28 พฤศจิกายน
ฉันตื่นนอนแต่เช้าด้วยอาการระบมเหมือนเคย
แต่ก็ฝืนลุกมาอาบน้ำและก็ยังลังเลว่าจะออกไปข้างนอกดีไหม อยากจะใส่บาตรและ..อยากจะได้รูปและข้อมูลเกี่ยวกับปายให้เยอะกว่านี้
มองดูนาฬิกาก็ยังแค่ตีห้าเอง
ข้างนอกนั่นก็มืดไปด้วยหมอกเหมยที่หล่นเป็นสายฟุ้งกำจายอยู่ทั่วผืนบริเวณ เอาล่ะ..ไม่มีโอกาสแก้ตัวในวันรุ่งขึ้นอีกแล้ว
เพราะฉะนั้น..ต้อง "ไปให้ถึงปาย" ให้ได้
ฉันขี่มอเตอร์ไซค์ฝ่าความมืดไปตามหนทางข้างหน้าเข้าสู่ตัวเมืองปาย
จอดรถไว้ที่หน้าร้าน
7-11 และเดินไปซื้อชุดใส่บาตรที่มีคนตั้งโต๊ะขาย
ดูเหมือนฉันจะเป็นลูกค้ารายแรกๆ
และสายตาของคนพื้นที่มองดูเหมือนจะบอกต่อๆ กันว่า "นักท่องเที่ยวคนนี้ตื่นเช้าจัง"
ฉันอยากจะร้องตะโกนบอกพวกเขาไปดังๆ ว่า "มันจำเป็น" T_T
และแล้วฉันก็ได้ใส่บาตร สาธุๆๆ
ฉันเดินหาร้านโจ๊กลุงอ๊อดที่เขาลือกันนักหนาว่าอร่อย
เปล่าหรอกค่ะ..เช้าเกินไปที่ฉันจะหาอะไรทาน
แต่ก็ขอถ่ายรูปมายืนยันกับพี่ๆ
นะคะ ว่าได้ไปเห็นกับตามาแล้วจริงๆ
แต่ตอนนั้น..ยังเช้าไปหรือเปล่า
ฉันจึงไม่เห็นคนมาทานโจ๊กกันเลย
แต่พอฉันยกกล้องลงเก็บ..ปรากฏว่าทั้งคนพื้นที่และนักท่องเที่ยวยืนมุงเต็มหน้าร้านเลย
ฉันขี่มอเตอร์ไซค์ออกมายังถนนอีกเส้นเพื่อหาสี่แยกไฟแดง
ก็ท่องเอาไว้ตั้งนานว่าอีกร้านหนึ่งที่จะต้องไม่พลาดก็คือ
"ร้านน้ำเต้าหู้-ปาท่องโก๋เมืองปาย"
ลืมดูจนได้ว่ามีไฟแดงไหม..แต่มันอยู่ตรงสี่แยกใกล้ๆ
กับร้านส้มตำหน้าอำเภอ
ฉันจอดรถและเดินเข้าไปนั่งสั่นเพราะความหนาวในร้าน
สั่งน้ำเต้าหู้-ปาท่องโก๋
พี่เจ้าของร้านเอาชามะลิมาเสริฟ์ก่อน..หอมมากๆๆ ^^
ร้านนี้อร่อยค่ะ
และตอนที่กำลังทานก็โทรคุยกับบล็อกเกอร์ใน G2K ที่ชื่อ
ครูแอน
ถามทางไปสะพานประวัติศาสตร์
และเธอบอกว่าฉันต้องขี่มอเตอร์ไซค์ย้อนกลับไปทางบ้านปายตาอีกเกือบเจ็ดกิโลเมตร
o_O (ขอแก้ไข จากเดิมเขียนไว้
20 กิโลเมตร โดยคุณจตุพร
วิศิษฏ์โชติอังกูร--ขอบพระคุณค่ะ)
ฉันขี่มอเตอร์ไซค์ออกจากร้านน้ำเต้าหู้-ปาท่องโก๋เมืองปายสู่เส้นทางถนนสายปาย-ห้วยน้ำดัง-เชียงใหม่
เป็นระยะทางกว่ายี่สิบกว่ากิโล
รู้สึกว่าตัวเองเหมือนคนบ้าหรือเปล่าที่ต้องมาทำอะไรแบบนี้
ขี่รถมอเตอร์ไซค์ฝ่าไอหมอกในระยะทางไกลๆ ในเวลาที่ชาวบ้านชาวเมืองก็ยังคงนอนหลับอุ่นๆ
อยู่บนที่นอน แต่ความรู้สึกที่ละอองหมอกติดตรงที่เปลือกตานั้น..มันสุดจะบรรยายจริงๆ
ความสุขๆๆ..ฉันมีความสุขกับอารมณ์ที่พบโดยบังเอิญนี้เหลือเกิน
คุณเคยมีละอองหมอกเหมยติดอยู่ที่ตรงเปลือกตาบ้างไหม?
