หลายๆ ท่านคงจะเคยตั้งคำถามกับตัวเองหรือกับคนอื่น ๆ ว่า "อะไรคือความต้องการของชีวิต" ค่ะ ตัวคนเขียนก็เคยตั้งคำถามนี้กับตัวเองบ่อย ๆ ใช่สินะ..อะไรกันที่เป็นสิ่งปรารถนาของชีวิตเรา? สิ่งใดเล่าที่จะมาเติมเต็มชีวิตเราไม่ให้รู้สึกขาดพร่อง?
จนกระทั่งคนเขียนได้มาอ่านบทความของคุณประภาส ชลศรานนท์ จากหนังสือชุดคุยกับประภาส ลำดับที่ 7 เท่าดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นการรวมบทความและจดหมายจากคอลัมน์ "คุยกับประภาส" ในหนังสือพิมพ์มติชนฉบับวันอาทิตย์ ที่เป็นที่รู้จักและคุ้นเคยกันดีของนักอ่าน หลาย ๆ ท่านคงจะเคยได้ยินชื่อของชายผู้นี้ ผู้ซึ่งคนเขียนมองเขาเป็นผู้ชายที่มีความคิดมหัศจรรย์คนหนึ่งเลยทีเดียว แต่บางท่านอาจจะมองเห็นเขาเป็นผู้ชายที่มีความคิดบิด ๆ เบี้ยว ๆ คนหนึ่งเท่านั้นเอง แต่ท่านรู้หรือไม่ว่า ชายผู้นี้เป็นหนึ่งในสามของผู้ก่อตั้งนิตยสารไปยาลใหญ่และสำนักศิษย์สะดือที่เคยสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับกลุ่มหนุ่มสาวและวงการวรรณกรรมไทยในยุคหนึ่งมาแล้ว
คนเขียนขอนำบางส่วนในงานเขียนนั้นมาเขียนไว้ในบันทึกนี้....
สองพันกว่าปีก่อน ปราชญ์เฒ่าผู้มีชื่อเสียงยืนยาวมาถึงทุกวันนี้ก็เคยถูกตั้งคำถามจากศิษย์หนุ่ม "ท่านโสเครติส สิ่งใดคือความต้องการในชีวิตของข้าพเจ้ากันแน่" นักเรียนผู้นี้มาจากตระกูลอันมั่งคั่งได้ถามปราชญ์แห่งกรุงเอเธนส์ "เงินทอง ชื่อเสียง หรือภรรยาผู้เลอโฉม" และไม่ว่าโสเครติสจะอธิบายว่า แต่ละสิ่งที่พูดมานั้นย่อมมีความหมายต่อชีวิตไม่เหมือนกัน และไม่เท่ากัน มันขึ้นอยู่กับห้วงเวลา ศิษย์ผู้สงสัยในชีวิตผู้นั้นก็ยังคงพะเน้าพะนอพะนึงโสเครติสเพื่อหาคำตอบให้ได้ดั่งใจตัวเอง
เมื่อทนความรบเร้าไม่ไหว โสเครติสจึงตัดสินใจจูงมือศิษย์หนุ่มไปยังริมแม่น้ำ "ท่านจะพาข้าฯ ไปแห่งใด" ศิษย์ถามด้วยความสนเท่ห์
"เจ้าอยากรู้มิใช่หรือว่า สิ่งใดคือปีติแห่งชีวิตเจ้า" โสรเครติสพูดพลางดึงมือลูกศิษย์ลงไปในแม่น้ำ
"ที่นี่มีคำตอบหรือ?" ศิษย์หนุ่มถามเมื่อทั้งคู่เดินลุยน้ำมาถึงระดับเอว
ไม่ทันขาดคำ โสรเครติสก็ใช้มือทั้งสองข้างผลักลูกศิษย์ขี้สงสัยจมลงไปในน้ำ ผลักไม่ผลักเปล่า หนำซ้ำยังใช้มือกดหัวให้จมน้ำอยู่อย่างนั้น ศิษย์หนุ่มถูกกดน้ำก็พยายามดิ้นทุรนทุราย โสเครติสเห็นลูกศิษย์ดิ้นก็ไม่ยอมปล่อย กลับออกแรงกดมากขึ้น ครั้นพอคะเนได้ว่าลูกศิษย์ตัวเองเริ่มจะหมดลมหายใจ โสเครติสก็ปล่อยมือ ทันทีที่ทะลึ่งพรวดขึ้นมาหายใจได้ ศิษย์จึงรีบต่อว่าต่อขานโสเครติสอย่างหนัก "ท่านอาจารย์จะสังหารข้าฯ หรืออย่างไร?"
