แล้วเราก็อาจสงสัยต่อค่ะ ว่าแค่รักษาศีลด้วยความบริสุทธิ์ใจแล้ว องค์ธรรมที่เหลือ เช่น อวิปปฏสาร (ความไม่มีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจ) และอื่นๆ จะทยอยเกิดตามกันมาได้อย่างไร แล้วการทำให้เกิดองค์ธรรมต่างๆ ยากมากหรือไม่
พุทธพจน์อันแสดงถึงธรรมอันไหลไปสู่ธรรมนี้คงตอบข้อสงสัยให้ได้นะคะ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อมีศีลสมบูรณ์แล้ว ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า อวิปปฏิสาร จงบังเกิดแก่เรา. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ข้อนี้เป็นธรรมดาว่า เมื่อมีศีลสมบูรณ์แล้ว อวิปปฏิสารย่อมเกิด (เอง).
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อไม่มีวิปปฏสาร ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า ปราโมทย์ จงบังเกิดแก่เรา. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ข้อนี้เป็นธรรมดาว่า เมื่อไม่มีวิปปฏิสาร ปราโมทย์ย่อมเกิด (เอง).
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อปราโมทย์เกิดแล้ว ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า ปีติ จงบังเกิดแก่เรา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ข้อนี้เป็นธรรมดาว่า เมื่อปราโมทย์แล้ว ปีติย่อมเกิด(เอง).
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อมีใจปีติแล้ว ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า กายของเราจงรำงับ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ข้อนี้เป็นธรรมดาว่า เมื่อมีใจปีติแล้ว กายย่อมรำงับ(เอง).
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อกายรำงับแล้ว ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า เราจงเสวยสุขเถิด. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ข้อนี้เป็นธรรมดาว่า เมื่อกายรำงับแล้ว ย่อมได้เสวยสุข(เอง).
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อมีสุข ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า จิตของเราจงตั้งมั่นเป็นสมาธิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ข้อนี้เป็นธรรมดาว่า เมื่อมีสุข จิตย่อมตั้งมั่นเป็นสมาธิ(เอง).
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิแล้ว ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า เราจงรู้เห็นตามจริง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ข้อนี้เป็นธรรมดาว่า เมื่อจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิแล้ว ย่อมรู้เห็นตามที่เป็นจริง(เอง).
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อเรารู้เห็นอยู่ตามที่เป็นจริงแล้ว ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า เราจงเบื่อหน่าย. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ข้อนี้เป็นธรรมดาว่า เมื่อรู้เห็นอยู่ตามที่เป็นจริง ย่อมเบื่อหน่าย(เอง).
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อเบื่อหน่ายแล้ว ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า เราจงคลายกำหนัด. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ข้อนี้เป็นธรรมดาว่า เมื่อเบื่อหน่ายแล้ว ย่อมคลายกำหนัด(เอง).
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อจิตคลายกำหนัดแล้ว ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า เราจงทำให้แจ้งซึ่งวิมุตติญาณทัสสนะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ข้อนี้เป็นธรรมดาว่า เมื่อคลายกำหนัดแล้ว ย่อมทำให้แจ้งซึ่งวิมุตติญาณทัสสนะ(เอง).
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ด้วยอาการอย่างนี้แล วิราคะ ย่อมมีวิมุตติญาณทัสสนะเป็นอานิสงส์ที่มุ่งหมาย ; นิพพิทา ย่อมมีวิราคะ เป็นอานิสงส์ที่มุ่งหมาย ; ยถาภูตญาณทัสสนะ ย่อมมีนิพพิทาเป็นอานิสงส์ที่มุ่งหมาย ; สมาธิ ย่อมมียถาภูตญาณทัสสนะเป็นอานิสงส์ที่มุ่งหมาย ; ปัสสัทธิ ย่อมมีสุขเป็นอานิสงส์ที่มุ่งหมาย ; ปีติ ย่อมมีสุขเป็นอานิสงส์ที่มุ่งหมาย ; ปราโมทย์ ย่อมมีปีติเป็นอานิสงส์ที่มุ่งหมาย ; อวิปปฏิสาร ย่อมมีปราโมทย์เป็นอานิสงส์ที่มุ่งหมาย ; ศีลอันเป็นกุศล ย่อมมีอวิปปฏิสาร เป็นอานิสงส์ที่มุ่งหมาย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ด้วยอาการอย่างนี้แล ธรรมย่อมไหลไปสู่ธรรม ; ธรรมย่อมทำธรรมให้เต็ม เพื่อการถึงซึ่งฝั่ง(คือนิพพาน) จากที่มิใช่ฝั่ง(คือสังสาระ) ดังนี้.
