ตามที่เข้าใจนะคะ Dialogue คือการกระตุ้นให้เกิดการสนทนา ซึ่งเป็นการตั้งคำถาม หรือการสนทนาระหว่างกันเป็นกลไกที่สำคัญในการสื่อสาร เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างแต่ละกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มที่ขัดแย้งกัน
Dialogue มีความแตกต่างจากการโต้เถียง Debate การสนทนาเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น เพื่อนำไปสู่การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น แต่ไม่ใช่การโต้แย้ง ใช่ไหมคะ
เขียนเล่าเรื่องได้ดีมากครับ หากจำได้ ผมเคยบอกเล่าว่า
ความเป็นจริง Dialogue (อันนี้พูดถึง Pure Dialogue)
เราจะได้รับผลงานผ่านทักษะของบุคคลที่มีขึ้น และผ่านกระบวนการอื่น
(ที่เราต้องตั้งเจตนาในมุมกลับไว้ว่า Unpredictable Outcomes)
กระบวนการสนทนาที่มุ่งเน้นผลลัพธ์ แต่นำทักษะแบบ Dialogue ไปใช้
อาจจะเป็น Productive Conversation อันเป็นการ Discussion ที่ไม่มีจุดประสงค์ (High Quality Discussion/ Skillful Discussion)
Pure Dialogue จะเป็นส่วนสร้างเสริมทักษะบุคคลให้เข้มแข็ง
ขณะส่วนอื่นๆ อาจจะก่อให้เกิดผลได้ แต่สองสวนนี้ต้องไม่ connected กัน ครับ
ให้กระบวนการเป็นไปธรรมชาติ โดยทักษะนั้นต้องติดเข้ากับบุคคล เห็นการปป.ในบุคคล โดยหัวใจสำคัญใน Dialogue คือการฟังอย่างละเอียด ครับ
สวัสดีค่ะ
ขอบคุณครับ คุณพี่ Sasinand ที่เข้ามาแลกเปลี่ยนกัน
คุณพี่พูดถึงการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น โดยเฉพาะกรณีที่มีความขัดแย้งกัน
ในมุมมองผมนะครับ ผมคิดว่า หากมีกรณีที่ขัดแย้งทางความคิดกันอย่างรุนแรง จะ Dialogue ได้ยากมากๆ เพราะแต่ละฝ่ายจะมีสภาวะของการปิดกั้นทางใจอยู่ในตัวเป็นพื้นฐาน
ในขณะเดียวกัน คนที่ฝึกทักษะ Dialogue จนชำนาญ ก็จะไม่มีความขัดแย้งทางความคิดอย่างรุนแรงระหว่างกัน
ความขัดแย้งทางความคิดอย่างรุนแรง และ Dialogue จึงดูเหมือนเป็นสองสิ่งที่ไม่อาจดำรงอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน
ผมคิดว่า ...
วงสนทนาใดเต็มไปด้วยความรุนแรงทั้งทางความคิด และวาจา จะไม่มีทางจะเกิด Dialogue
และในทางกลับกัน ในการสนทนาแบบ Dialogue นั้น มันก็จะไม่มีภาพของความขัดแย้งอย่างรุนแรงให้เห็น แต่จะเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งการยอมรับ สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ จากความหลากหลายทางความคิด เป็นเอกภาพที่ดำรงอยู่ในท่ามกลางความหลากหลายครับ
ขอบคุณครับ คุณพี่ครูคิม
ผมคิดว่าคุณพี่เองก็ผ่านประสบการณ์ Dialogue มาไม่น้อย
โดยเฉพาะเวลาที่คุณพี่ได้ไปร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู กับกัลยาณมิตรจากหลายๆ ที่ เช่นเวลาไปที่มหาชีวาลัยของท่านครูบาฯ
