“...นิสิตที่เล่าเรียนสำเร็จตามหลักสูตรของมหาวิทยาลัย และได้รับปริญญานั้น ควรมีโอกาสใช้เสื้อครุยมหาวิทยาลัยเป็นที่เชิดชูเกียรติให้เข้ารูปเยี่ยงนิส ิตในสถานอุดมศึกษาทั้งหลายในนานาประเทศ”
คุณทราบไหมค่ะว่าทำไม บัณฑิตมีความหมาย อย่างไร
ทำไมบัณฑิตจึงต้องสวมครุย และครุยมีความหมายอย่างไร
เมื่อค้นหาความหมายจาก พจนานุกรม
ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้ความหมายดังนี้ค่ะ
เสื้อครุย น.
เสื้อชนิดหนึ่ง มีหลายแบบ ใช้สวมหรือคลุม
เป็นเครื่องประกอบเกียรติยศหรือแสดงหน้าที่ในพิธีการหรือแสดงวิทยฐานะ
เมื่อสอบถาม วิกิพีเดียได้ข้อมูลเพิ่มดังนี้ค่ะ
ครุย
เป็นเสื้อคลุมประเภทหนึ่ง มีลักษณะหลวม ยาวถึงเข่าหรือทั้งตัว
ใช้สวมหรือคลุมทับด้านนอก ทั้งชายและหญิงในยุโรปใส่ครุยกันมาตั้งแต่ยุคกลางตอนต้นจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 17
ปัจจุบันครุยยังคงใช้สวมใส่เพื่อแสดงตำแหน่งฐานะในอาชีพที่มีรากฐานย้อนไปได้ถึงยุคกลาง
เช่น ผู้พิพากษา ในวงวิชาการ
ครุยยังใช้เพื่อแสดงวิทยฐานะอีกด้วย...
คุณ
ศิริรัตน์ สาโพธิ์สิงห์
เขียนเรื่องเสื้อครุยไว้ดังนี้ค่ะ(คลิกเข้าไปอ่านต้นแบบเต็มๆได้ค่ะ)
ความเป็นมาของ
เสื้อครุย ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดค่ะว่ามาจาก ประเทศ จีน
อินเดีย หรือประเทศอื่น แต่คาดว่าน่าจะเริ่มในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ใน พ.ศ. ๒๒๒๘
เมื่อพระวิสูตรสุนทร (โกษาปาน)
เป็นราชทูตออกไปเจริญทางพระราชไมตรีกับพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔
ของฝรั่งเศส ในโอกาสนั้นท่านราชทูตแต่งตัวอย่างเต็มยศตามธรรมเนียมไทย
คือ สวมเสื้อเยียรบับ มีกลีบทองและดอกไม้ทอง
และสวมเสื้อครุย
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ใน “พระราชบัญญัติ” เมื่อปี พ.ศ.
2343
มีความตอนหนึ่งกล่าวถึงเรื่องเสื้อครุยว่า“...อย่างธรรมเนียมแต่ก่อนสืบมา
จะนุ่งผ้าสมปักทองนากแลใส่เสื้อครุย กรองคอ กรองต้นแขน กรองปลายแขน
จะคาดรัดประคดหนามขนุนได้แต่มหาดไทย กลาโหม
จตุสดมภ์...ทุกวันนี้ข้าราชการผู้น้อยนุ่งห่มมิได้ทำอย่างธรรมเนียมแต่ก่อน
...แต่นี้สืบไปเมื่อหน้า...ห้ามอย่าให้ข้าราชการผู้น้อยใส่เสื้อครุย
กรองคอ กรองสังเวียน
กรองสมรด...ได้เสื้อครุยได้แต่กรองปลายมือ…”
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯ
ให้ตราพระราชบัญญัติเกี่ยวกับเสื้อครุยหลายฉบับ เช่น พระราชบัญญัติสำหรับเครื่องขัตติยราชอิสริยยศอันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งต
รามหาจักรีบรมราชวงศ์ พ.ศ. 2424 พระราช
บัญญัติเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลยิ่ง นพรัตนราชวราภรณ์
พ.ศ. 2436
และพระราชบัญญัติเครื่องราชอิสริยาภรณ์สำหรับตระกูลจุลจอมเกล้า
พ.ศ. 2436 ตาม
พระราชบัญญัติดังกล่าวได้กำหนดให้ใช้เสื้อครุย
ซึ่งเป็นเสื้อครุยพื้นสีทอง เสื้อครุยพื้นเหลือง
เสื้อครุยพื้นสีขาว สำหรับผู้ได้รับ
พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตามพระราชบัญญัติทั้งสามฉบับ
ภาพจาก พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ในฉลองพระองค์ครุยเนติบัณฑิต
สมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระองค์ทรงพระราชปรารภว่า "...เสื้อครุยเป็นเครื่องแต่งตัวในงานเต็มยศใหญ่แต่โบราณมา
แลบัดนี้ได้โปรดให้มีเครื่องแต่งตัวตามลำดับ
ยศข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ผู้น้อย ทั้งฝ่ายทหาร พลเรือน
จัดให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ทรงพระราชดำริเห็นว่า
การที่จะใช้เสื้อครุยนั้น
สมควรจะมีพระราชกำหนดไว้ให้เป็นระเบียบเสียด้วย..."
จึงโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกำหนดเสื้อครุยขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2454
กำหนดเสื้อครุยข้าราชการไว้ 3 ชั้น เรียกว่า เสื้อครุยเสนามาตย์
แบ่งเป็นชั้นตรี โท เอก
ยังมีเสื้อครุยอีกประเภทหนึ่งเรียกว่า เสื้อครุยวิทยฐานะ
ใช้สวมเป็นที่เชิดชูเกียรติสำหรับผู้สำเร็จวิชาการจากมหาวิทยาลัย
หรือวิทยาลัยชั้นสูง อาจกล่าวได้ว่า
เสื้อครุยวิทยฐานะมีขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย
สมัยที่พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ พระเจ้าลูกยาเธอในรัชกาลที่ 5 เ
ป็นเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม
โดยให้ผู้ที่สอบไล่วิชากฎหมายได้เป็นเนติบัณฑิตมีสิทธิสวมเสื้อครุย
ซึ่งครั้งนั้นเรียกว่า เสื้อเนติบัณฑิต
พ.ศ.
2473 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
โปรดเกล้าฯ
ให้ประกาศพระราชกำหนดเสื้อครุยบัณฑิตของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เพื่อ “...นิสิตที่เล่าเรียนสำเร็จตามหลักสูตรของมหาวิทยาลัยและได้รับปริญญานั้น
ควรมีโอกาสใช้เสื้อครุยมหาวิทยาลัยเป็นที่เชิดชูเกียรติให้เข้ารูปเยี่ยงนิสิตในสถานอุดมศึกษาทั้งหลายในนานาประเทศ”
หลังจากนั้นเป็นต้นมา บัณฑิตจากสถาบันการศึกษาต่าง ๆ
จึงสวมครุยที่มีรูปแบบแตกต่างกันตามสถาบันเมื่อเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร...
ส่วนความหมายของคำว่า บัณฑิต [บันดิด] น. ผู้ทรงความรู้,
ผู้มีปัญญา, นักปราชญ์,
ผู้สําเร็จการศึกษาขั้นปริญญาซึ่งมี ๓ ขั้น คือ ปริญญาตรี
ปริญญาโท ปริญญาเอก เรียกว่าบัณฑิต มหาบัณฑิต ดุษฎีบัณฑิต,
ผู้มีความสามารถเป็นพิเศษโดยกําเนิด เช่น
คนนี้เป็นบัณฑิตในทางเล่นดนตรี. (ป., ส.
ปณฺฑิต).
