“ความสำเร็จของการศึกษาที่แท้จริง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการมีความรู้มาก แต่ขึ้นอยู่กับการนำเอาความรู้นั้นมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์แก่สังคมได้มากเพียงไร ”
เรียงความเรื่อง
“มหาวิทยาลัยในดวงใจ”
นี้ คนไม่มีรากเขียนร่างไว้เล่น ๆ ตั้งแต่ต้นปี พศ.2550
(ตามประสาคนชอบขีดเขียนเรื่อยเปื่อย)
และเมื่อมีเพื่อนส่งข่าวให้เขียนเรียงความเพื่อส่งเข้าประกวดเรียงความในหัวข้อ
“มหาวิทยาลัยในดวงใจ” ของ
สำนักรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา
(สมศ.)
จึงได้นำที่ร่างไว้มาปรับให้เหมาะสมกับบริบทและเหตุการณ์
และได้รับการตัดสินให้ได้รับรางวัลชนะเลิศ
เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2552
คนไม่มีรากได้รับการสอบถามจากเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้องบางคนที่ได้ทราบข่าว
จึงขออนุญาตนำมาเผยแพร่ไว้ในบันทึกนี้ เนื่องจาก
Gotoknowและกัลยาณมิตร
ในที่นี้
มีส่วนที่ทำให้คนไม่มีรากเกิดความมั่นใจในการกล้าเขียนและมีทักษะในการสื่อสารให้คนเข้าใจในสิ่งที่ตนคิด
จนได้รับรางวัลดังกล่าว โดยแอบคาดหวังไว้เล็ก ๆ
ว่าเรียงความนี้อาจจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยรวมไม่มากก็น้อยค่ะ
น้อมขอบคุณสังคมอุดมปัญญาแห่งนี้และกัลยาณมิตรทุกท่านด้วยหัวใจค่ะ
(^___^)
"มหาวิทยาลัยในดวงใจ"
ฉันถือว่าตัวเองเป็น
“คนโชคดี”
คนหนึ่งที่ได้เข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาที่เรียกว่า “มหาวิทยาลัย”
การได้เข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย
นับเป็นความภาคภูมิใจอย่างหนึ่งของชีวิต จะว่าไปก็คงคล้ายกับคนจำนวนมาก
ที่พากเพียรเรียนตามระบบการศึกษาเพื่อที่จะสอบเข้า “มหาวิทยาลัย”
ซึ่งหากกล่าวถึง
“มหาวิทยาลัย” เราคงนึกถึงสถาบันการศึกษาที่มีสถานที่กว้างขวาง
มีห้องเรียนมากมาย เป็นสถานที่ที่มีการเรียนการสอน มีครูอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิ
มีชื่อเสียง มีหลักสูตร สาขาวิชาการหลากหลาย
มีห้องสมุดขนาดใหญ่ที่สะดวกสบาย มีเครื่องมือเทคโนโลยี สื่อการเรียนการสอนที่ทันสมัย
มีเพื่อนมากมาย
มีกิจกรรมให้เลือกเข้าร่วมยามว่างจากการเรียน มีการสอบที่เข้มข้นด้วยมาตรฐานสูง
และที่สำคัญมีใบ
“ปริญญาบัตร” ที่รับรองว่าได้ผ่านการศึกษาจากสถาบันอันทรงเกียรตินี้
แต่ “มหาวิทยาลัยในดวงใจ”
น่าจะเป็นอะไรที่มากกว่านั้น ฉันจึงลองจินตนาการว่า
“มหาวิทยาลัยในดวงใจ” ของฉันควรจะมีลักษณะอย่างไร
คำถามที่ว่า
“มหาวิทยาลัยในดวงใจ” ควรมีลักษณะอย่างไร ทำให้นึกไปถึงบทความ เรื่อง
“ไว้ใจชีวิตอย่างไม่มีเงื่อนไข” ของนพ.วิธาน
ฐานะวุฑฒ์ ที่กล่าวไว้อย่างน่าคิดว่า
“การศึกษาในปัจจุบันที่ไม่ได้เน้นวิธีการ “สร้างคน”
หากแต่จะทำให้คนเกิด “ความมั่นใจจากภายนอก”
ไม่ว่าจะเป็นอาคารที่ใหญ่โต
ชื่อสถาบันและใบประกาศที่บอกว่าสำเร็จการศึกษาตามที่ได้เกริ่นมานั้น
ทำให้ใบปริญญาบัตร ไม่ได้มีความหมายใด ๆ เลย นอกจาก
“เศษกระดาษแผ่นเดียว”
ที่แม้แต่ในปัจจุบันก็อาจจะไม่ได้ช่วยให้คุณมีงานทำได้ตามที่ต้องการด้วยซ้ำไป
ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ “เจ้าเศษกระดาษ” แผ่นนั้นกลับทำให้ “อัตตา”
ภายในของพวกเราแต่ละคนเติบโตไปผิดทิศผิดทาง กลายเป็นสิ่งหนึ่งที่สร้าง
“ความขัดแย้ง” ในสังคมให้รุนแรงขึ้นไปอีกด้วย...”