ในที่สุด..ฉันก็ถึงจุดที่ตั้งของสะพานประวัติศาสตร์
และถ่ายรูปเก็บมาฝากพี่ๆ ได้
และ..เดินข้ามไปอีกฝั่งของถนนจะเป็นร้านกาแฟวาวี
ขอขอบคุณ
ภาพนี้..ร้านกาแฟวาวี อภินันทนาการจากท่านหัวหน้า
(คุณพิทักษ์)
รีบกลับมาบ้านปายตาเพื่อเก็บของใส่เป้ใบใหญ่
รู้สึกใจหายอยู่เหมือนกัน..
ภายในบริเวณบ้านยังคงเงียบสงบเหมือนเคย
ฉันออกมานั่งผิงไฟบนศาลาทานข้าว
พี่กบให้แม่บ้านจุดไฟบนเตา
ฉันเดินไปชงกาแฟ+ไมโลมาหนึ่งแก้ว
แต่นึกไปนึกมาแล้วการจะนั่งทานมื้อเช้าใกล้ๆ
เตาไฟคงทุลักทุเลน่าดู
เลยตัดสินใจย้ายไปนั่งที่โต๊ะทานข้าวนั่นล่ะ..
มื้อเช้าวันนี้ของฉันเป็นอเมริกัน เบร็คฟัสท์
แสนอร่อย
ที่ประกอบไปด้วยไข่ดาวสองฟอง-ไส้กรอก-ขนมปัง
และสลัดผักแสนอร่อย นั่งทานมื้อเช้าพร้อมๆ
กับชื่นชมละอองหมอกที่หล่นเป็นสายอยู่ภายนอกศาลาแห่งนี้
เหมือนเมืองในฝันเชียว
และฉันมีความสุขจัง
ระหว่างทานมื้อเช้าก็มีแขกผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเดินถ่ายรูปบริเวณนั้น
และว่าแล้วเชียว..เธอขอถ่ายรูปฉัน
แบบว่าให้ฉันเป็นนางแบบนั่งทานมื้อเช้าบนศาลายังไงล่ะ
อืม..งานเข้า ก็ร้องบอกไปว่า.."ช่วยถ่ายให้ตัวผอมๆ
หน่อยนะคะ" ^^
ทานมื้อเช้าเสร็จก็ยกถ้วยกาแฟไปนั่งจิบที่ข้างๆ
เตาไฟ
ในถ้วยกาแฟที่เข้มข้นคลั่กไปด้วยความหอมหวานละมุนกับอารมณ์ละเมียดของฉันอาจจะเป็นที่น่าอิจฉาของใครๆ ที่มีช่วงเวลารีบเร่ง
บางที..สิ่งที่จรรโลงจิตใจของเราก็อาจจะเป็นเพียงแค่ความเรียบง่าย
ที่แม้แต่เราเองก็ยังนึกไม่ถึง
ฉันใช้เวลาก่อนเช็คเอ้าท์เดินถ่ายรูปเล่นไปเรื่อยเปื่อย
จนพี่ปันเรียกให้เข้าไปชมข้างในบ้านพักหลังใหญ่ที่ชื่อข้าวหอมที่แขกได้ทำการเช็คเอ้าท์และแม่บ้านได้ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว
เป็นบ้านดินหลังใหญ่ทรงแปดเหลี่ยม