"ตอนที่ข้าเอามือกดหัวท่านไว้ ท่านหายใจออกไหม?" โสเครติสถามหน้าตาเฉย ลูกศิษย์รีบตอบ "ท่านวิกลจริตหรือเปล่า..ท่านโสเครติส ใครจะไปหายใจออก"
โสเครติสรุกต่อ "แล้วตอนที่ท่านกำลังจะหมดลม ท่านต้องการสิ่งใดมากที่สุดในชีวิต?" คำถามนี้ไม่ว่าใครก็ตอบได้ ว่าแล้วโสเครติสก็ตอบเอง "อากาศใช่ไหม? และตอนนี้ท่านได้มันแล้วนี่ ท่านดีใจไหมที่ได้อากาศหายใจ แล้วทีนี้ท่านรู้หรือยังว่าชีวิตต้องการอะไร?"
ผ่านมาอีกพันกว่าปี.... ปราชญ์อีกคนหนึ่งชื่อ นัสรูดิน ก็ได้ทำอะไรแปลก ๆ เพื่อตอบคำถามของผู้ต้องการพบกับความปรีดาแห่งชีวิต นัสรูดินเป็นปราชญ์ที่บางคนให้คำจำกัดความที่น่างุนงงว่า "คนโง่ที่ฉลาดที่สุด" ด้วยเป็นคนที่มีวิธีคิด วิธีพูด ที่ผิดแผกจากผู้คนทั่วไป เรื่องเล่าของนัสรูดินมักเป็นเรื่องเล่าที่เล่าต่อกันมาปากต่อปาก รวมทั้งเรื่องนี้ด้วย
วันหนึ่งนัสรูดินเดินทางมาพบกับชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ที่ทางเท้า มือข้างหนึ่งหยิบทรายขึ้นมาโปรยเล่นอย่างไร้จุดหมาย "เธอเป็นอะไรหรือ?" นัสรูดินถาม "ดูเธอหดหู่มาก เกิดอะไรขึ้นกับเธอหรือ"
"เปล่าเลย ชีวิตข้าฯปกติดี" ชายหนุ่มตอบ "ปกติดีเกินไปด้วยซ้ำ ข้าฯมีงานที่ดี มีชีวิตที่สุขสบาย แต่มันต้องมีอะไรมากกว่านี้สิ" ชายหนุ่มยังคงใช้มือกอบทรายขึ้นมาโปรยเล่น "ข้าฯ เดินทางท่องเที่ยวไปทั่ว เพื่อค้นหาว่าชีวิตมันต้องมีอะไรมากกว่านี้ที่จะทำให้ข้าฯ รู้สึกปีติ หรือท่านรู้ว่าอะไรคือความยินดีของชีวิต"
นัสรูดินไม่ตอบโต้สิ่งที่ชายหนุ่มคร่ำครวญ เขามองไปที่กระเป๋าสะพายหลังที่ชายหนุ่มถอดวางพิงไว้ข้างตัว แล้วนัสรูดินก็หยิบกระเป๋าของชายหนุ่มขึ้นมา แล้วก็เอามาสะพายไว้ที่หลังตัวเอง ขณะที่ชายหนุ่มกำลังนึกว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง นัสรูดินก็ออกวิ่งไปพร้อมกับกระเป๋าที่สะพายอยู่ข้างหลัง
"ท่านจะเอากระเป๋าข้าฯ ไปไหน?" ชายหนุ่มร้องตะโกน นัสรูดินไม่ฟัง ยังคงวิ่งต่อไป ชายหนุ่มรู้สึกประหลาดใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างมาก และทันทีที่พอจะตั้งสติได้ เขาก็รีบออกวิ่งตามนัสรูดินไป "เอากระเป๋าข้าฯ คืนมา" ชายหนุ่มวิ่งไปพลาง ตะโกนไปพลาง