คราวนี้ลองมาดูคำว่า “มหาวิทยาลัย” ซึ่งหมายถึง
สถาบันซึ่งมีหน้าที่หลักในการให้ “การศึกษา” และเมื่อพิจารณาลึกไป ที่
คำว่า “การศึกษา” ตามนิยามของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542
และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2545 ที่หมายถึง
กระบวนการเรียนรู้เพื่อความเจริญงอกงามของบุคคลและสังคม
โดยการถ่ายทอดความรู้ การฝึก การอบรม การสืบสานทางวัฒนธรรม
การสร้างสรรค์จรรโลงความก้าวหน้าทางวิชาการ การสร้างองค์ความรู้
อันเกิดจากการจัดสภาพแวดล้อม สังคมการเรียนรู้
และปัจจัยเกื้อหนุนให้บุคคลเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต
แล้ว ฉันก็เริ่มเห็นเค้าโครงของมหาวิทยาลัยในดวงใจขึ้นมาบ้าง
แต่ที่ชัดเจนที่สุดคือ
“มหาวิทยาลัยในดวงใจ”
จะต้องมีวิสัยทัศน์และเป้าหมายหลักที่สอดคล้องและเป็นไปเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของคำว่า
“การศึกษา” อย่างแท้จริงเป็นประการแรก
ต้องยอมรับว่า
ฉันไม่ศรัทธาในระบบ
“การสอบเข้า” ที่เน้นการวัดและตัดสินคุณภาพคนด้วยการดูที่
“คะแนนสอบ”
คงไม่ใช่ความผิดของเด็กที่เรียนไม่เก่งหรือสอบได้คะแนนน้อย
เพราะเข้าไม่ถึงเทคโนโลยีการสื่อสารใหม่ ๆ ไม่มีคอมพิวเตอร์ใช้
ไม่มีโอกาสได้เรียนพิเศษตามโรงเรียนกวดวิชา ฉันตั้งคำถามกับตัวเองว่า ไม่มีพื้นที่สำหรับ
“เด็กเรียนไม่เก่ง” บ้างหรือ หากสถาบันการศึกษามุ่งแต่ที่จะรับและโอบอุ้มเด็กเรียนเก่ง
ได้คะแนนรายวิชาสูง ๆ แล้ว
จะเป็นการยุติธรรมสำหรับเด็กที่ได้คะแนนต่ำกว่า
ในการถูกตัดสิทธิ์ที่จะ “พัฒนาศักยภาพ”
ด้วยการเรียนในสถาบันอุดมศึกษาหรือเปล่า ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจแสดงให้เราเห็นว่า
มีคนเรียนเก่งจำนวนมากที่ล้มเหลวในการใช้ชีวิต
เห็นได้จากตัวอย่างของคนเก่งบางคนที่สร้างความเสียหายอย่างยับเยินให้กับชาติบ้านเมือง
และยังมีคนจำนวนมากที่ไม่ได้เรียนเก่งหรือจบจากสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียง
แต่ก็เป็นผู้ที่ทำงานได้ดีและเข้ากับเพื่อนร่วมงานอย่างกลมกลืน
เป็นสมาชิกที่ดีของสังคม ซึ่งเป็นการชี้ให้เห็นว่า
คนที่ไม่ประสบความสำเร็จในการ “สอบเข้ามหาวิทยาลัย” ไม่ได้หมายถึงว่า
เขาไม่มีศักยภาพ
และหากยิ่งได้รับโอกาสในการพัฒนาตนเองอย่างเต็มที่จากสถาบันอุดมศึกษาแล้ว
เขาจะยิ่งเป็นผู้ที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ได้อีกมากมายเพียงไร
ด้วยฉันเชื่อว่า “สังคมเปรียบได้กับป่าใหญ่”
ที่ต้องการทั้งต้นไม้ใหญ่ ไม้ดอก ไม้ผล ไม้ล้มลุก
และวัชพืชที่ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์
แต่มีคุณค่าในการช่วยคลุมดินและสร้างความอุดมสมบูรณ์ให้ระบบนิเวศน์โดยรวม
ดังนั้น
ระบบการสอบเข้าที่เน้นแต่ตัดสินและเลือกกันที่คะแนนสอบ
จะต้องพิจารณาและปรับกระบวนทัศน์ใหม่
หันมาให้ความสำคัญและพิจารณาจากความประพฤติ ความมุ่งมั่น ตั้งใจ
และใช้วิธีการสัมภาษณ์เพื่อคัดกรองผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับการเรียนเพื่อ
“พัฒนาศักยภาพ” ให้มากยิ่งขึ้น
มหาวิทยาลัยควรเก็บค่าเล่าเรียนที่สมเหตุสมผล
ไม่แพงจนเกินไป ด้วยเหตุที่ว่า
“ระบบทุนนิยม” กำลังครอบคลุมกลืนกินสังคมอยู่ในขณะนี้
ล้วนแต่ให้ความสำคัญกับผลิตผล การกำไรขาดทุน