ตั้งอยู่บนเนินเขาที่เราจะสามารถมองเห็นวิวปายบางส่วนได้
คงเป็นหลังเดียวที่มีมุมนั่งเล่นกว้างขวางตรงระเบียงด้านนอก
แถมข้างในตัวบ้านยังมีมุมกาแฟ มุมหนังสือ
ตู้เย็น นับว่าความสะดวกครบครัน
ราคาเริ่มต้นที่ 3000 บาท/คืน
พร้อมอาหารเช้าตะกร้าผลไม้ ถ้าพี่ๆ
คนไหนสนใจอยากจะค้างที่บ้านข้าวหอมหลังนี้และไม่มีเพื่อน..ฉันขออาสามานอนเป็นเพื่อนด้วยความเต็มใจเลยนะ
จะบอกให้ ^^
ฉันชอบระเบียงของบ้านหลังนี้มาก..นอนดูดาวคงสุขใจดีแท้
จริงๆ
แล้วจะบอกว่าฉันตีซี๊กะแม่บ้าน
คงเพราะพูดจาภาษาเหนือเหมือนกัน
และพอแม่บ้านทำความสะอาดบ้านหลังไหนเสร็จก็จะมาเรียกฉันไปถ่ายรูปบ้านพักหลังนั้นทันที
^^
หลังจากเก็บของใส่เป้จนหมด..
นั่งเอ้อระเหยวาดรูปจนเสร็จ
ฉันใช้เวลาว่างมานั่งระบายสีเล่นจนได้รูปนี้
มันอาจจะไม่สวยและไม่เห็นว่าจะเกี่ยวกับ "ปาย"
ตรงไหนเลย แต่ฉันชอบของฉันแบบนี้
ตั้งใจจะวาดเปลญวนผูกที่ต้นไม้ทั้งสอง..แต่ก็ลืมจนได้
ภาพนี้มีราคาแพงจังตั้งสี่พันแน่ะ จริงๆ
แล้วฉันวาดรูปแบบนี้ที่บ้านก็ได้นะเนี่ย แงๆๆ T_T
เดินแบกเป้ออกมาจากบ้านข้าวตัง
เรียกแม่บ้านที่เดินอยู่แถวๆ
นั้นให้เข้ามาตรวจดูความเรียบร้อย
แล้วฉันก็เดินออกไปที่หน้าบ้านเพื่อจ่ายค่าเครื่องดื่มที่เคยสั่งๆ
เอาไว้ในระหว่างที่พักอยู่ที่นี่กับพี่ปัน
ระหว่างนั้นคุณแต้กก็ออกมาเช็คเอ้าท์ในเวลาไล่เลี่ยกัน
และฉันก็สังเกตว่าใกล้ๆ
เค้าน์เตอร์มีตาลุงคนหนึ่งกับเด็กหนุ่มนั่งก๊งเหล้าแต่หัววัน
แล้วยังไงก็ไม่รู้..พี่ปันก็แนะนำคุณแต้กว่าถ้าวันนี้ยัง walk in
หาที่พักที่ไหนไม่ได้ก็ขอแนะนำโฮมสเตย์ของน้าฉายคนนี้
ฉันแอบนึกในใจว่าพี่ปันคิดยังไงจะให้คุณแต้กไปพักบ้านตาลุงขี้เมาคนนี้เนี่ยนะ
มีน้องคนหนึ่งชื่อหนึ่งมานั่งคุยในวงสนทนาวงใหญ่
(ฉันนับรวมฉันเข้าไปด้วย)
