วันนี้ได้รับ contact mail เหมือนกันถึง 2 ฉบับ...และมีโพสต์ในบันทึกนี้ ประทับใจ...กับไตที่บริจาค (เพื่อ...ผ่าตัดเปลี่ยนไต) ของผู้เขียนอีกหนึ่งข้อความ...บ่งบอกถึงความทุกข์ใจอย่างที่สุดของผู้เป็นลูกสาว
“....เป็นคนหนึ่งที่รักแม่มาก แม่เป็นโรคไตเหมือนกัน หมอบอกว่า แม่มีสิทธิ์เป็นไตวายได้ เราไม่รู้ต้องทำยังไง พี่ๆ พอจะมีคำแนะนำมั๊ยค่ะ ตอนนี้เป็นห่วงแม่มากค่ะ ร้องไห้ตาบวมเลย...”
...ทำให้ผู้เขียนต้องวางทุกอย่างลงหมด...ไม่ว่างานราษฎร์ งานหลวงที่เคยทำไม่เลือกเวลาที่บ้าน...
วันนี้...ต้องเขียนบันทึกนี้ให้เสร็จ..ให้ได้... ไม่เสร็จ ไม่เลิก(แม้ไม่สมบูรณ์นัก)
อยากบอกท่านผู้ถามในเบื้องต้น ให้ครองสติให้อยู่ คุณหมอยังไม่สรุปว่า คุณแม่เป็นไตวายค่ะ เพียงบอกว่ามีสิทธิ์ ... มีข้อสงสัยสามารถถามคุณหมอท่านนั้นตรงๆได้เลยค่ะ ท่านให้ข้อมูลเพิ่มเติมได้แน่นอนค่ะ
“ความรู้เรื่องไต...สำหรับคนที่รักแม่ที่สุดในโลก”... เห็นหัวข้อเรื่องแล้วท่านที่มิได้อยู่ในฐานะแม่ที่ป่วยเป็นโรคไตอย่าเพิ่งน้อยใจนะคะ เพียงแต่ประโยคนี้กระตุกอารมณ์ผู้เขียนอย่างมาก... ก็เท่านั้นเอง
ในฐานะที่เป็นพยาบาล(เก่าแก่) ก็พอได้ร่ำเรียนเรื่องนี้มาบ้าง แม้จะนาน 30 ปีแล้วก็ตาม... การค้นหาข้อมูลที่ทันสมัยเพิ่มขึ้น ก็ไม่น่าจะยากจนเกินกำลังของผู้เขียน และหากพอเลือกสกัดมาเล่าให้เพื่อนๆฟังอย่างง่ายๆ...ให้เพื่อนที่กำลังมีทุกข์เข้าใจและสบายใจในเวลาอันสั้นได้ คงทำให้คืนนี้ผู้เขียนนอนหลับลงได้ ...
