ความลับเรื่องที่ 5
เรียนไฟฟ้ายังไง..ถึงซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าไม่เป็น
จากเด็กสาวขี้อายริอาจหาญไปเรียนต่อในวิทยาลัยเทคนิคฯ
ได้อย่างไรกัน? จากหัวข้อนี้เอง ที่พี่จ๊ะ เจ้าของการบ้าน tag
ความลับของฉัน...มีมากกว่าห้าแต่...ที่ได้ส่งต่อการบ้านต่อมายังฉันได้
request มา เธอบอกว่า.."ต้องเล่าให้ได้นะ
เรื่องนี้"
ก็พราะความขี้อายในระดับเว่อร์นั่นล่ะค่ะ
ทำให้ชีวิตของฉันได้พลิกผันไปได้มากขนาดนี้
ฉันจบระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายโดยได้รับโควต้าเรียนต่อหลายที่
แต่ที่ไม่มีใครรู้ก็คือ..ฉันเป็นหนึ่งในจำนวนน้อย(หรือแทบจะไม่มีเลย)ที่สอบสัมภาษณ์ตก
ฉันบอกแล้วไงว่าขี้อาย และก็เลยไม่ยอมคุยกับคนแปลกหน้า
อย่างเช่น ฉันได้โควต้าเรียนวิชาเอกภาษาอังกฤษ
แต่กลับไม่ยอมคุยกับอาจารย์ฝรั่งที่มาสอบสัมภาษณ์
เขาถามคำถามอะไรมา..ฉันก็ตอบไปคนละเรื่อง
แถมยังมีหน้าถามอาจารย์ฝรั่งไปว่า "ขอคำถามเป็นภาษาไทยได้ไหมคะ?"
อีกทั้งไม่ยอมไปสอบเอนทรานซ์เพราะกลัวสอบติดและต้องไปเจอผู้คนมากมาย
และพอดีที่ญาติฉันมีสามีเป็นอาจารย์หัวหน้าคณะช่างก่อสร้าง-สถาปัตยกรรม
ที่วิทยาลัยเทคนิคฯ แวะมาคุยด้วย
และแนะนำให้ฉันไปสอบที่นั่น
และแล้วฉันก็สอบผ่านเข้าไปเป็นนักศึกษาหญิงจำนวนน้อย(มากๆ)ในนั้น
สาขาวิชาช่างเทคนิควิศวกรรมไฟฟ้า
ช่วงเดือนแรกที่ไปเรียนก็ร้องไห้ทุกวัน
ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงมาเรียนที่นี่
เดินไปทางไหนก็มีแต่นักศึกษาชายเต็มไปหมด มองมาที่ฉันทำไม?..ไม่รู้หรือไงว่าฉันขี้อาย แงๆๆ
พอที่บ้านรู้ก็เลยบอกให้ออกจากที่นั่น แล้วปีหน้าค่อยหาที่เรียนใหม่
เจอคำนี้ก็เลย "ฮึด"
บอกตัวเองว่า..จะต้องอยู่ในนี้ให้ได้ครบสองปี
และบังเอิญว่าฉันมีญาติเป็นอาจารย์สอนคณะสถาปัตยกรรม
และคณะช่างยนต์ รวมไปถึงที่ใครๆ
ต่างเข้าใจว่าฉันเป็นหลานสาวอาจารย์ที่เป็นหัวหน้าคณะก่อสร้าง+สถาปัตยกรรม
ก็เลยสบายแฮ และฉันโชคดีที่เพื่อนๆ
ในห้องดีกับฉัน พวกเขาซึ่งส่วนใหญ่มีอายุมากกว่าฉัน
(บางคนก็ทำงานแล้ว)ก็ดูแลและเอาใจใส่ฉันดีพอสมควร
ไม่เคยล่วงเกินทางสายตาและวาจาหยาบโลนเหมือนที่ผู้หญิง
(นักเรียนหญิง)คนอื่นมักจะเจอ
ยังจำได้ว่าวิชาแรกที่เจอคือ วิชาการติดตั้งไฟฟ้า
ช่วงเรียนทฤษฎีนั้น..เนื่องจากเป็นคาบแรก
อาจารย์ก็อธิบายและพูดถึงเนื้อหาในวิชานี้
พอช่วงบ่ายก็เป็นภาคปฏิบัติ..อาจารย์สั่งงานไว้ให้
"รีดสายไฟ"
ฉันซึ่งเป็นเด็กสาวตัวเล็กๆ (ในตอนนั้น) ได้แต่ทำหน้างงๆ
เพื่อนผู้หญิงอีกคนที่เรียนห้องเดียวกันก็ยังไม่มา
แล้วฉันจะทำอย่างไรดี
ได้แต่หยิบสายไฟฟ้าที่ถูกใช้แล้วจนมีสภาพหงิกๆ งอๆ
ขึ้นมามองดู ทำหน้าแหยๆ ถามเพื่อนชายในห้องว่า
"เขารีดกันยังไงเหรอ?"