น้องหนึ่งขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านมาพอดีและแวะสั่งข้าวทานที่นี่และระหว่างรอก็เลยได้คุยกัน
ตาลุงขี้เมานี่บอกว่ากลุ่มเด็กหนุ่มนี่มาถ่ายทำสกู๊ปชีวิตเขา
ฉันแปลกใจมาก..ชีวิตตาลุงเนี่ยนะ??????? พี่ปันบอกคุณแต้กว่าน้าฉายคนนี้ไว้ใจได้
และที่น่าตกใจก็คือคุณแต้กตกลง(ว่ะ)
กลุ่มสนทนาออกรสชาติกันมากและคุณแต้กบอกว่าจำได้แล้วว่าตาลุงนี่คือใคร?..คือพ่อของดากานดา
นางเอกเรื่อง "เพื่อนสนิท" นี่เอง
ทุกคนในวงสนทนารู้จักหมด..ยกเว้นฉัน
ก็ฉันดูหนังเสียที่ไหนล่ะ
แล้วตาลุงนี่ก็ถามว่าฉันมีแพลนจะไปไหนต่อ
ฉันบอกไปว่าจะไปทานมื้อกลางวันที่ร้านส้มตำหน้าอำเภออันเลื่องชื่อ
ตาลุงบอกว่าฉันกับคุณแต้กน่าจะไปทานที่ครัวอีสานกับเขาและทีมงาน
พอดีพี่ปันสำทับมาว่าร้านครัวอีสานอร่อย..น่าจะลองไปกันละ
ฉันยังลังเล
แล้วตาลุงขี้เมาก็บอกฉันว่าเขามีแกลอรี่ด้วย
ได้ยินคำว่า
"แกลอรี่"..ฉันหูผึ่งเลยตอบตกลงไปทานข้าวกับพวกเขา
ตาลุงคนนั้นให้หนุ่มคนหนึ่งในทีมงานเอาสมุดบันทึกของฉันไปจดเวบไซต์ให้ฉัน
<คลิกที่นี่>
และเขาแนะนำทีมงานให้รู้จักกับพวกฉัน
แต่ละคนน่ารักและอัธยาศัยดีเสียจนฉันสงสัยว่าเป็นการมาถ่ายทำสกู๊ปจริงๆ
หรือเปล่า???????
วงสนทนาครื้นเครงเสียจน..ฉันรู้สึกชอบฟังทุกเรื่องเล่าของตาลุงนี่เสียจริงๆ
ตาลุงขี้เมารอจนทีมงานมาครบทุกคนก็ให้หนุ่มคนหนึ่งยกเป้ของฉันกับคุณแต้กไปไว้ในรถทีมงาน
และเขารวมทั้งคุณแต้กกับฉันจะขี่มอเตอร์ไซค์ตามไปที่ร้านครัวอีสาน (พิกัดอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้..ฉันขี่มอเตอร์ไซค์ตามตาลุงขี้เมาไปเรื่อยๆ)
แต่ตอนที่กำลังจะเคลื่อนทัพ..ตาลุงคนนี้ก็ทำมอเตอร์ไซค์คู่ใจของเขาล้มเสียก่อนที่หน้าบ้านปายตานั่นเอง
ฉันยิ้มแหยๆ พร้อมกับนึกในใจว่า.."คิดถูกหรือคิดผิดวะเนี่ย?"