ด้วยความเป็นคนที่รู้จักถนนหนทางแถวนั้นเป็นอย่างดี นัสรูดินจึงวิ่งลัดเลี้ยวเข้าซอกเข้าซอยอย่างชำนาญ ส่วนตัวชายหนุ่มก็ไม่ละความพยายามที่จะวิ่งให้ทันนัสรูดินให้ได้ แต่ดูเหมือนนัสรูดินจะแกล้ง เพราะทันทีที่ชายหนุ่มทำท่าจะวิ่งทัน นัสรูดินก็จะเร่งฝีเท้าเข้าตรอกหายไปอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อไรที่นัสรูดินทิ้งห่างชายหนุ่มมากเกินไป นัสรูดินก็จะชะลอฝีเท้าลงให้ชายหนุ่มเจ้าของกระเป๋าเห็นหลังไวๆ หลังจากวิ่งวนไปวนมาอยู่พักใหญ่ นัสรูดินก็วิ่งมาถึงจุดเดิมที่ชายหนุ่มคนนั้นนั่งอยู่ แล้วจู่ ๆ นัสรูดินก็วางกระเป๋าสะพายหลังของชายหนุ่มลงที่เดิม แล้วก็ไปแอบซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้บริเวณนั้น
เมื่อชายหนุ่มมาถึง และได้เห็นกระเป๋าตัวเองวางอยู่ สีหน้าของชายหนุ่มแสดงความยินดีอย่างออกนอกหน้าที่ได้พบกระเป๋าของตัวเองที่ดูเหมือนเพิ่งถูกวิ่งราวไปเมื่อกี้ เขาเอากระเป๋าขึ้นสะพายหลังและทำท่าเหมือนจะกระโดดด้วยความปรีดา นัสรูดินซึ่งแอบมองอยู่เห็นดังนั้น ก็ค่อยๆ เดินเลี่ยงหลบออกไป เรื่องเล่าของนัสรูดินก็จบลงเพียงนี้....
อ่านจบแล้ว ท่านผู้อ่านคิดว่าปราชญ์ทั้งสองท่านและรวมไปถึงคุณประภาสต้องการที่จะบอกอะไรกับเราคะ? ^_^
ได้มีโอกาส เข้ามาแสวงหาความรู้จากคุณต้อมอีกแล้วนะครับ ผมเองก็เคยรู้สึกแบบเดียวกับที่คุณต้อม นำมาเล่า แต่ถ้าเราไม่เคยได้เจอได้อ่านหรือได้เห็น มาก่อนเราก็อยากที่จะรู้นะครับ ว่าจริงๆแล้วเราต้องการอะไร และอะไรสำคัญต่อการมีชีวิตของเรา ของบางอย่างเราคิดว่ามันจำเป็นที่สุดและต้องการมันมาก แต่ที่จริงแล้วมันอาจที่มีค่าน้อยกว่าสิ่งที่เราไม่เคยมองเห็นค่าของมันด้วยซ้ำ ดีครับถ้าคุณต้อมเจออะไรดีๆที่มันมีประโยชน์ก็นำมาเล่าให้ฟังอีกนะครับ=^_^=
ค่ะ ต้อมว่าคนเรามักจะไม่รู้สึกพอในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ ^_^
เคยได้ยินไหมคะ ที่เขาว่ากันว่า ความสุขนั้นคล้ายผีเสื้อ หากเราวิ่งไล่จับ..มันก็จะโบยบินหนีไปให้ไกลจากเรา แต่หากเพียงเราหยุดอยู่นิ่ง ๆ มันก็จะบินเข้ามาจับใกล้เรา
สวัสดีวันพุธค่ะ ^_^
ต้อมรีบไปแก้ตัวอักษรแทบจะในทันทีที่ท่านพี่บอก แล้วก็พิสูจน์ตัวอักษรท่านพี่กลับคืน อิอิ
นี่ของท่านพี่เจ้าค่ะ >> มาช่วพิสูจน์อักษร
สวัสดีครับคุณเนปาลี
เรื่องราวประมาณนี้ผมชอบอ่านมาก ๆ ครับ มันตอบคำถามส่วนใหญ่ที่วนเวียนอยู่ในหัวมนุษย์ทั่ว ๆ ไปได้ดีครับ รวมทั้งผมด้วย ความสำเร็จ
ขออภัยครับคุณเนปาลี
ขออีกทีครับ ความสำเร็จ
ค่ะ จริงๆ แล้ว เราไม่รู้อะไรเลย
อ่ะๆๆ เสื้อสีชมพูหว๊านนน - หวาน เนอะ ^_^