เขาคนนั้นหันหน้ามาแล้วพูดใส่หน้าฉันว่า.."ตกลงมาเรียนทำไม
ไม่รู้อะไรเลยเหรอ?"
...................ฉันเงียบ.................จนเขาเห็นฉันนิ่งๆ
โอ๊ะ ยังไม่ร้องไห้ค่ะ แค่เม้มริมฝีปากเอง
ก้มหน้า น้ำตาปริ่มๆ
เขาคนนั้นเห็นท่าจะไม่ดีก็เลยรีบเอาไปทำให้ อิอิ ^^
ที่พี่จ๊ะ
อยากรู้ว่าฉันเรียนไฟฟ้ายังไงถึงจบออกมาโดยที่ซ่อมเครื่องใฟฟ้าอะไรไม่เป็นเลยนั้น
คำตอบก็มีอยู่ว่า..ก็เพราะไม่ค่อยได้เข้าเรียนนะสิ
ไม่นะ..ฉันไม่ใช่เด็กเกเรแน่นอน
เป็นเด็กสาวที่เรียบร้อย หน้าตาบ๊องแบ๊ว
หากแต่เพราะความที่เป็นคนขี้อายก็เลยไม่ค่อยเข้าเรียนในวันที่ต้องมีคาบเรียนช่วงเที่ยงๆ
ที่นักศึกษาภาคเช้ายังอยู่กันเต็มวิทยาลัย
บวกกับที่ฉันไม่ชอบวิชาเลขแล้วมาเรียนไฟฟ้า
รู้ไหมวิชาที่ฉันต้องเจอมีอะไรบ้าง?.. คณิตศาสตร์
เครื่องกลไฟฟ้า วงจรไฟฟ้า เครื่องวัดไฟฟ้า
อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ กลศาสตร์วิศวกรรม
พัลซ์และดิจิตอลเทคนิค ฯลฯ ก็ตัวเลขทั้งนั้น
วิชาวงจรไฟฟ้าที่ต้องมีการพันหม้อแปลงไฟฟ้าด้วย
แล้วก็ปรากฏว่า..ระเบิดตู้ม เฮ้!
ก็มีระเบิดหลายคนนะ
มันก็แค่เรื่องที่ผิดพลาดทางเทคนิคนิดหน่อย
ต้องมานั่งเสียเวลาทำใหม่อีก แย่จัง!
วิชาการติดตั้งไฟฟ้าในวันที่มีการสอบปฏิบัติที่ต้องขึ้นไปติดตั้งถ้วย
ฉันปีนขึ้นไปบนเสาไฟฟ้าได้ครึ่งทางก็ไม่สามารถขึ้นไปต่อได้
เพราะท่อนเหล็กที่มัดติดรองเท้าฉันเกิดติดอยู่ในรู (ที่ข้างๆ เสาไฟฟ้า
คุณจะเห็นรู -- อืม เคยเห็นพนักงานของการไฟฟ้าปีนเสาไฟฟ้าไหม?
จะมีเหล็กที่เราต้องมัดติดรองเท้า แล้วนั่นล่ะ
ก็ปีนขึ้นไปอย่างนั้น
แต่ไม่แน่ใจเขาเรียกเหล็กนั้นว่าอะไร? อิอิ)
พอเพื่อนๆ เรียก ฉันก็ก้มลงมามองเพื่อน
หมวกนิรภัยก็หล่นตุ๊บให้เพื่อนๆ ตกใจ
เพื่อนรีบวิ่งไปบังอาจารย์ไว้ไม่ให้มองมาที่ฉันด้วยการชวนอาจารย์คุย
ส่วนอีกหลายๆ คนก็โยนหมวกนิรภัยขึ้นไปให้ฉันใหม่
ขลุกขลักและทุลักทุเลดีแท้
แต่ฉันก็ผ่านมาได้ วิชาเครื่องทำความเย็น..แรกๆ
ฉันก็นั่งหน้าห้องดีหรอก แต่พอนานๆ
ไปก็ชักจะมาเรียนสาย
ก็เพราะเพื่อนมารับฉันช้านะสิ และเรียนตอนบ่ายๆ
นี่ก็ง่วงแสนง่วงนะ แอบหลับตลอด
แต่ก็วางท่าเสียเนียน
จนเพื่อนชายทั้งหลายหมั่นไส้
คืนหนึ่งที่ฉันไปนั่งเขียนแบบในห้องนอนของเพื่อนชายร่วมห้อง
(ฉันไม่มีโต๊ะเขียนแบบ)..
เพื่อนก็เข้าไปอาบน้ำเพราะมันดึกแล้วไง
แล้วระหว่างที่ฉันกำลังนั่งเขียนแบบอยู่นั้น
โทรศัพท์ก็ดังกริ๊ง! ฉันก็รับสายและทางปลายสายพอรู้ว่าฉันเป็นผู้หญิงก็เงียบกริบ
ก่อนจะส่งเสียงถามว่า "...อยู่ไหน?"