แล้วก็ถึงร้านครัวอีสานเสียที
อาหารอร่อยมากๆๆ++
ไก่ย่างเนื้อนุ่มรสชาติหอมหวาน
ปลาดุกเผาที่เคยไม่ชอบทาน..ฉันก็ยังเล็มๆ
ด้วยความเอร็ดอร่อย ฉันคุยกับเขา
(ซึ่งตอนนี้พอจะรู้แล้วว่าเคยเป็นอาจารย์)และภรรยามากมายหลายเรื่อง
เรื่องที่ฉันสนใจก็คืออาจารย์คนนี้ (เห็นใครๆ เรียก "น้าฉาย")
สอนศิลปะเด็กในวันเสาร์ด้วย
และเธอชวนฉันไปชมแกลอรี่
ฉันตอบตกลงจะไปดูแกลอรี่ที่ว่านั่นและเกริ่นๆ
ไปว่าอยากเรียนวาดรูปเหลือเกิน ทั้งๆ
ที่ก็นึกในใจว่าอย่างตาลุงขี้เมานี่จะสอนเด็กได้อย่างไรกัน
แล้วเราก็เตรียมเคลื่อนพลอีกครั้ง
และตาลุงขี้เมาก็ซิ่งมอเตอร์ไซค์ไปชนรถอีกคันที่จอดอยู่ใกล้ๆ
กัน
พวกทีมงานกับฉันตกใจ(ฉิบหาย--หรือแค่ฉันคนเดียว)
ฉันนึกในใจอีกครั้ง.."คิดถูกหรือคิดผิดวะเนี่ย?"
พวกทีมงานเคลียร์ค่าใช้จ่ายกับนักท่องเที่ยวคนนั้น..แต่เขาบอกว่าไม่เป็นไร
เพราะมันเป็นอุบัติเหตุ น่ารักจัง ^^
และแล้วฉันก็หลวมตัวตามตาลุงขี้เมาที่ฉันเรียกเขาว่า "อาจารย์ๆๆ"
ไปจนถึงบ้านของเขาจนได้
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกันข้ามกับวัดน้ำฮูนั่นเอง
ตาลุงพาฉันทัวร์บ้านแกระหว่างที่คณะทีมงานอาบน้ำอาบท่าเพื่อเตรียมตัวไปงานโตรอน
บ้านของตาลุงเป็นแกลอรี่และโฮมสเตย์ด้วย
บนชั้นสองจะมีห้องพักอยู่สองห้องและสนนราคาก็คงหลายร้อยบาท
ส่วนลานสนามหญ้าก็มีเต้นท์กางไว้อยู่หลายหลัง ได้ยินแว่วๆ
ว่าราคาช่วงไม่ค่อยมีผู้คนจะตกที่ 150 บาท
แต่หากเป็นช่วงนี้ที่ผู้คนมากมายก็ 300 บาท
ฉันถอดรองเท้าเข้าไปชมส่วนที่แกเรียกว่าเป็นแกลอรี่
ภาพเขียนแต่ละภาพทำเอาฉันอึ้ง
แต่ที่อึ้งมากกว่าก็คือบทสัมภาษณ์และประวัติของตาลุงขี้เมาคนที่ฉันตามเขามาโดยที่ไม่รู้ว่าคือใครนี่
เขาคนนี้คือ ดร.ภูฉาย ณ พัทลุง
นักดนตรีเปิดหมวกรุ่นแรกๆ ของเมืองไทย
ที่เดินทางไปเล่นดนตรีในสถานที่ต่างๆ
ทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศ
สมัยอยู่อเมริกาก็เขียนพ้อกเก็ตบุ๊ค เขียนรูป
ร้องเพลงไปตามถนนบรอดเวย์
ดร.ภูฉาย ณ
พัทลุง
ขอขอบคุณ..ภาพนี้จาก www.pantawn.com
ผลงานของอาจารย์..บางส่วนในแกลอรี่
เรานั่งคุยกันเรื่องวาดรูปอย่างออกรส
จู่ๆ อาจารย์ภูฉายก็ถามฉันว่าชอบรูปไหนที่สุด
ฉันบอกไปว่าชอบรูปนั้น
อาจารย์บอกว่าภาพนั้นชื่อสุริยัน-จันทรา
ราคาสามหมื่นกว่าบาทและมีคนซื้อแล้ว
โอ้..แม่เจ้า
ฉันบอกกับอาจารย์ไปว่าทั้งชีวิตคงจะไม่มีโอกาสได้ครอบครองรูปราคาแพงๆ
แบบนี้
ชื่อภาพ..สุริยัน-จันทรา
อาจารย์ภูฉายถามฉันว่าชอบรูปไหนอีก
ชี้ไปที่รูปไหนก็ดูเหมือนว่าไม่ต่ำกว่าสองหมื่นเลย
แล้วอาจารย์ก็ให้ฉันทายว่ารูปขนาดฝ่ามือที่อาจารย์ชี้นั่นราคาตกที่จำนวนเท่าไหร่?