เอาเป็นว่าก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า...ไต ทำหน้าที่อะไร ...พอรู้ว่ามันทำหน้าที่อะไร อย่างไรแล้ว ก็คงบอกได้ว่าถ้ามันป่วยแล้วมันจะทำอะไรไม่ได้ แล้วจะเกิดอะไร
…………………………………………………………………………………………………
แพทย์หญิงสายพิณ โชติวิเชียร กองโภชนาการ กล่าวถึง ความรู้เรื่องโรคไตไว้ ซึ่งพอที่จะดึงประเด็นสำคัญมาเล่าเป็นการทบทวนความรู้ตนเองไว้ได้ด้วย...คร่าวๆดังนี้
“...ไตมีหน้าที่หลัก 3 ประการ คือ
1. ขับถ่ายของเสีย อันเกิดจากการเผาผลาญอาหารประเภทโปรตีน (มีมากในเนื้อสัตว์ และอาหารจำพวกถั่ว) ซึ่งของเสียประเภทนี้ ได้แก่ ยูเรีย ครีเอตินีน กรดยูริค และสารประกอบไนโตรเจนอื่น ๆ หากของเสียประเภทนี้คั่งอยู่ในร่างกายมาก ๆ จะเกิดอาการต่าง ๆ ซึ่งทางการแพทย์เรียกภาวะดังกล่าวว่า ยูรีเมีย
2. ควบคุมปริมาณน้ำ และเกลือแร่ น้ำและแร่ส่วนที่เกินควรจำเป็นจะถูกขับออกมาทางปัสสาวะ เกลือแร่ดังกล่าว เช่นโซเดียม โปตัสเซียม แคลเซียมฟอสฟอรัส เป็นต้น
3. ผลิตและควบคุมการทำงานของฮอร์โมน เช่น ฮอร์โมนที่ควบคุมปริมาณของแคลเซียม ฮอร์โมนที่กระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง ดังนั้น หากไตมีความบกพร่องมาก ๆ ผู้ป่วยอาจมีโรคโลหิตจาง หรือกระดูกผุ เป็นต้น
หากไตไม่ทำงาน หรือทำงานไม่เพียงพอ เนื่องจากได้รับบาดเจ็บ หรือมีโรคแทรกจะทำให้ระดับของเสีย และปริมาณน้ำคั่งค้างในร่างกายหรือในเลือด จะปรากฏอาการเหล่านี้ คือ ปัสสาวะน้อย ปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ โดยเฉพาะช่วงกลางคืน มีเลือดในปัสสาวะ มีอาการบวมที่มือและเท้า ปวดหลังในระดับชายโครง ความดันโลหิตสูง...”
แพทย์หญิงสายพิณ โชติวิเชียร กล่าวว่า
“... การป้องกันโรคไต
การป้องกันมิให้เกิดโรคไตนั้นจะต้องมีการควบคุมความดันโลหิตสูงให้อยู่ในระดับปกติ ด้วยการควบคุมน้ำหนักตัว ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอหรืออาจใช้ยาร่วมในการควบคุม และควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยเบาหวานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม สม่ำเสมอ...”
“... โรคไตเป็นโรคที่รักษาไม่หาย จริงหรือไม่
โรคไตบางชนิดก็รักษาให้หายขาดได้ ถ้ารักษาถูกวิธี และเริ่มรักษาตั้งแต่ระยะแรก เช่นโรคไตอักเสบติดเชื้อ นิ่วในไต ไตวายเฉียบพลัน ถ้าหากเป็นโรคไตวายเรื้อรังก็สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยการผ่าตัดปลูกถ่ายไต(เฉพาะผู้ป่วยบางราย)…”
ขออนุญาตนำมาเผยแพร่ต่อ(บางส่วน) ดังนี้
โรคไตเรื้อรัง (ไตเสื่อมเร็วกว่าปกติ) และไตวายคืออะไร
เมื่ออายุมากกว่า 30 ปีไตจะเริ่มทำงานลดลง หรือเสื่อมไปตามอายุขัยตามธรรมชาติ ไตเสื่อมจะเป็นไปอย่างช้าๆ โดยเฉลี่ยการทำงานของไตจะลดลง
ประมาณ 1% ต่อปี แต่บางภาวะที่ไตเกิดโรค พบว่าไตจะเสื่อมลงเร็วกว่าการ เสื่อมตามธรรมชาติ
กรณีที่ไตเสื่อมลงอย่างรวดเร็วหรือหยุดทันทีเรียกว่า “โรคไตวายเฉียบพลัน” ซึ่งไตอาจจะกลับมาเป็นปกติได้ถ้า ได้รับการรักษาที่เหมาะสม
แต่ถ้าไตเสื่อมลงอย่างช้าๆ ต่อเนื่องทำให้ไตเกิดความผิดปกติถาวร เรียกว่า
“โรคไตเรื้อรัง”
ในกรณีที่ไตเกิดความเสื่อมอย่างมาก (ไตทำงานได้น้อยกว่า 15%ของไตคนปกติ) จะเรียกว่า “โรคไตวายระยะสุดท้าย”...
