Nodame Cantabile คอนเสิร์ตนี้ไม่มีเสียว (6) ความรักและโมซาร์ตสีชมพู/ต่อพงษ์ 22 มิถุนายน 2550 10:27 น.


เพราะต้องการให้โทนของเรื่องครึ่งหลังเป็นสีชมพู พวกเขาจึงเลือกเพลงของวอล์ฟกัง อะมาเดอุส โมทซาร์ตมาประเดิมกันในตอนแรกนี้...Oboe Concerto in C major K.314 คือบทเพลงที่ว่านั้น

        ไม่เพียงแค่การบรรเลงครั้งสุดท้ายระหว่างศิษย์กับอาจารย์คนเก่งจะทำให้คนในฮอลล์ซาบซึ้ง แต่คนที่เข้าถึงมันมากที่สุดกลับเป็น โนดาเมะ เมกูมิ ซึ่งยังอยู่ในชุดพังพอนและเข้ามายืนดูด้วยความช็อก
       
        เพราะสิ่งที่เธอเห็น รวมถึงสิ่งที่เธอได้ยิน มันตอกย้ำประโยคที่ทำให้เธอหมดแรงกลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมา
       
        “ถ้าโนดาเมะจางยังเป็นแบบนี้อยู่ เธอไม่มีทางได้อยู่กับจิอากิหรอก” สเตรสเซอร์มันน์คอนดักเตอร์คนเก่งกล่าวเมื่อตอนนี้มาอำลากับนางเอกของเรา
       
        ฉากนี้สำหรับคนดูต้องยอมรับว่าบีบหัวใจมากครับ เพราะ ขณะที่เรากำลังทึ่งอยู่กับการแสดงบนเวที เผลอแพล็บเดียวมาตุ้มๆต่อมๆกับโนดาเมะเสียแล้ว เหตุเพราะ ‘ระยะห่าง’ ระหว่างพระเอกกับนางเอกของเรามันชักจะมากันเกินเหตุแล้ว
       
        พูดง่ายๆ รักนี้ของโนดาเมะนั้นอาจจะไม่สมหวังเสียตั้งแต่กลางเรื่อง!!
       
        จะว่าไปถ้าตรงนี้เป็นหนังซีรี่ส์เกาหลีการดำเนินเรื่องจากนี้ไปจะแตกต่างกันออกไปทันที เพราะ นางเอกเราจะต้องหนี จะเสียสละเพื่อให้พระเอกไปดี ตัวเองขออยู่อย่างระทม พระเอกต่อมาก็จะว้าวุ่นใจเพราะนางเอกหาย ขณะเดียวกันนางอิจฉากับแม่ของพระเอกก็จะเข้ามาเสียบ ตามมาด้วยใครซักคนเป็นโรคจนตอนสุดท้ายก็ตาย ฉากสุดท้ายจบลงด้วยโนดาเมะไปเล่นเปียโนที่หลุมฝังศพโดยมีของสำคัญมอบไว้ให้กัน
       
        ใครเป็นแฟนหนังเกาหลีอย่าเพิ่งโกรธผมนะครับ เพราะดูมาก็หลายเรื่องแล้วจบอีแบบนี้ทุกที
       
        เหมือนล่าสุดเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว นอนดูตอนจบของหนังเกาหลีทางช่อง 7 โอ้โห เป็นไปอย่างที่คาด ตัวละครกว่าจะได้อยู่ด้วยกัน ต้องมีใครคนใดคนหนึ่งตาย เสียสละ หรือ ต้องมีอุบัติเหตุซักอย่าง
       
        กลายเป็นว่าในละครเกาหลีนั้นตัวละครที่มีความพยายามมาก ทั้งอดทนมาก ก็จะยิ่งเจ็บปวดมากและยิ่งห่างกันไปทุกที ผลแห่งความพยายามนั้นไม่ได้ออกมาในเชิงบวกเลย และนักเขียนบทซีรี่ส์เกาหลีมักจะเลือกหนทางที่จะอยู่ด้วยกันจริงๆ ก็จากอุบัติเหตุ และ โรคร้าย และ ความตายเท่านั้น
       