ผมคิดว่า บรรยากาศตรงนั้นมันก็น่าจะเป็น Dialogue อยู่แล้ว เวลาที่เราคุยกัน แลกเปลี่ยนกันฉันท์กัลยาณมิตร เพียงแต่ไม่มีใครพูด หรือบอกว่ามันเป็นการ Dialogue
ไม่ต้องกังวลเรื่องรู้เรื่อง หรือไม่รู้นะครับ
ยังไงคุณพี่ก็ใช้ Dialogue เป็นโดยไม่รู้ตัวอยู่แล้วครับ
ทักษะประสบการณ์เรื่อง Dialogue สำคัญกว่าความรู้จริงๆ ครับ
ขอขอบพระคุณอย่างสูงครับ ท่านอาจารย์ ดร.มนต์ชัย ที่กรุณาให้เกียรติมาให้ข้อแนะนำที่มีคุณค่ายิ่ง
ขอบคุณที่อาจารย์กลับมาให้สติ ทำให้ต้องกลับมาทบทวนครับถึงวัตถุประสงค์ของการจัด Dialogue ในแต่ละครั้ง ๆ
ผมคิดว่า บางครั้งเราก็ลืมตัวลืมใจ ให้ไปคาดหวังผลลัพท์ ที่อยู่ไกลเกินไป จนละเลยการสร้าง "ทักษะพื้นฐาน" ที่มั่นคง
ต่อไปทีมงานคงต้องนำไปเป็นบทเรียนสำคัญ ที่จะต้องประเมินผู้เข้าร่วม Dialogue ก่อนว่า มีทักษะ Dialogue กันขนาดไหน
ถ้าให้ผมประเมินด้วยตัวเองตอนนี้ ผมคิดว่า เรายังไม่สามารถไปถึงขั้น High Quality Discussion หรือ Skill Full Discussion ได้เลยครับ
ปัญหาสำคัญของเราน่าจะอยู่ที่เรื่องของ "ความต่อเนื่อง" ที่ยังไม่มีให้เห็น และไม่สามารถพัฒนาทักษะ จนเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในตัวคนได้
ผ่านไปปีครึ่งแล้วนับจากที่อาจารย์มาถ่ายทอด พึ่งจะมีหน่วยงานเดียว ที่ได้ฝึกทักษะไปเป็นครั้งที่ 3 แต่ก็ยังไม่ต่อเนื่องอยู่ดี หน่วยงานอื่นๆส่วนใหญ่จะมาเรียนรู้กันแค่ครั้งเดียว แล้วก็เงียบไปเลยครับ
ก็คงต้องเป็นโจทย์ใหญ่ที่ทีมงานจะต้องขบคิดกันต่อไปครับ
ขอบพระคุณอาจารย์มากครับ ที่ยังคงติดตาม ให้กำลังใจ และช่วยประคับประคองมาตลอดเวลา
ผมคิดว่า..ตราบที่อยู่ๆจะเกณฑ์คนมานั่งห้องประชุมแล้วให้ทำ Dialogue
คงได้ผลยากครับ เพราะไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความ"อยาก" แต่ดูเหมือนจะเป็นการ"ยัดเยียด"มากเกินไป
อีกอย่างบรรยากาศไม่เหมาะที่จะ Dialogue ด้วยนะครับ อาทิ
-ความอึกทึกในห้องประชุมและวงข้างๆ
-ความคุ้นเคยของเพื่อนร่วมวง (ไม่คุ้นเคยกัน..คุยกันธรรมดายังไม่ค่อย..)
-หลายท่านไม่ทราบว่า Dialogue คืออะไร กติการมายาทเป็นอย่างไร
พึ่งรู้คร่าวๆกันวันนั้น
(สมมุติว่าผมรู้วิธีขับเครื่องบิน แต่ไม่เคยขับมาก่อน
คงไม่คาดหวังว่าผมจะนำเครื่องขึ้นบินในครั้งแรก..)
(และสมมุติว่า เราแอบคาดหวังอะไรกับมันบ้าง ควรหวังกับกลุ่มคนที่เคยฝึกฝนมาแล้วพอสมควร..)
แก่นแท้" หรือ "จิตวิญญาณ" ของวง Dialogue อยู่ตรงไหน ??
นี่ก็เป็นปัญหาหนึ่งของเหล่า KFC (KI)(อย่างผม)ที่ไม่กล้าหยิบเอาไปใช้สักที
เหมือนเราจะไปบอกคนว่า...สูเจ้าเอ๋ย การบรรลุอรหันต์นี่ประเสริฐสุดนะ
แต่ตนเองก็ไม่เคยบรรลุหรือไม่ใช่อรหันต์...ไม่รู้จะนำทางอย่างไร...