การชะลอโรค
· ความดันโลหิตสูง <130/80 มิลลิเมตรปรอท
· เบาหวานควบคุมให้น้อยกว่า 110 มิลลิกรัม เปอร์เซนต์
· งดสูบบุหรี่
· การบริโภคอาหารที่ถูกต้อง
· การใช้ยาลดความดันบางชนิดที่สามารถ ชะลอความ เสื่อมของไต
· ระดับไขมันในเลือด (แอล ดี แอล <100 มก/ดล.)
· รักษาโรคที่ทำให้ไตเสื่อมเร็วขึ้น เช่น นิ่ว ต่อมลูกหมากโต
· ไม่ใช้ยาแก้ปวดที่มีผลต่อไตพร่ำเพรื่อ
การดูแลตนเอง
ท่านจำเป็นต้องดูแลตัวท่านเองในหัวข้อต่อไปนี้
1. การตรวจเลือดและพบแพทย์สม่ำเสมอ
2. การควบคุมความดันเลือด
3. การรับประทานอาหารให้ถูกวิธี
4. เตรียมความพร้อมเพื่อรับการบำบัดรักษา ทดแทนทางไตกรณีที่เข้าสู่ไตวายระยะสุดท้าย
อาหารที่ท่านต้องใส่ใจเป็นพิเศษได้แก่
1. จำกัดอาหารที่มีรสเค็ม หรือเทียบเท่าเกลือ 1 ช้อนชาต่อวัน
2. ควบคุมอาหารที่มีรสหวาน
3. โปรตีนจากเนื้อสัตว์ทุกประเภท ต้องได้รับในปริมาณที่ไม่มากเกินไป
4. ไม่รับประทานอาหารที่มีไขมันสัตว์สูง เช่น มันหมู ไข่แดง กะทิ เครื่องในสัตว์ เป็นต้น
และมีคำแนะนำมากมายให้ได้อ่านศึกษาค่ะ ผู้เขียนเกรงว่าหากนำมาเล่าต่ออาจขาดความสมบูรณ์ของเนื้อหาที่ควรได้รับ...จึงขอแนะนำ website ที่อ่านเข้าใจง่ายๆมาให้ได้เปิดอ่านกัน
ขอขอบคุณคุณศศิประภา [IP: 61.19.65.161] ที่ให้เกียรติไว้วางใจผู้เขียนโดยเขียนจดหมายมาเล่าความทุกข์ให้ได้รับทราบ ทำให้ผู้เขียนได้มีโอกาสทบทวนความรู้และนำมาเล่าให้เพื่อนๆที่สนใจได้รับทราบต่อกันไป
...ขอให้คุณแม่ของคุณมีกำลังใจที่ดี หายป่วยโดยไวและขอให้คุณผู้เป็นลูกกตัญญูประสบโชคดีค่ะ
...เข้มแข็งเข้าไว้นะคะและรักษาสุขภาพของคุณด้วยเพื่อคุณแม่ของคุณและตัวคุณค่ะ
โชคดีนะคะ
กฤษณา สำเร็จ.
ขอขอบคุณ
1. แพทย์หญิงสายพิณ โชติวิเชียร กองโภชนาการ http://www.zeedasia.com/forums/thread-12857-1-1.html
2. นวรัตน์ รักชาติ.หน่วยไตเทียม โรงพยาบาลสงขลา เมื่อ 19 กุมภาพันธ์ 2551) จาก http://www.sk-hospital.com/skmessage/viewtopic.php?t=3746&sid=ba5002254bdb0af7dfe9d45a06919910
3. http://www.nephrothai.org/webboard/wb-list.asp
4. ความรู้เรื่องไตเรื้อรัง :http://www.vibhavadi.com/web/health_detail.php?id=239 (...มีรูปภาพและคำอธิบายละเอียดมาก ออกจะลงลึกไปในทางการแพทย์)
ไม่มีความเห็น