ทำไมต้องเนปาลี ก็เพราะต้อมชอบไงล๊าววว อิอิ ชอบค่ะ ภูมิทัศน์กับอะไรมากมายของเมืองเนปาล และเนปาลีก็หมายถึงชาวเนปาล รวมถึงภาษาเนปาลีค่ะ แต่ต้อมจะสะกดต่างไปจากคนอื่น คือ naepalee อันนี้พิมพ์ผิดแต่ต้อมชอบ เป็นความชอบส่วนตัว อิอิ ก็เวลาพิมพ์ nae- ดูสวยกว่าพิมพ์แค่ ne- นี่คะ คุณหมออย่าขำความคิดเบี้ยวๆ ของต้อมน๊า นะนะน๊า
ที่ถูกคือ ประเทศ Nepal / ชาว Nepalese / ภาษา Nepali น่ะค่ะ
สวัสดีครับ คุณ เนปาลี เป็นครังแรกครับที่เข้ามาเยี่ยม
สวัสดีค่ะ
คุณต้อมถามว่า อะไรคือความปรารถนาของคนเรา ที่จะมาเติมเต็ม ทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตไม่พร่อง
ความเห็นส่วนตัวย่อๆ สำหรับตัวเองเท่านั้นนะคะ....เรื่องนี้ จริงๆ เป็นเรื่องยาวค่ะ พูดกันได้นานๆ
ปัจจัยที่นำไปสู่ความสุขโดยตรงของคนเรา นอกเหนือจากลมหายใจที่มีอยู่
1. เริ่มจากความสัมพันธ์ที่ดี ระหว่างสมาชิกในครอบครัว
2.คือเรื่องงาน โดยเฉพาะงานที่เมื่อทำแล้วรู้สึกว่าตนเองมีประโยชน์และมีคุณค่าต่อสังคมหรือบุคคลอื่น จะทำให้เรามีความสุขเพิ่มมากขึ้น
แต่เมื่อไรตกงาน ระดับความสุขจะลดลง ซึ่งไม่ใช่เพราะรายได้ลดลง แต่เกิดจากความรู้สึกในประโยชน์และคุณค่าของตนเองลดลง
3.สังคมรอบๆ ตัวและเพื่อนร่วมงาน ถ้าเรามีความรู้สึกว่าคนรอบๆ ตัวเรามีมิตร ที่สามารถที่จะไว้วางใจได้ จะทำให้เรามีความสุขเพิ่มขึ้น
มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งถามว่า ท่านสามารถไว้ใจคนรอบข้างได้หรือไม่?
คำตอบจากประเทศต่างๆ ในโลกนี้ต่างกันมากเลย ในประเทศบราซิลนั้นอยู่ที่ 5% ส่วนประเทศนอร์เวย์อยู่ที่ 64%
นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยที่ผู้วิจัย แกล้งทำกระเป๋าเงินตกลงบนท้องถนน โดยมีชื่อที่อยู่ของเจ้าของกระเป๋าอยู่ และพบว่าในประเทศที่มีอัตราการส่งกลับคืนสูงสุดนั้น เป็นประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย เช่นเดียวกัน
อยากจะรู้เหมือนกันว่า อัตราการส่งคืนในเมืองไทยจะเท่ากับเท่าใด
4.เป็นเรื่องของสุขภาพ สุขภาพกลับไม่ได้เป็นปัจจัยอันดับแรก ที่ส่งผลต่อความสุขของคน
เข้าใจว่าเป็นเพราะเราสามารถปรับตัว และยอมรับต่อสุขภาพของเราได้เป็นอย่างดี เช่น คนเป็นเบาหวาน ความดัน ก็ยังมีความสุขดี ถ้าปัจจัยความสุขอื่นๆ ไม่บกพร่อง
พี่มีญาติคนหนึ่ง ใน 1 เดือนหาหมอ 25 วัน เขาก็มีความสุขและอารมณ์ดี อาจเป็นเพราะชอบคนมาดุแลเอาใจ
5.ความอิสระส่วนตัว หรือ Personal Freedom มีคนที่เขียนหนังสือที่เป็นนักเศรษฐศาสตร์คนหนึ่ง เขามองเรื่องของ Personal Freedom เป็นเรื่องมหภาค
