บทความฉบับนี้ได้สืบสวนเพื่อให้เห็นถึงสาเหตุความเคลื่อนไหวของชนกลุ่มน้อยว่า เพราะเหตุใดจึงมีการเปลี่ยนแปลงยุทธศาสตร์ความเคลื่อนไหวจากความรุนแรงสู่สายกลาง มีการตรวจสอบปัจจัยบางอย่างที่สามารถอธิบายให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในยุทธศาสตร์ความเคลื่อนไหวของชนกลุ่มน้อย โดยมองไปที่กรณีศึกษาของชาวมุสลิมเชื้อสายมลายูในจังหวัดชายแดนใต้ของประเทศไทย ข้อมูลต่างๆ ที่รวบรวมมาเพื่อการทดสอบปัจจัยต่างๆ ดังกล่าวข้างต้นในบทความนี้ ได้มาจากการลงสนามสัมภาษณ์ผู้นำชุมชนกลุ่มน้อยเชื้อสายมลายูจำนวน 30 ท่าน และผู้นำส่วนใหญ่จากการสัมภาษณ์ยอมรับว่าปัจจัยต่างๆ อย่างเช่น การเป็นระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง การมีสถานภาพทางด้านเศรษฐกิจที่ดีขึ้น และการยอมรับในวัฒนธรรมที่หลากหลายมีความเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงยุทธศาสตร์ความเคลื่อนไหวของชนกลุ่มน้อยเชื้อสายมลายูกลับสู่รูปแบบการเคลื่อนไหวทางสายกลาง ฉะนั้น ปัจจัยต่างๆ ดังกล่าวข้างต้นอาจเป็นปัจจัยด้าน “จูงใจ” ที่ทำให้ลดยุทธศาสตร์ การเคลื่อนไหวในผู้นำมวลชนที่รุนแรงลงได้ แต่ในขณะเดียวกัน เราก็พบว่าปัจจัยด้าน “ผลักดัน” ก็มีส่วนทำให้ความรุนแรงลดลงได้เหมือนกัน ซึ่งปัจจัยผลักดันดังกล่าวนั้น อาจรวมถึงการใช้กฎเหล็กของอำนาจรัฐ การสกัดกั้นด้วยกำลังอาวุธ และการกำจัดผู้สนับสนุนทั้งภายในและภายนอกประเทศ อย่างไรก็ตาม การศึกษาของเรานั้น มีความเชื่อว่า ความไม่รุนแรงหรือการเดินสายกลางดูเหมือนจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลยหากปราศจากปัจจัยจูงใจ
เห็นด้วยกับอาจารย์เพราะรัฐไทยพยายามที่จะกลืนวัฒนธรรมของเขาทำให้เกิดชนวนของความขัดแย้งและนำไปสู่ความรุนแรงทีเกิดขึ้นในปัจจุบัน
....บทความนี้ ได้มาจากการลงสนามสัมภาษณ์ผู้นำชุมชนกลุ่มน้อยเชื้อสายมลายูจำนวน 30 ท่าน..
ผมอ่านข้อความข้างต้นแล้วรู้สึกไม่ค่อยสบายใจที่ผู้เขียนใช้คำว่า "ชุมชนกลุ่มน้อยเชื้อสายมลายู" ซึ่งผมเองก็เข้าใจว่าเชื่อสาบมลายูเป็นคนกลุ่มน้อยในประเทศไทยทั้งหมด แต่คนเชื้อสายมลายูเป็นคนกลุ่มใหญ่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และบางอำเภอในจังหวัดสงขลา และหากว่าจะเรียกย่างนั้นก็ควรเรียกว่า "กุล่มคนเชื้อสายมลายูใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้"
ขอบคุณบทความของอาจารย์ครับ...มีประโยชน์มากสำหรับการค้นคว้าวิจัยของผม
หากมีโอกาสจอขอเข้าพบเพื่อขอคำแนะนำครับ..
เป็นการศึกษาที่น่าสนใจ และมีประโยชน์ต้องการศึกษา