ศาสตร์หลายศาสตร์มากมายหลายความเห็น ศาสตร์หลายศาสตร์ย่อมเป็นเช่นความหมาย
ศาสตร์ทุกศาสตร์ต้องซึมลึกเข้าใจกาย ศาสตร์ทุกศาสตร์จะเปลี่ยนได้แค่บางคน
คนเผยแพร่แน่แท้ต้องฟันฝ่า ต้องรู้ค่ารู้เคารพรู้ฝึกฝน
เพราะว่าศาสตร์จะเข้าจิตต้องเตือนตน ต้องอดทนจนอาจสร้างเป็นตำรา
Dialougeศาสตร์นี้มีดีแน่ แต่จะแก้ต้องรักแท้แก้ได้หนา
คนต่างถิ่นต่างที่มีราคา เปลี่ยนคิดเห็นที่ผ่านมายากเจียนตาย
ในพระไตรปิฎกยกพระสูตร พระองค์พูดถึงการฟังเป็นความหมาย
เพราะการฟังฟังยากฟังจากใจ จะทำได้อาจต้องฟังหลายครั้งครา
ขึ้นกับจิตแต่ละดวงที่สะสม หรือเพาะบ่มค้นคิดแสวงหา
แต่ผู้ให้จะย้อนกลับการรับมา ให้มากกว่าให้จากใจใครสุขกัน
ให้ความรู้เพื่อแก้ไขให้ต่อเนื่อง แค่นี้เรื่องDialougeก็สวรรค์
ส่วนผู้รับรับได้เท่าไหรนั้น ต้องติดตามดูแลกันด้วยยินดี
ขอยกย่องผู้ท่องโลกด้วยความรู้ สร้างค่าครูอยู่ในตนเช่นแบบนี้
เชื่อว่าโลกรู้หรือไม่เรารู้ดี ชั่วชีวีไม่ตายเปล่าเราเชื่อกัน
Dialouge วันหน้าหรือวันไหน จงจำไว้ต้องทำอย่างสร้างสรรค์
หาเวทีสำแดงทุกวี่วัน ด้วยจิตมั่นฟังกันด้วยความดี
อู๊ย ๆ ๆ แสบตาจัง ๆ
อยู่ดีๆ มี "เถ้าทุลีทอง" ลอยมาเข้าตาแต่เช้า
ทำให้ต้องขยี้ตาให้หายเคือง
ขยี้เสร็จก็ ตาสว่างกระจ่างใสในบัดดล
ขอบคุณมากๆ จริงๆ ครับ
สำหรับกำลังใจ ข้อแนะนำ และแง่คิดต่างๆ ที่ร้อยเรียงเป็นบทกลอนอันไพเรา เพราะพริ้ง กินใจ จนต้องของประทับไว้ใน "ซวง"
นับถือ ๆ ๆ
เพราะท่านสามารถบูรณาการทั้งกระบวนยุทธกลอน และทั้งความเข้าใจใน Dialogue อันสูงส่ง เข้าไว้ด้วยกันอย่างเนียนๆ
อยากรู้จักกันให้ใกล้ชิดขึ้นอีกนิดครับ
อยากเป็นกัลยาณมิตร
หรือจะให้เป็นศิษย์ก็ยอมครับ
ขอบคุณครับ ท่านอาจารย์ beeman
เป็นข้อคิดเห็นที่มีคุณค่ามากเลยครับ
ไม่ทราบว่าผมจะขอสรุปแบบนี้ได้มั๊ยครับว่า...
จะดู "ดอกอะไร" ให้เห็นชัดๆ ต้องหมั่น "ดูจิต" ตัวเองด้วย
ตื่นเต้น...ระคนไปกับความตื่นตะลึงพรึงเพริดครับ
ที่ได้เจอพี่ rungxp ที่นี่
(เอ๊ะๆ เมื่อไหร่จะเปลี่ยนเป็น rungvista หรือ rung7 ซะทีล่ะครับ )
ไม่คิดว่าจะมีวันนี้...วันที่ชาวชมรม KFC ลูกน้องท่านนายพล KM
จะได้มาพบมาเจอ มาแลกเปลี่ยนกันที่นี่
หวังว่าจะมีชาว KFC รายต่อไป ที่จะเข้ามาแลกเปลี่ยนกันอีกนะครับ
....
ขอขอบคุณพี่ rungxp มากครับ สำหรับเสียงสะท้อนงามๆ ที่จริงใจ และตรงไปตรงมา
เสียงสะท้อนจากพี่ คงเป็นสิ่งที่พวกเราต้องนำมาคิดร่วมกัน และหาหนทางแก้ไขร่วมกัน เพื่อเดินไปพร้อมๆ กันอย่างมั่นคงในอนาคต
ส่วนเริ่มก้าวแรกนั้น
ผมคิดว่าถ้าเราเห็นว่า สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดีและมีคุณค่า
ก็ลงมือทำมันไปเถอะครับ
ทำมันทั้งที่ไม่รู้นั่นแหละครับ
แล้วเราก็จะค่อยๆ เรียนรู้ และพัฒนาต่อไป
ผมคิดว่า ไม่มีใครเกิดมาแล้วเป็น "อรหันต์" เลยนะครับ
ก็ต้องไต่ระดับมาจากปุถุชนคนกิเลสหนา
แล้วก็พัฒนาไปทีละนิด ทีละน้อย
วันนึงก็น่าจะไปถึงฝันได้ครับ
....
ขอให้กำลังใจพี่ rungxp นะครับ
ผมว่าอย่างน้อยพี่ก็มีแนวร่วมเป็นผู้บริหารอย่างพี่พงศ์ ที่เข้าใจ Dialogue และน่าจะให้การสนับสนุนได้เป็นอย่างดีแน่ๆ ครับ
ผมเชื่อว่า ด้วยความตั้งใจ และความสามารถขนาดพี่
สบม. จริงๆ