จากการศึกษาเปรียบเทียบระหว่างประเทศต่างๆ จะพบว่าในประเทศที่ประชาชนมีสิทธิมีเสียง รัฐบาลที่มีคุณภาพ (ปราศจากการทุจริตและระบบการบริการที่มีประสิทธิผล) ประเทศปราศจากความรุนแรง ประชาชนในประเทศนั้น จะมีความสุขมากกว่าประเทศที่มีลักษณะตรงข้าม
5.เรื่องค่านิยมของแต่ละคน (Personal Value หรือ Philosophy of Life) ซึ่งถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
เนื่องจากความสุขของแต่ละคน ย่อมจะมาจากตัวเราเอง คนเราจะมีความสุขเพิ่มมากขึ้น เมื่อพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อไม่เปรียบเทียบกับผู้อื่น เราจะพบความสุขจากภายในตัวเราเอง
นำรูปจากเวียดนามมาฝาก ไปเที่ยวมาเมื่อ 3 ปีที่แล้วค่ะ
แอบย่องมาถามคะ พรุ่งนี้วันที่ 3 แล้วนะค่ะ
แอบย่องมาอีก จะไม่อยู่ตั้ง 5 วันคะ ก็เลยหอบห่อความคิดถึงมาหอบใหญ่ และยังมีอีกยังไม่หมด หอบมาฝากไว้ก่อน ค่อย ๆ แกะนะค่ะ เกรงว่าจะปล่อยไปกับลมหนาว
สวัสดีค่ะ ทุกๆ ท่าน ^_^ ช่วงนี้ภารกิจรัดตัวอวบอ้วนเหลือเกินค่ะ ก็เลยทำให้ห่างหายไปจากบันทึกบ้าง
คิดถึงมากเลยนะครับ...
แต่ช่วงนี้เวลาไม่ค่อยมีเลยไม่ได้เข้ามาทักเยี่ยม..
หนังสือทำมือฉบับพิเศษ (ฉบับข้ามคืนเดียว) เสร็จแล้ว "เสยงจากโลกแคบ" ...
ในเร็ววันนี้จะส่งไปให้นะครับ
คิดถึงคุณแผ่นดินและหนุ่มน้อยอีกสองคนเหมือนกันค่ะ ^_^
แต่ช่วงนี้ต้อมก็ไม่ค่อยได้มีเวลาเข้ามาพบปะพูดคุยกันผ่านในบันทึกเลย พอสบโอกาสก็จะรีบเข้ามาทันทีเลยค่ะ
หนังสือทำมือของคุณแผ่นดิน ขอจองด้วยคนค่ะ ^_^
หนังสือต้อมยังรวบรวมต้นฉบับไม่เสร็จค่ะ งั้นเอากอดใหญ่ๆ ไปแทนก่อนได้ป่ะ? อิอิ 1 กอดใหญ่ แถมกอดเล็ก ^_^
นี่ แล้วจะบ่นทำไม ในเมื่อต้นฉบับก็ร่อนไปให้เกือบทุกวันนิ อิอิ
สวัสดีค่ะน้องต้อม ช่วงหลังๆไม่ค่อยได้แวะเวียนมาคุยกับน้องต้อมเลย ขอโทษนะค่ะ
วันก่อนนั่งๆๆ นึกถึงตอนเด็กๆ เป็นช่วงวันที่คิดว่ามีความสุข จึงคิดจะเขียนเรื่องนี้ แต่ตอนนี้ชักไม่ค่อยแน่ใจว่าสุขที่ว่าสุขจริงรึปล่าว ขอบคุณนะค่ะ
ช่วงระยะเดือนสองเดือนที่ผ่านมา แม่หมอต้อมทำนายว่า อ.แป๋ว ชีพจรลงเท้า ต้องเหาะเหินเดินอากาศ ข้ามฟ้าไปโน่น ขึ้นรถ-ลงเรือ (( เอ๊ะ ลงเรือ นี่ ชักจะไม่ค่อยแน่ใจ )) โดยตลอด อิอิ
อย่าขอโทษเลยนะคะ ต้อมก็แวะเวียนไปแอบอ่าน - แอบติดตามบันทึกของ อ.แป๋ว เสมอ ให้หายคิดถึง
โดยส่วนตัวต้อมแล้ว ต้อมคิดว่า มนุษย์เรามีความต้องการที่ไม่มีสิ้นสุด ค่ะ เรื่องโน้น-เรื่องนี้ เยอะแยะไปหมด ซึ่งก็เปลี่ยนแปลงไปตามปัจจัยและสิ่งแวดล้อมอีกเหมือนกัน
ขอบคุณ อ.แป๋ว นะคะ ^_^