        ตัวอย่างของชีวิตที่เส็งเคร็งแบบนี้ มันไม่ให้ความหวังกับความพยายามของมนุษย์เลยนะครับนั่น
       
        จำได้ว่ามีท่านผู้อ่านทางอินเทอร์เน็ตชื่อ AS ถามผมว่าทำไมผมถึงเขียนถึงเรื่องนี้และเขียนต่อเนื่องจนกระทั่งตอนที่ 5 แล้ว มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าคะ? คำตอบก็คงอยู่ตรงนี้นะครับว่า ผมชอบหนังญี่ปุ่นเรื่องนี้ก็ เพราะพวกเขาเลือกวิธีที่จะให้ตัวละคร ‘พยายามให้มากกว่าเดิม’ ที่เคยเพื่อให้ไปถึงจุดหมายปลายทาง
       
        ความสำเร็จของคนในเรื่องไม่มีคำว่าฟลุ้ค ความสำเร็จนั้นกว่าจะได้มาต้องแลกด้วยความพยายามที่หนักกว่าคนทั่วไปจะทำได้ มันต้องยอมรับนะครับว่า ซีรี่ส์ญี่ปุ่นนั้น Spoil คนดูกันสุดขีด จนบางครั้งอาจจะขาดความสมจริงไป แต่หลายครั้งผลจากการ ‘ยัดเยียดกำลังใจ’ และ ‘ให้รางวัล’ กับความพยายามของตัวละครนั้นมันก็ให้ผลที่ดีกับคนดูอย่างยิ่ง นั่นคือ เมื่อดูหนังแบบนี้จบแล้วมันก็เกิดแรงบันดาลใจที่จะลุกขึ้นมาพยายามทำอะไรซักอย่างโดยใช้ความพยายามมากกว่าเก่า...หรือรู้ว่าทำแล้วต้องเหนื่อยกว่าปรกติ แต่ก็จะทำลงไปก็อย่างมีความสุข
       
        เชื่อไหมครับว่า ผมยิ้มออกเสมอเมื่อเวลาตัวละครบอกว่า ‘กัมบัตเตะเนะ’ หรือ พยายามเข้านะ
       
        หนังมัน Spoil เสียจนผมเชื่อว่า ถ้าเราพยายามอย่างเต็มที่และตรงไปตรงมากับมัน อย่างน้อยเราจะได้รับผลตอบแทนที่ดี ซึ่งอารมณ์แบบนี้ผมว่านะครับ ในสังคมไทยเราหายไปเยอะ โดยเฉพาะช่วงหลายปีให้หลังนี้ ความรู้สึกของการทำดี ทำอะไรจริงจัง จะไม่ได้รับผลดี เท่าไปเลียแข้งเลียขาคน หรือ ไปหาทางทุจริตคอรัปชั่นหรืออาศัยทางลัดเพื่อให้ตัวเองประสบความสำเร็จ มันเข้ามาแทนที่ความรู้สึกแบบนี้กันจนหมด
       
        เพราะหนังเรื่องนี้ให้ตัวอย่างของความพยายามของคนที่มันขาดหายไปในสังคมไทยได้อย่างดีเยี่ยมเคียงคู่ไปกับความบันเทิงอย่างเต็มเปี่ยม เมื่อบวกกับเนื้อหาสาระของมัน ทำให้ผมคิดว่าถ้าเขียนถึงมันนานๆ ก็อาจจะมีคนสนใจ และอาจจะมีคนเชื่อเหมือนที่ตัวละครเชื่อ...สังคมมันต้องน่าอยู่กว่านี้ชัวร์!!
       