การขยายเครือข่ายที่กว้างขวางเชิงปริมาณ
เน้นให้มีการบริหารจัดการและเลี้ยงตัวเองได้
ทำให้มหาวิทยาลัยต้องแปรสภาพเป็นองค์กรอิสระในกำกับของรัฐ
ต้องเร่งสร้างหลักสูตรที่ตอบสนองต่อความต้องการของสังคม(ทุนนิยม)
ปรัชญาของมหาวิทยาลัยบางแห่ง จึงเป็นเพียงวิสัยทัศน์ที่สวยหรู
และถูกแทนที่ด้วยคำเสียดสีที่แสนจะบาดใจว่า “จ่ายครบ จบแน่”
แม้ฉันจะเห็นด้วยว่า
“ของฟรีไม่มีในโลก” แต่เมื่อ
“การได้รับการศึกษาเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนชาวไทยทุกคนที่พึงได้รับตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย”
รัฐจึงต้องให้ความสำคัญกับการลงทุนและยอมสนับสนุนงบประมาณเพื่อการศึกษา
เพราะเราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าการศึกษาเป็นเครื่องมือที่ทรงอานุภาพที่สุดในการ
“สร้างคน” ซึ่งเป็นอนาคตของชาติ
สำหรับหลักสูตรที่เปิดสอนในคณะต่าง
ๆ
นอกจากจะต้องมีมาตรฐานและความเข้มแข็งด้านวิชาการในศาสตร์นั้น ๆ
อย่างยิ่งแล้ว
ต้องไม่ลืมที่จะบรรจุหลักสูตรที่จะสอนคนให้เป็น
“มนุษย์ที่สมบูรณ์”
ด้วยการมีรายวิชาซึ่งกระตุ้นให้หน่ออ่อนของความตระหนักรู้ได้เติบโตขึ้น
เอื้อต่อการปลุกจิตวิญญาณการเรียนรู้
ให้เกิดประโยชน์สูงสุดที่ไม่เจาะจงเพียงการนำไปใช้เพื่อการยังชีพในอนาคต
แต่เกื้อกูลแก่สังคมประเทศชาติโดยรวม ดังที่ท่านอาจารย์ประเวศ วะสี
เคยกล่าวไว้ว่า...การศึกษาที่ยึดวิชาในตำราเป็นที่ตั้ง
จะสร้างความผิดเพี้ยน พิกลพิการของคน เพราะความคับแคบ แท้ที่จริงแล้ว
การศึกษาคือกระบวนการชีวิต ที่สัมพันธ์กับสังคมอันกว้างใหญ่ไพศาล
จิตต้องเชื่อมกับธรรมชาติที่กว้างใหญ่ไพศาล จิตจึงจะใหญ่
เพราะอนาคตของมนุษย์ชาติอยู่ที่การมีจิตใหญ่…
ด้วยเหตุนี้ห้องเรียนจะต้องเป็นห้องเรียนที่มี
“ชีวิต”
ที่ฉันจะได้สัมผัสสัมพันธ์กับผู้คนและสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง
ไม่เป็นห้องเรียนที่สร้างให้ฉันเป็นคนที่แปลกแยกจากถิ่นฐานบ้านเกิดและสังคมที่ฉันเติบโตมาและต้องกลับไปใช้ชีวิตต่อไปในอนาคต
ไม่ใช่ห้องเรียนที่มีเพียงความรู้แห้ง ๆ ภาพประกอบ สไลด์
และครูที่ท่องตำรา(เก่าๆ) ให้นิสิต นักศึกษาฟัง
และในห้องเรียนก็ควรจะมีเครื่องมือ สื่อเทคโนโลยีที่ทันสมัยพอควร
ไม่จำเป็นต้องหรูหราใหม่ล่าสุด
แต่เพียงพอที่จะช่วยให้ฉันเข้าสู่กระบวนการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความความสุข
ทั้งยังมีตัวช่วยจากบริการ “ห้องสมุด”
ที่มีระบบที่ส่งเสริมต่อการค้นคว้าศึกษาได้อย่างจุใจและเพียงพอ
ในมหาวิทยาลัย ต้องมี “ครู”
ซึ่งทำหน้าที่เป็น
“พ่อแม่คนที่สอง” มิใช่ “อาจารย์”
ที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ฉัน“เข้าไม่ถึง”
ด้วยความรู้สึกคร้ามเกรงในตำแหน่งทางวิชาการอันสูงส่ง ฉันไม่อยากเห็น
“ครูอาจารย์”
เป็นเพียงพนักงานของมหาวิทยาลัยกินเงินเดือนที่ต้องสร้างผลงานทางวิชาการที่จับต้องได้
จึงจะได้รางวัลตอบแทนด้วยเงินประจำตำแหน่ง
ในขณะที่ความเป็นอาจารย์และ
“จิตวิญญาณของความเป็นครู”
กลับถูกละเลยไปเพราะจับต้องไม่ได้ ครูในมหาวิทยาลัยต้องมีคุณสมบัติที่สามารถสร้างกระบวนการเรียนรู้
และให้โอกาสให้ฉันได้พัฒนาความเป็น
“มนุษย์ที่สมบูรณ์” ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม
เพราะว่า...