สูตรที่ 2 นิสสายวรรค เอกาทสก.อํ. ๒๔/๓๓๖/๒๐๙
(พุทธทาสภิกขุ ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์ หน้า ๓๐๕ ๓๐๗)
จากพุทธพจน์เหล่านี้ คงช่วยให้เราเบาใจได้นะคะ ว่าเราทุกคนสามารถนำธรรมมาปฏิบัติได้โดยไม่ยาก เพราะพุทธพจน์อันชวนให้เกิดกำลังใจนี้เอง
แต่
หากสัมมาทิฏฐิในระดับโลกิยะ สุกรอบ จนกลายเป็นระดับโลกุตตระไปแล้ว พระพุทธองค์กลับบอกว่า อย่าได้นิ่งนอนใจ มีเรื่องที่ต้องทำอีกมาก
ภิกษุ ท. ! เราจักบอกพวกเธอ เราจักเตือนพวกเธอให้รู้ : เมื่อพวกเธอต้องการความเป็นสมณะ ก็อย่าทำผลของความเป็นสมณะให้เสื่อมไป เพราะว่า กิจที่พวกเธอจะต้องทำให้ยิ่งขึ้นไป ยังมีอยู่.
บาลี พระพุทธภาษิต มหาอัสสปุรสูตร ม.ม. ๑๒/๕๐๐/๔๖๗
(พุทธทาสภิกขุ ขุมทรัพย์จากพระโอษฐ์ หน้า ๓๘๕)
อ่านพุทธพจน์เหล่านี้แล้ว ดิฉันรู้สึกเหมือนกับทรงทั้ง ปลอบ ทั้ง ขู่เลยค่ะ ผู้ที่เพิ่งเริ่มก็ไม่ต้องกลัวว่าจะทำไม่ได้ ตั้งหน้าตั้งตาทำไป เดี๋ยวธรรมก็ไหลไปสู่ธรรมเอง ผู้ที่เริ่มแล้ว แม้จะเห็นผลการปฏิบัติมาแล้วบ้าง ก็อย่าปล่อยปละละเลยอย่าคิดว่าได้แค่นี้ก็ดีแล้ว ควรพอใจแล้วกลับควรเร่งเพียรให้มากเพื่อแข่งกับเวลาที่เราไม่รู้ว่าเหลือเท่าไหร่ในชีวิต
และรู้สึกว่าทรงเป็นบรมครูของโลกจริงๆค่ะ
ขอบคุณมากครับ อนุโมทนาสำหรับข้อเขียน การให้ด้วยทาน "ด้วยธรรมะ" ครับ
สวัสดีค่ะ
อนุโมทนาค่ะสำหรับการให้ธรรมทานกับทุกคน...สาธุ
สวัสดีค่ะพี่ตุ๊กตา
แวะมาอ่านจนครบทุกตอนแล้ว...สงสัยคงต้องเพิ่มความเพียรให้มากขึ้น 555
ดาวอ่านจบแล้ว ต้องทิ้งร่องรอยไว้สักหน่อย เดี๋ยวจะหาว่าหายหน้าหายตาไป อิอิ
พี่ตุ๊กตาสบายดีนะคะ
คิดถึงค่ะ ^o^