ฉันก็บอกไปว่า.."อาบน้ำอยู่ค่ะ"
เธอคนนั้นวางหูใส่ฉัน โอ้!
ได้ข่าวว่าเพื่อนต้องเคลียร์กับแฟนตั้งหลายวัน อิอิ
ให้พวกฉันเอามาล้อเป็นที่สนุกสนาน
บ่อยๆ ที่ฉันต้องไปนั่งเฝ้าเพื่อนชายในห้องที่ร้านยาดองใกล้ๆ
กับวิทยาลัย
ก็ไม่ได้อยากไปเลยแต่ในที่สุดก็ต้องตามใจพวกเขา และหลายๆ
ครั้งที่เพื่อนๆ มีเรื่องกับนักศึกษาชายแผนกช่างอื่น
พวกเขาก็จะยื่นกุญแจรถมอเตอร์ไซค์ให้ฉันและบอกว่า..
"มีอะไรเกิดขึ้น ต้อมรีบเอารถหนีไปเลยนะ
ไม่ต้องห่วงพวกผม" เออนะ
พูดอะไรไม่คิดกันเลย
จนป่านนี้จะรู้กันไหมเนี่ยว่าฉันขี่รถมอเตอร์ไซค์มีคลัชไม่เป็น
หลายๆ ครั้งที่ฉันวิ่งมาเรียนที่อาคารไฟฟ้า
มาก็สายแถมยังไม่พอก็มาถึงแล้วถอดเสื้อ.. ค่ะ
ถอดเสื้อช้อฟโยนให้เพื่อนชายซักให้โดยไม่อายต่อสายตารุ่นน้องรุ่นพี่แถวนั้นเลย
(เอ๊ะ หรือว่าอยู่ๆ นานๆ ไปก็ชิน)
ก็เพื่อนฉัน(ครึ่งห้อง)เรียนปฏิบัติซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าอุตสาหกรรมนี่
พวกเขาซ่อมเครื่องซักผ้า/เครื่องรีดผ้าอุตสาหกรรม
หรือไม่ก็เข็นมอเตอร์ไซค์มาที่หน้าอาคารเรียนให้เพื่อนชายทั้งหลายช่วยล้างให้ในวิชาที่เกี่ยวกับการซ่อมเครื่องล้างอัดฉีด
ฉันเคยต้องซ่อมกิจกรรมด้วยในตอนก่อนจบภาคการศึกษา ด้วยความที่ฉันเรียนภาคบ่าย
ดังนั้นฉันจึงมีเรียนอาทิตย์ละหกวันและในวันเสาร์จะมีเรียนทั้งวัน
หมายความว่าในเช้าวันเสาร์จะต้องมีการยืนเคารพธงชาติ
เพื่อนหญิงร่วมห้องฉัน..เธอจะติดการ์ตูนโดราเอมอนมาก
การ์ตูนจบเมื่อไหร่..เธอจึงจะมาเรียนเมื่อนั้น
แล้วจะให้ฉันซึ่งเป็นผู้หญิงคนเดียวไปยืนเข้าแถวนี่นะ
โอย..ไม่เอาล่ะ
ก็เลยต้องตกกิจกรรมทั้งคู่ไง
แถมอาจารย์ผู้หญิงยังแซวฉันอีกว่า.. "สาวเชียงใหม่ชวนสาวชาวกรุงเที่ยวจนตกกิจกรรมล่ะสิ"
แหม..อาจารย์ก็..หนูอายนะเนี่ย
ที่ชอบมากกับการเป็นนักเรียนช่าง ก็คือ
การได้สวมเครื่องแบบนักเรียนช่างไปเรียนไง
เสื้อชอฟสีแดงเลือดหมู กางเกงสีกรมท่า
รองเท้าหนัง ทำให้สาวๆ
หลายคนชอบมองเพราะคิดว่าฉันเป็นทอม
ไม่รู้หรือไงว่าฉันแทบจะเดินขาขวิดอยู่แล้วนะ
T_T
จนกระทั่ง ณ วันนี้ก็ไม่มีใครเคยเชื่อว่าฉันคนนี้จบอะไรมา
และก็มักจะมีคนถามกันอยู่เรื่อยว่าฉันได้อะไรจากตรงนั้น
ฉันก็ตอบได้ทันทีว่า.. "ได้เรียนรู้ชีวิตในอีกแง่มุมยังไงล่ะ"
จริงไหมคะ?
ชีวิตนอกลู่นอกรอยที่จะไม่มีวันได้สัมผัสหากฉันได้เลือกอีกเส้นทางหนึ่ง
ฉันไม่ค่อยได้ใช้ชีวิตในห้องเรียนสักเท่าไหร่หรอกนะ
ก็ไปเรียนเท่าที่อยากจะไป
ส่วนใหญ่ฉันก็จะนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้อง
พอจบปุ๊บ..ทุกวิชาที่ได้เรียนรู้มาก็คืนให้ครูบาอาจารย์ปั๊บ
แล้วฉันจะซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นได้อย่างไร???????