ใครเป็นกำลังหนุน
นี่ก็เป็นความวิจิตรพิสดารของจิตอีกประการหนึ่งเช่นกัน
ในส่วนของจิตดี ก็จะตรงกันข้าม คือมีเชื้อดี ๓ ประการเข้าไปผสม และเมื่อผสมแล้วก็จะได้คุณสมบัติใหม่ ๒๔ ประการ
ใน ๒๔ ประการนี้ ยกจิตของพระอรหันต์ ๘ ดวงออก (ที่ยกออกเพราะท่านอยู่เหนือดีเหนือชั่วแล้ว) จะเหลือ ๑๖ และใน ๑๖ นี้ เมื่อแยกออกแล้ว จะได้ส่วนที่เป็นเหตุ ๘ และส่วนที่เป็นผล (วิบาก) ๘ คือ ทำเหตุอย่างไร ก็จะได้ผลอย่างนั้น ทั้ง ๑๖ ประการนี้จึงเป็นเรื่องเดียวกัน แต่แยกอกมาเพื่อให้เห็นการวาระจิตที่เกิดก่อน/หลัง
อนึ่ง จิตดี-จิตชั่วดังกล่าวข้างต้น เกิดขึ้นเองโดยลำพังก็มี เกิดขึ้นเพราะมีการชักชวนก็มี
เกิดขึ้นเองโดยลำพัง หมายถึง จิตที่มีเชื้อดี หรือเชื้อชั่วเป็นรากฐานเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ไม่ต้องมีอะไรมาชักชวน ชักนำ มันก็พร้อมที่จะแสดงคุณสมบัติดั้งเดิมของตนออกมา เช่น คนเคยลุกใส่บาตรตอนเช้าเป็นประจำจนเป็นนิสัยแล้ว แม้จะไม่มีใครชวน เขาก็ยังคงตื่นขึ้นมาทำหน้าที่ดังกล่าวนั้น หรือคนที่มีมักโกรธเป็นนิสัย ก็มักจะแสดงอาการโกรธ ไม่พอใจ ด้วยเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง
ส่วนที่เกิดขึ้นเพราะมีการชักชวน ก็หมายถึง จิตดี หรือจิตชั่วที่ไม่ได้เกิดขึ้นเอง หากแต่เกิดขึ้นจากแรงจูงใจบางอย่างกระตุ้นให้เกิดขึ้น ถ้าไม่ได้รับการกระตุ้นก็จะไม่เกิด
ตัวที่กระตุ้นให้เกิดนี้ มีอยู่ ๔ ประการ ได้แก่
๑. สถานที่อยู่ : อยู่สถานที่ดี ก็ชวนให้เกิดความดีง่าย อยู่ในสถานที่ไม่ดี ก็ชวนให้เกิดความชั่วได้ง่าย
๒. บุคคลที่คบหา : ข้อนี้ตรงกับคำโบราณที่ว่า คบคนอย่างไร ก็เป็นเช่นนั้น หรือคบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล กรณีอย่างนี้มีตัวอย่างให้เห็นมาก เช่น บางคนไม่ได้เป็นคนชั่วโดยสันดาน แต่บางครั้งก็ถูกเพื่อนยุ เพื่อนแหย่กระทั่งกลายเป็นคนชั่วไปก็มี ในทางดีก็เช่นกัน บางคนมีพื้นเพมาไม่ค่อยดี แต่ได้อาศัยกัลยามิตร ก็สามารถสร้างเนื้อสร้างตัวเป็นคนดี จนเป็นที่ยอมรับ
๓. บุคคลที่ตนยอมรับนับถือ : คนเรา เมื่อยอมรับนับถือผู้ใดแล้ว ก็มักจะเชื่อฟัง หรือคล้อยตามบุคคลนั้น ๆ โดยง่าย ไม่ว่าจะในแง่ดี หรือในแง่ชั่ว
๔. การวางตน : การวางตนถูกต้องดีงาม ก็ชวนให้เกิดความดีงามได้ง่าย ขณะเดียวกัน การวางตนผิด วางตนไม่เหมาะสม ก็ชวนให้เกิดความชั่วได้โดยง่าย
เห็นต้นตอของจิตดี และจิตชั่วเช่นนี้แล้ว เราก็หันมาพิจารณาดูตัว ดูสังคมแวดล้อม
ดูตัวเพื่อให้เห็นว่า เราจะให้จิตฝ่ายไหนเกิด ให้จิตฝ่ายไหนเป็นผู้ชักชวน หรือชักนำตัวเรา เราก็จัดการให้ถูกต้องตามเรื่อง
ดูสังคมแวดล้อม เพื่อหาต้นตอของปัญหา แล้วหาทางแก้ไข หรือจัดการให้ถูกต้องตามเรื่อง
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อให้หลุดพ้นจากปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่
เรื่องจริง ๆ ของชีวิตก็มีเพียงเท่านี้