        (ตลกดีที่ผมต้องสารภาพว่า ผมไม่ได้เขียนงานด้วยอารมณ์ที่เขียนแล้วอิ่มใจและมีความสุขแบบนี้มานานแล้ว ถึงตอนนี้ผมก็กำลังพยายาม Spoil ให้คนอ่านเชื่อเหมือนที่ผมเชื่ออยู่นะครับ อิอิอิอิอิ)

        เพราะระยะห่างของโนดาเมะ กับจิอากิมันชักจะเยอะชนิดนางเอกของเราตามไม่ทัน เนื่องจากหลังจากการบรรเลงกับสเตรสเซอร์มันน์จบลง จิอากิแจ้งเกิดสำเร็จ ส่งผลให้เกิดแรงดึงดูดที่จะทำวงซิมโฟนี่ที่รวบรวมเอาดาวรุ่งของญี่ปุ่นขึ้นมาในชื่อ R*S - Rising Stars ออร์เคสตร้าขึ้นมา
       
        นางเอกของเรานั้นถึงกับคิดหนักว่าจะเอายังไงดี
       
        และเพราะไม่ใช่หนังเกาหลี และไม่ใช่ละครน้ำเน่าจากเมืองไทย ตัวละครอย่างโนดาเมะจึงเลือกวิธีการที่หนักหนา นั่นคือ เธอต้องพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเอง เธอต้องพยายามให้มากขึ้น ขยันฝึกซ้อมอย่างเอาจริงเอาจังมากขึ้น เธอต้องละทิ้งวิถีที่เคยปฏิบัติ ละทิ้งชีวิตแบบเดิมๆ เพื่อให้ความหวังที่ต้องการนั้นเป็นจริงให้ได้
       
        ตรงประเด็นนะครับที่สเตรสเซอร์มันน์บอกเอาไว้....เธอต้องกล้าชนกับดนตรีตรงๆ จะหลบหนีแบบนี้ก็ไม่มีทางไปถึงไหน เพราะเหตุนี้ เธอกลายมาเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์สุดเฮี๊ยบจอมตบหัวคนอย่างเอโต้ ที่แม้ว่าตอนแรกเธอจะยังแขยงอยู่บ้าง เพราะวิธีการสอนของครูเอโต้นี้ไม่ได้ไปในทางเดียวกับเธอเลย แต่เพราะเอโต้เองก็เห็นในพรสวรรค์ของเธอ และเขาไม่อยากสูญเสียลูกศิษย์ฝีมือดีไปอีกคน สุดท้ายทั้งโนดาเมะและเอโต้ก็เลยต้องทำสนธิสัญญาสงบศึกกัน
       
        พูดถึงตอนนี้ตลกจนน้ำตาไหล เพราะ ข้อสัญญานั้นบอกไว้ว่า เอโต้ต้องช่วยโนดาเมะแต่งเพลง “กายบริหารลมทวาร” ซึ่งเป็นโปรเจคท์ฝึกงานของเธอให้จบ เล่นเอาเอโต้ที่ชีวิตนี้มีแต่เบโธเฟน มีแต่โชแปง มีแต่ชูมันน์ มีแต่ชูเบิร์ต ถึงกับมึน...แต่กระนั้นเขาก็ต้องยอมรับมัน
       
        ขอบพระคุณท่านผู้อ่านที่ช่วยเอาภาพกายบริหารลมทวารมาช่วยโพสต์ให้ ใครอยากรู้ว่ามันน่ารักอย่างไรลองเข้าไปดูที่ http://video.google.com/videohosted?docid=6461134043923165425 แล้วกันนะครับ เชื่อว่าดูแล้วจะอมยิ้มทุกคน เพราะ เด็กในภาพกายบริหารนี้แต่งเนื้อแต่งตัวเหมือนตัวละครในเรื่องทุกตัว
       
        ถึงตรงนี้เราเห็นความพยายามของตัวละครหลายตัวมากขึ้น โนดาเมะเองก็พยายาม เอโต้เองก็พยายาม ไม่นับถึงมิเนะที่พยายามให้มากเพื่อจะได้ไปอยู่ในวงใหม่ของจิอากิ ขณะที่พระเอกของเราก็กำลังพยายามเข็นวงดนตรีของเขาไปให้ถึงฝั่งให้ได้
       