ฉันบอกไปว่าไม่ชอบทายและถึงทายก็คงไม่ถูก
อาจารย์บอกว่าชิ้นละ 5000 บาท
ฉันกับคุณแต้กร้องห๊า!
อาจารย์บอกฉันว่า.."ชอบรูปไหนก็เลือกไปสิ
คิดราคา 200 ทั้งๆ ที่กรอบก็ปาเข้าไปจะ 300-500 แล้วนั่น
งั้นเอาไปแต่รูปก็แล้วกัน..ถอดกรอบไว้
ฮ่าๆๆ"
ฉันนั่งนิ่งพลางคิดบวกลบคูณหารอยู่ในใจ
ฉันมาปายในคราวนี้ต้องเสียค่าที่พักโดยใช่เหตุตั้งสี่พันบาทบวกกับค่าจิปาถะอีกร่วมสองพันกว่า
ถ้าฉันซื้อรูปของอาจารย์ภูฉายในราคา 200
บาทนี้สักหนึ่งรูปหรือจะสองสามรูปก็นับว่าได้กำไร
ทุก ๆ สิ่งรอบๆ
ตัวเหมือนหยุดนิ่งไปหมดเพื่อรอคำตอบจากฉัน
แล้วฉันก็ตอบอาจารย์ภูฉายไปว่า "ขอบคุณค่ะ
ต้อมชอบนะคะ..แต่อาจารย์ไว้ขายคนที่เขาอยากได้จริงๆและซื้อเต็มราคาดีกว่าค่ะ"
และฉันก็รู้สึกว่าตัวเองหัวใจพองโตและยิ้มได้จากหัวใจจริงๆ
^^
ชิ้นละห้าพันบาท
^^
อาจารย์บอกฉันว่าเทคนิคที่ใช้วาดภาพเหล่านี้คือ
การใช้ดินสอสีกับปากกาแค่นี้เอง
อาจารย์ถามฉันว่าแล้วตกลงจะมาเรียนวาดภาพกันเมื่อไหร่จะได้เตรียมอุปกรณ์ต่างๆ
ให้
และสำหรับฉัน..อาจารย์จะสอนวาดภาพสีน้ำและต้องเป็นแบบที่สามารถใช้ทำเงินได้
ฉันยืนคิด
สงสัยจะคิดนานไปหน่อย..จนอาจารย์ถามว่าคิดนานจัง(ว่ะ)
ฉันบอกไปว่าค่ารถจากบ้านฉันเข้าตัวเมืองเชียงใหม่+ค่ารถต่อไปอาเขต+ค่ารถมาปาย+ค่าเช่ามอเตอร์ไซค์+ค่าเช่าเต้นท์ที่สนามหน้าบ้านอาจารย์+ค่ากิน
รวมกันมันก็มากเอาการอยู่นะ
จะพยายามมาให้ได้เดือนละครั้งก็แล้วกัน
อาจารย์ภูฉายนิ่งและอึ้งไปชั่วขณะหนึ่งก่อนหัวเราะขำๆ แล้วบอกว่า
"โอย..ย..ย ถามจริงๆ
นะ ต้อมบ้าหรือเปล่า?
อยู่ตั้งไกลและเสียค่าเดินทางขนาดนั้น"
เออ..ตกลงใครบ้ากันแน่(วะ)เนี่ย
ก็เลยตกลงว่าอาจารย์ขอที่อยู่ของฉันเพื่อจะส่งหนังสือมาให้ฉันเรียนรู้ด้วยตัวเองแต่ขอเวลายี่สิบวัน
ฉันกับคุณแต้กทำหน้าฉงนและก็ถามไปว่า.. "อาจารย์ทำไมไม่ให้ตอนนี้เลยล่ะ
จะเสียค่าส่งไปทำไม
ต้อมแบกกลับไปตอนนี้เลยก็ได้"
อาจารย์บอกว่า.."ก็มันอยู่ที่กรุงเทพโน่น"
อาจารย์ภูฉายมีแกลอรี่ที่โรงแรมนารายณ์
แถวย่านสีลมด้วยแฮะ
ขอใช้พื้นที่ตรงบรรทัดนี้ทวงหนังสืออาจารย์ออกอากาศ
ถ้าครบยี่สิบกว่าวันแล้วหนังสือยังเดินทางมาไม่ถึงจะทวงๆๆๆ อิอิ
^^
ซึ่งฉันสัญญากับอาจารย์ว่าฉันจะหัดวาดรูปให้ได้ภายในหนึ่งเดือนแล้วจะเอาการบ้านมาให้ตรวจถึงที่..
ระหว่างที่คุยอาจารย์ก็ยื่นแก้วเตกิล่าให้ฉัน
ฉันได้แต่หัวเราะแล้วบอกไปว่า.."ถ้าไม่ติดว่าจะต้องนั่งรถกลับบ้านเป็นระยะทางไกลๆ
และนานๆ นี่นะ
จะนั่งดื่มให้เมากลิ้งตรงนี้เลยค่ะ
อาจารย์"
คุณแต้กได้แต่นั่งขำกับคำพูดฉันที่ดูเหมือนว่าตัวเองนี่ก็ขี้เมาตัวน้อยๆ
เลยนะ ^^
มาถึงตอนนี้..ฉันอิจฉาคุณแต้กจังที่ได้อยู่ต่อที่นี่ในคืนนี้
ฉันใช้เวลานับสามชั่วโมงเพื่อที่จะอยู่คุยกับผู้ชายคนนี้ตั้งแต่ต้นจนถึงวินาทีสุดท้าย
ฉันยอมรับว่า..ยังไม่อยากจะกลับบ้าน
ถ้าไม่ติดว่าต้องรีบกลับมาทำงานในอีกวัน
ฉันคงจะตะลอนไปงานนิทรรศการโตรอนกับคณะของเขาคนนี้
ใครๆ
ก็บอกว่าชีวิตของฉันมักจะมีเรื่องราวที่น่าสนใจผ่านเข้ามาอยู่บ่อยๆ
โดยไม่ตั้งใจ ฉันไม่แน่ใจว่า
"การมาเยือนปายในครั้งนี้"
ควรจะถูกนับรวมอยู่ในนั้นด้วยไหม
แต่ท้ายที่สุดฉันก็ยังยิ้มให้กับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในระหว่างสามวันนี้
ตราบใดที่หัวใจมีไว้ให้เดินทาง..
เราก็คงจะยังพบปะกับเรื่องราวต่างๆ
หรือแม้กระทั่งผู้คนมากมายที่มีความน่าสนใจอยู่ในตัวเอง
ฉันหวังเอาไว้ว่า..แล้วหัวใจก็คงจะได้ออกเดินทางอีกครั้ง
<คลิกที่นี่>
<คลิกที่นี่>
<คลิกที่นี่>
ฉันเชื่อว่าแล้วคุณจะหลงรักบ้านปายตา
บอร์ดคนรักปาย
กระดานถาม-ตอบเรื่องท่องเที่ยวปาย
เมื่อ พ. 24 ธ.ค. 2551 @ 22:16
คนที่ 101 หรือเปล่านะ :)