“ครูเก่งแค่ไหน ดูได้ที่ศิษย์”
แม้ว่าฉันจะไม่ได้สนใจและให้ความสำคัญกับการจัดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกที่
ทำกันเป็นประจำทุกปีมากนัก
แต่ฉันมีความเชื่อมั่นและเห็นด้วยอย่างยิ่งกับการมีระบบ “การรับรองและประเมินคุณภาพการศึกษา”
เพราะทำให้มีการตรวจสอบ
ทบทวนเพื่อการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงและนำไปสู่ “การพัฒนาระบบการศึกษา”
ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
เพียงแต่กระบวนการและวิธีการในการประเมินคุณภาพการศึกษานั้น
อาจต้องเพิ่มความรัดกุม เรียบง่าย ตรงไปตรงมา
ใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ที่มากกว่าหลักฐานที่เป็นเอกสารและผลการดำเนินการของมหาวิทยาลัยเท่านั้น
ทั้งยังไม่ควรสร้างภาระให้กับสถานศึกษา
จนรบกวนและส่งผลกระทบกับเวลาที่จะต้องใช้กับการเรียนการสอน
ซึ่งเป็นภารกิจหลักมากเกินไป
มาถึงยามที่ฉันจบออกไปจากมหาวิทยาลัยแล้ว
ฉันหวังว่าจะได้รู้สึกภาคภูมิใจในการเป็น
“ศิษย์เก่า” ของมหาวิทยาลัย
ที่มิใช่เป็นเพียงสถาบันการศึกษาอันเก่าแก่ มีชื่อเสียง ติดอันดับใด ๆ
ของโลก หรือภูมิใจกับการมีเครือข่ายพวกพ้องเลือดสีเดียวกัน
แต่ด้วยการได้ภาคภูมิใจที่ได้เป็นศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัยที่ขึ้นชื่อว่ามีภารกิจในการส่งเสริมและพัฒนาให้ศิษย์ของตนเป็นผู้ที่
“คิดได้ ทำงานเป็น
เน้นพัฒนา” และได้สร้างคนที่มีคุณภาพ
สามารถสร้างสรรค์ผลงานรับใช้และรังสรรค์ประโยชน์ต่อสังคมโลก
นอกจากนี้เมื่อส่งฉันขึ้นฝั่งการศึกษาไปสู่ชีวิตจริงในการทำงานแล้ว
ก็ยังคงเป็น “บ้านหลังที่สอง” ที่เปิดกว้างให้ฉันกลับมาผ่อนพัก
มาตักตวงหาความรู้ต่อยอดได้ตามที่ต้องการ เพื่อเอื้อให้ฉันได้อยู่ในสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตได้อย่างองอาจอีกด้วย
และท้ายที่สุด “มหาวิทยาลัยในดวงใจ”
ของฉัน จะต้องสามารถตอบโจทย์กับสังคมที่ว่า
มหาวิทยาลัยควรมีบทบาทอย่างไรในสังคม ด้วยคำตอบที่ว่า
“ภารกิจหลักของมหาวิทยาลัยต้องมีความสอดคล้องและสามารถตอบสนองความต้องการของสังคมโดยรวมอย่างมีคุณค่า”
ดังพระราชดำรัสในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม
พระบรมราชชนก ที่ว่า
“ความสำเร็จของการศึกษาที่แท้จริง
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการมีความรู้มาก
แต่ขึ้นอยู่กับการนำเอาความรู้นั้นมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์แก่สังคมได้มากเพียงไร
”
*************************