        ครึ่งหลังของ Nodame Cantabile ตั้งแต่ตอนที่ 7-11 จึงเป็นเรื่องของความพยายามที่จะไปให้ถึงฝันให้ได้ ซึ่งในความพยายามต้องมีความรักผสานเข้าไปด้วยเพื่อเพิ่มออกเทนให้กับความพยายามเหล่านั้น
       
        จากความรักของคู่เดียวระหว่างโนดาเมะกับจิอากิ ก็กลายเป็นสองคู่โดยมีคู่หวานอย่างมิเนะและคิโยระหัวหน้าวงมาเพิ่มสีชมพูให้จัดจ้านมากขึ้น และมีบทแซมๆ ของคุโรกิมือโอโบซูเปอร์เก่งที่มาแอบหลงรักน้องโนดาเมะของเราแบบรักเขาข้างเดียว
       
        ที่ดูแล้วก็นั่งปลื้มไปก็เพราะความรักของแต่ละคู่นั้นไม่ว่าจะสมหวังหรือผิดหวังล้วนแต่ถูกแปรสภาพให้เป็นพลังยิ่งใหญ่ที่ผลักดันให้พวกเขาก้าวไปข้างหน้ากันทุกคนอย่างสง่าผ่าเผย ไม่มีการเสียเวลามานั่งอิจฉาริษยา หรือ กรี๊ดและใจร้ายเหมือนคนสติแตกแบบนั้น
       
        เพราะต้องการให้โทนของเรื่องครึ่งหลังเป็นสีชมพู พวกเขาจึงเลือกเพลงของวอล์ฟกัง อะมาเดอุส โมทซาร์ตมาประเดิมกันในตอนแรกนี้...Oboe Concerto in C major K.314 คือบทเพลงที่ว่านั้น
       
        เป็นบทเพลงที่โนดาเมะบอกกับจิอากิว่า นี่คือบทเพลงสีชมพู เป็นบทเพลงที่เมื่อเล่นแล้วจะนึกถึงสีชมพู เมื่อบรรเลงก็ต้องทำให้มันเป็นสีชมพู ซึ่งก็เป็นเรื่องจริงนะครับ เพราะ งานเพลงของโมทซาร์ตนั้นเปิดให้ใครฟังก็จะถูกค่อนคอดว่าโรแมนติกทั้งนั้น ขนาดจิอากิเอามาเล่นยังถูกโนดาเมะแซวเลยว่าอาจจะไม่เข้ากันเท่าไหร่ เพราะที่ผ่านมาแกเป็นพวกตีหน้ายักษ์ตลอด
       
        ที่มาของโอโบคอนแชร์โต้ชิ้นนี้โมซาร์ตแกเขียนเพื่อให้ จูเซปเป้ เฟอร์เรนดิส (Giuseppe Ferlendis) มือโซโล่ที่อยู่ในวงออร์เคสตร้าของอาร์คบิช็อปแห่งซาล์ซบวร์ก เพื่อเป็นการแสดงการเปิดตัวการเข้าสู่สังกัดของท่านอาร์คบิช็อปเมื่อวันที่ 1 เมษายน 1777
       
        งานเขียนชิ้นนี้ของโมทซาร์ตเป็นหนึ่งในไม่กี่ชิ้นของเขานะครับที่เจ้าตัวบอกว่า ไม่ชอบเลยแม้แต่นิดเดียว โดยเฉพาะรูปแบบของมันซึ่งโมซาร์ตบอกว่า จริงๆ แล้วไม่ต้องมีวงออร์เคสตร้าที่เหลือก็ได้ เพราะ ความเด่นของเครื่องโอโบนั้นมีเต็มๆ จริงๆ เขากะว่าจะฉีกสกอร์ของเพลงนี้ทิ้งไปแล้ว แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเอามันไว้ โดยให้เหตุผลว่า เมโลดี้ที่หรูหราสง่ามงามของมันนั้น เป็นของขวัญจากพระเจ้าที่ไม่ได้มากันบ่อยๆนัก มันทำให้เขาตัดใจทำลายมันไม่ได้ เพลงนี้โมทซาร์ตแกยังเอามาต่อยอดโดยการเปลี่ยนเครื่องโซโล่จากโอโบกลายมาเป็นฟลุ๊ต คอนแชร์โต้ และบรรเลงกันอีกในปีเดียวกัน
       
