หลังจากที่เพื่อนผู้เขียนสามารถรอดชีวิตจากคราวที่แล้วได้ ต่อมาเธอได้เสียชีวิตอย่างสงบเมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน ๕๓ และผู้ตายได้บริจาคศพให้ รพ.ศรีนครินทร์ โดยระบุให้ทาง รพ.มารับศพทันทีที่เสียชีวิต โดยไม่มีการตั้งสวดศพแบบประเพณีไทยทั่วไป ผู้เขียนเป็นเพื่อนร่วมงานกับผู้ตายที่สนิทคุ้นเคยกันมา ๘ ปี เมื่อคราวที่ผู้ตายเข้า-ออก เพื่อรับคีโมที่ รพ. พี่เกษซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกับผู้ตายมาเกือบ ๒๐ ปี จะอยู่เคียงข้างตลอด ๓ ปีที่ป้าติ๊กป่วยหนัก คอยวิ่งเบิกยา นั่งเฝ้าเวลาป้าติ๊กต้องเข้าคีโม คอยขับรถ คอยอยู่เป็นเพื่อน และส่งข้าวส่งน้ำให้กับป้าติ๊กเกือบทุกวัน เพราะป้าติ๊กไม่ได้แต่งงานและไม่มีญาติ ผู้เขียนกับพี่เกษ พึ่งรู้จักกันได้ปีเดียวจากการแนะนำของ "ป้าติ๊ก" คือผู้ตาย ซึ่งถือได้ว่าผู้เขียนกับพี่เกษเพียงแค่คนรู้จักและไม่ได้สนิทสนมกัน (ขอย้ำว่า... ผู้เขียนกับพี่เกษไม่สนิทกันเลยน่ะค่ะ และเจอกันนับครั้งได้นับตั้งแต่รู้จักกันได้ ๑ ปี ส่วนมากผู้เขียนจะถูกพี่เกษตามตัวเวลาป้าติ๊กป่วยหนักและพี่เกษไม่สบาย เพื่อให้ผู้เขียนไปดูแลป้าติ๊กแทนพี่เกษ) แต่เราสองคนเป็นคนที่รัก "ป้าติ๊ก" ทั้งคู่ ผู้เขียนไปเฝ้าป้าติ๊กเป็นบางคราวเวลาพี่เกษมีธุระหรือเจ็บป่วย ส่วนใหญ่ภาระการปรนนิบัติผู้ป่วยจะตกอยู่ี่ที่พี่เกษประมาณ ๙๐% ส่วนผู้เขียนดูแลผู้ป่วยแค่ ๑๐%
เนื่องด้วยไม่ได้มีการฌาปนกิจศพและตั้งสวดศพ ผู้เขียนจึงตั้งใจจะทำสังฆทานและซื้อผ้าจีวรถวายพระเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ตาย โดยผู้เขียนมีงบประมาณส่วนตัวประมาณ ๑,๐๐๐ บาท ผู้เขียนได้โทรนัดหมาย ศน.วิรัตน์ ซึ่งเป็นอีกคนหนึ่งที่หมั่นไปเยี่ยมป้าติ๊กเป็นประจำ ซึ่งตกลงกันไว้ว่าจะไปวัดสร้างแข้ในสัปดาห์หน้า
หลังจากที่ตั้งใจเรื่องทำสังฆทานให้ป้าติ๊ก วันรุ่งขึ้นตอนบ่าย ๆ พี่เกษมาหาและนำเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท(หนึ่งแสนบาทถ้วน) มาให้ผู้เขียน โดยพี่เกษบอกว่า "พี่ให้เธอ พี่ฝากไปทำบุญ แล้วแต่เธอจะพิจารณาและเห็นสมควร" ผู้เขียนก็งง เพราะไม่ได้คุยกับพี่เกษเรื่องที่ผู้เขียนอยากไปทำสังฆทานให้กับป้าติ๊กเลย แล้วจู่ ๆ พี่เกษเอาเงินตั้ง ๑๐๐,๐๐๐ บาทมาให้ผู้เขียนทำไม อีกอย่างไม่ได้สนิทกับพี่เกษด้วย ได้ซักถามพี่เกษถึงที่ไป ที่มาของเงินดังกล่าว จึงทราบว่า ป้าติ๊กทำ ช.พ.ค.ไว้ และระบุพี่เกษเป็นผู้รับผลประโยชน์ ต่อมา กคสค.ได้จ่ายเงินงวดแรกให้ ๑๐๐,๐๐๐ บาท พี่เกษจึงรีบนำเงินมาให้ผู้เขียนทันที โดยที่ผู้เขียนไม่รู้ตัวและพี่เกษไม่เคยรู้มาก่อนถึงความตั้งใจที่ผู้เขียนจะไปถวายสังฆทานอุทิศส่วนกุศลให้ป้าติ๊ก (เหตุการณ์ครั้งนี้เพื่อน ๆ หลายคนที่ทราบข่าวลงความเห็นว่า ป้าติ๊กไปดลใจให้พี่เกษนำเงินมามอบให้ผู้เขียนเพราะเห็นผู้เขียนอยากทำบุญให้ป้าติ๊ก)
รุ่งเช้า ผู้เขียนรีบไปซื้อโลงศพที่มูลนิธิสว่างเมธาธรรมเป็นการบริจาคเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ตาย และผู้เขียนได้ทยอยทำบุญให้ผู้ตายมีรายละเอียดดังนี้
๑. ถวายผ้ามหาบังสกุล สังฆทาน และปราสาทผึ้ง (เครื่องออกเรือนใหม่ ที่จะให้ผู้ตายนำไปใช้ในภพหน้า ตามความเชื่อของชาวอีสานที่ประกอบไปด้วยของใช้ในครัวเรือน เครื่องนอน เสื้อผ้า ฯลฯ) ได้รับความอนุเคราะห์ ท่านประเวศ รัตนวงศ์ ผอ.สพท.อุดรธานี เขต ๓ ให้เกียรติเป็นผู้ทอดผ้ามหาบังสกุล โดยผู้เขียนเลือกที่จะทำแบบเรียบง่ายที่วัดเพื่อประหยัดงบประมาณ แต่ให้ครบตามพิธีกรรมทางศาสนา
๒. ฝากเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท ให้พี่เกษไปถวายหลวงตา มหาบัว ญานสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด
๓. ทำโรงทานที่วัดในอำเภอหนองวัวซอ
๔. บริจาคหนังสือมูลค่า ๑๐,๐๐๐ บาทให้กับโรงเรียน
๕. บริจาคเป็นทุนการศึกษาให้กับนักเรียนในสังกัด สพท.อุดรธาีนี เขต ๓ ๑๐,๐๐๐ บาท
๖. ถวายหลวงปู่มัย หรือพระครูกิตติอุดมฌาน ๑๐,๐๐๐ บาท
๗. บริจาค กระติกน้ำร้อนและชุดกาแฟ ๑๐ ชุดพร้อมกาแฟถุงใหญ่ ๓ ถุงให้กับหน่วยศึกษานิเทศก์ ที่ป้าติ๊กเคยทำงานอยู่ และบริจาคเครื่องทำน้ำเย็นให้กับกลุ่มส่งเสริมการจัดการศึกษา รวมทั้ง ๒ จุดมูลค่าประมาณ ๘,๐๐๐ บาท
ผู้เขียนกำลังเตรียมสังฆทานให้ป้าติ๊ก
ผอ.ประเวศ รัตนวงศ์ ผอ.สพท.อุดรธานี เขต ๓ ถวายผ้ามหาบังสกุล
หลังจากผู้เขียนทำบังสกุลไปหาป้าติ๊ก วันรุ่งขึ้นพี่เกษโทรมาปลุกผู้เขียนตั้งแต่ตีห้ากว่า พร้อมกับน้ำเสียงตื่นเต้นว่า ป้าติ๊กมาหา "บอกว่ามาเก็บของจะไปแล้ว ให้เกษไปซื้อน้ำอบที่พระธาตุพนมให้หน่อย" ผู้เขียนขนลุกซู่ขึ้นมาทันที ทำให้ใจอดคิดไม่ได้ว่า ก่อนทำบังสกุลทั้งพี่เกษและผู้เขียนไม่เคยฝันเห็นป้าติ๊กเลย แต่พอทำบุญเสร็จ ป้าติ๊กมาลาทันที เป็นเรื่องที่ทำให้ผู้เขียนแปลกใจเป็นครั้งที่สองหลังจากแปลกใจครั้งแรกที่พี่เกษนำเงินมามอบให้ แต่ผู้เขียนไม่ได้นิ่งนอนใจ รีบกลับมาถามพี่ ๆ ที่หน่วยศึกษานิเทศก์ว่า ป้าติ๊กให้ไปซื้อน้ำอบที่พระธาตุพนมนั้นหมายความว่าอย่างไร
น้องต้อยรีบบอกทันทีว่า ป้าติ๊กเขาชอบไปทำบุญที่พระธาตุพนมทุกปี ผู้เขียนจึงไปค้นเอกสารส่วนตัวที่ป้าติ๊กฝากไว้กับผู้เขียนตั้งแต่ยังไม่เสียชีวิต พบว่าพ่อของป้าติ๊กเป็นคนนครพนม คราวนี้ยิ่งสร้างความแปลกใจให้กับผู้เขียนเป็นครั้งที่สามว่าทำไมเรื่องมันจะบังเอิญขนาดนี้ ซึ่งพี่เกษและผู้เขียนไม่เคยรู้มาก่อนว่าพ่อผู้ตายเป็นคนนครพนมและผู้ตายไปทำบุญที่พระธาตุพนมทุกปี ผู้เขียนให้พี่เกษประสานเพื่อนที่อยู่พระธาตุพนมและโอนเงินฝากไปทำบุญที่พระธาตุพนมทันที
หนังสือห้องสมุดและอื่น ๆ ที่เตรียมบริจาคค่ะ
บริจาคสิ่งของให้กลุ่มศึกษานิเทศก์และกลุ่มส่งเสริมการจัดการศึกษา
พรุ่งนี้ (๑๓ พ.ค.๕๓) ผู้เขียนจะไปเลี้ยงอาหารเด็กกำพร้าจำนวน ๒๕๐ คนที่บ้านอุดรธานี เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับป้าติ๊ก ท่านสามารถแวะไปอ่าน สะพานบุญ ตอนที่ ๒ ได้ที่ www.http://gotoknow.org/blog/niparat/358327
บุญกุศลทั้งหมดที่ผู้เขียนพยายามทำให้กับป้าติ๊กตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมาขอให้ป้าติ๊กมารับเอานะ่คะ ขออนุโมทนาผลบุญทั้งหมดนี้มอบให้พี่เกษผู้ใจบุญที่นำเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทมาให้ผู้เขียนทำบุญหาป้าติ๊ก ขอให้พี่เกษมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง สุขภาพจิตดี สุขภาพกายแข็งแรง และแคล้วคลาดจากอุปสรรค ปัญหาทั้งปวง
อ่านบันทึกแล้ว อิ่มบุญมากค่ะ :-))
เรียน คุณ Baby
สาธุ ขออนุโมทนามอบผลบุญทั้งหมดให้พี่เกษค่ะ
อ่านแล้วมีความสุข ติดตามอยู่นะ ขออนุโมทนาบุญด้วยนะ
เรียน คุณศิตานันท์
วันนี้ ผู้เขียนจะไปเลี้ยงอาหารกลางวันเด็กกำพร้าบ้านอุดรธานี เวลา 11.30 น. จำนวน 250 คน อาหารประกอบไปด้วย ข้าวเหนียว ส้มตำ ไก่ทอด ไฮศกรีม น้ำเก็กฮวย ผลไม้ และรวบรวมเสื้อผ้าใช้แล้วของตนเอง และเพื่อน ๆ ไปบริจาคค่ะ ค่ำ ๆ จะมาเล่าให้ฟ้งน่ะค่ะใน สะพานบุญ ตอนที่ 2
*แวะมาให้กำลังใจเจ๊น้องคนสวย
*ขอชื่นชมในน้ำใจของเจ๊
*หวังว่าโอกาสหน้าคงมีโอกาสได้ร่วม
*จากน้องบริหารมข.รุ่น25
เรียน คุณทะเลภูเขา
ดีใจที่น้องตู่แวะมาเยี่ยมน่ะค่ะ มีบุญใหญ่จะโทรไปชวนน่ะค่ะ
สวัสดีค่ะ
สาธุ...ขออนุโมทนา และขอให้ดวงวิญญาณของป้าตีก ไปสู่สุขคติค่ะ
เรียน ครูคิม
สาธุ ขออนุโมทนาผลบุญทั้งหมดให้กับพี่เกษ ผู้จุดประกายให้ผู้เขียนได้มีโอกาสทำสิ่งที่ผู้เขียนประสงค์จะทำให้ป้าติ๊กเป็นครั้งสุดท้ายค่ะ