อาจารย์
เสฐียรพงษ์ วรรณปก เล่าให้ฟังดังนี้ค่ะ
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า"บุคคลที่เป็นบัณฑิตมีปัญญามาก
ย่อมไม่คิดการเพื่อเบียดเบียนตัวเอง,ไม่คิดการเพื่อเบียดเบียนผู้อื่น,ไม่คิดการเพื่อเบียดเบียนทั้งสองฝ่าย,ย่อมคิดการเพื่อเป็นประโยชน์แก่ตน,
แก่ผู้อื่น,
แก่ทั้งสองฝ่าย,ย่อมคิดการเพื่อประโยชน์แก่โลกทั้งหมดทีเดียว"
ด้วยเหตุนี้แล บุคคลจึงเรียกว่าเป็น
บัณฑิต"
เป็นเรื่องพูดยากนะคะว่าปริญญาบ้านเราที่เปิดกันเป็นดอกเห็ดมีคุณภาพแค่ไหน
ขึ้นอยู่กับว่าเอาอะไรมาวัดค่ะ ความรู้ ความสามารถ
เป็นสิ่งที่ต้องฝึกฝนนะคะ
ความรู้ไม่ได้เกิดจากการอ่านและการท่องจำตามตำรา
เพราะเดี๋ยวนี้ความรู้มีมากจนเรียนไม่หมด
บางทีใบไม้ในกำมือก็ยังรู้ไม่หมดเหมือนที่พระพุทธองค์ตรัสนะคะ
แต่รู้สิ่งใด ต้องรู้ให้กระจ่าง และฝึกฝนให้เชี่ยวชาญ
เหมือนที่ท่านสุนทรภู่กล่าวเป็นการดีที่สุด ความรู้ยิ่งใช้
ยิ่งมีเพิ่มมากนะคะ หลายคนคิดว่ารู้แล้วพอแล้ว เลยไม่พัฒนา
ที่สำคัญการให้ความรู้สำคัญที่สุด ตอนนี้ประเทศชาติไม่พัฒนาไปถึงไหน
เพราะคนส่วนใหญ่ในประเทศถูกปิดหูปิดตา และตกเป็นเหยื่อของสื่อ
อยากชวนให้ลองฟังวิทยุชุมชนดูจะเห็นได้ว่าสื่อวิทยุยังมีอิทธิพลต่อชาวบ้านมากๆ
ที่สำคัญโฆษณาขายยา อาหารเสริม ระบาดสู่รากหญ้า
นอกเหนือจากการยัดเยียดความรู้ผิดๆ เรื่องปุ๋ย เรื่องคุณภาพชีวิต
ดังนั้น ตอนนี้ คนจบ ปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก
มีมากมายและหลักสูตรแสนพิศดารไปทุกที จะทำให้เกิดภาวะล้นตลาดแน่ๆค่ะ
ใน 10 ปีข้างหน้า
ไม่ได้หมายความว่าประเทศชาติจะพัฒนาขึ้นหรอกนะคะในอนาคตเราคงไม่ต่างจาก
อินเดีย หรือ อาเจนตินา ที่ปริญญาเอก ล้นเมือง คนขับรถเท็กซี่
หรือทำงานบริการ ต่างจบปริญญาเอกทั้งนั้น ดังนั้น ความรู้
ความสามารถไม่ได้วัดกันที่ใบปริญญาแน่นอนค่ะ
อย่างไรก็ตามใบปริญญาใบนี้ก็มีความสำคัญสำหรับใครหลายๆคนที่ต้องการที่จะมีอนาคตที่ดี
เป็นเพียงการเริ่มต้นชีวิต
หนทางข้างหน้าที่บัณฑิตเหล่านี้ต้องเผชิญยังอีกยาวไกล
การจะไปถึงฝั่งฝันได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับความมานะพยายามนะคะ
ช่วงนี้เป็นช่วงรับปริญญาของหลายมหาวิทยาลัย หากคุณๆเดินทางผ่าน
หน้ามหาวิทยาลัย หรือหน้าสวนอัมพร แล้วเจอรถติดและผู้คนมากมาย
อย่าพึ่งหงุดหงิดนะคะ เพราะวันสำคัญนี้เป็นวันที่นิสิตและนักศึกษา
ทุกคนต่างรอคอย หลายคนใช้เวลาหลายปีกว่าจะมีวันนี้ได้
บรรยากาศในวันสำคัญนี้จึงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ
ผู้คนแต่งตัวสวยงาม ลืมความทุกข์ และสารพันปัญหา
ทั้งทางด้านเศรษฐกิจสังคมและการเมือง สักวันนะคะ
มาร่วมแสดงความยินดีกับพวกเขากันดีกว่า
ขอแสดงความยินดีกับบัณฑิตใหม่ทุกท่านนะคะ.
-------------------------------------------------------------------------------
ปล.ขอขอบคุณทุกท่านที่เป็นห่วงนะคะ
ดีขึ้นแล้วค่ะตอนนี้หมอให้รอดูอาการค่ะแล้วจะเล่าให้ฟังนะคะ