        “เหมือนพระเจ้าประธานความรักมาให้” โมซาร์ตบอกไว้
       
        เพราะเป็นเช่นนี้หรือเปล่าก็ไม่ทราบความรักในช่วงนี้ของเรื่องจึงเป็นความรักแบบฟ้าผ่าลงมากลางใจ เป็นรักแบบเทพประทาน และเป็นรักแบบ Love At First Sight !!
       
        หนังย้ำให้เราเห็นความสำคัญของความรักว่า มันเปลี่ยนแปลงโลกได้ถึงขนาดด้วยการให้ภาพที่น่าขันของบรรดายอดฝีมือรุ่นเยาว์เหล่านี้ว่าดูเหมือน ‘เครื่องจักร’ มากกว่านักดนตรี เพราะแต่ละคนเก่งพื้นฐาน เทคนิกยอดเยี่ยม แม่นยำ แม่นสกอร์ แต่ไม่ผ่านด่านของการแสดงอารมณ์แม้แต่นิดเดียว มันเหมือนเป็นการแสดงสาธิตเทคนิกการโซโล่ดนตรีมากกว่า ชนิดที่เมื่อบรรเลงกันจริงๆ จิอากิถึงกับบอกตัวเองว่าทำไมเพลงถึงมีสีสันเป็นสีเทาแบบนี้หนอ ?
       
        นี่คงเป็นเรื่องที่สเตรสเซอร์มันน์เห็นมาตลอด เพราะฉะนั้นเมื่อเขามีโอกาสตั้งวง S ในครั้งแรก สิ่งที่สเตรสเซอร์มันน์พยายามทำก็คือ จุดประกายความรักให้กับหนุ่มสาวเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการชวนไปจับคู่ออกเดต ทายปัญหานัดบอด หรือ ไปคาราโอเกะ เพื่อให้ความรักได้เบ่งบานในเครื่องจักรบรรเลงเพลงเหล่านั้น

       หนังย้ำอีกรอบว่าความรักนั้นเปลี่ยนแปลงโลกได้จริงๆ แม้กระทั่งกับกลุ่มเด็กมือพระกาฬเหล่านี้ เพราะ ทันทีที่ความรักมาเยือน สีเทาๆ เหล่านั้นก็สลายไปทันที

       เมื่อโนดาเมะผู้อุดมไปด้วยความรักพยายามนำข้าวปั้นรูปร่างน่าเกลียดกับมะนาวแช่น้ำผึ้งมาให้จิอากิระหว่างการซ้อม ก่อนจะถูกส่งต่อให้กับคิคูจิปในเวลาต่อมา ไอ้หนุ่มที่ชีวิตนี้มีแต่โอโบ้ก็ถึงกับระทวย เพราะท่าทางใสๆ เปิ่นๆ แต่เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่แสนซื่อนั้นมันกลายเป็นฟ้าผ่ากลางใจเขาอย่างจัง ในเวลาเดียวกันมิเนะก็สารภาพรักกับคิโยระแบบคลั่งๆนิดหน่อย เล่นเอาคนในวงชื่นบานขึ้นมาทันที
       
        โอโบ้ คอนแชร์โต้ ของโมทซาร์ตก็กลายเป็นสีชมพูด้วยประการฉะนี้ครับ

ที่มา : http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9500000072143

หมายเลขบันทึก: 116169เขียนเมื่อ 1 สิงหาคม 2007 19:51 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 19:44 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท