การเดินทางและ (อีก) ต้นทุนของความยุติธรรม
ในคดีไต่สวนการตาย
นักสังเกตการณ์ (The Observer)
28 สิงหาคม 2550
-1-
“ผมมาศาลทุกครั้ง ...นานกี่ปีผมก็จะมา ผมอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกผม ...มันตายเพราะอะไร”มันเป็นเวลา 2 ปีเศษ ..นับจาก-นัดแรก เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2548-ที่ศาลจังหวัดสงขลาดำเนินคดีไต่สวนการตาย “กรณีสะบ้าย้อย” คุณลุงกับเพื่อนบ้าน รวม 19 ครอบครัว ต้องเดินทางจากบ้านที่สะบ้าย้อยเพื่อมาศาล “กรณีสะบ้าย้อย” เป็นหนึ่งใน 13 จุดใน เหตุการณ์กรือเซะ เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2547 [1}
สื่อมวลชนรายงานเหตุการณ์ในวันนั้นว่า มีกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบกว่า 20 คนบุกโจมตีหน่วยบริการประชาชน อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา และได้ยิงต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำให้ผู้ก่อความไม่สงบเสียชีวิตจำนวน 19 คน ซึ่งผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นเยาวชนในพื้นที่ที่ยังอยู่ในวัยเรียน เป็นนักกีฬาและชอบช่วยเหลืองานด้านศาสนา เนื่องจากการเสียชีวิตดังกล่าว เป็น การตายโดยผู้อื่นทำให้ตาย (มาตรา 150 วรรคแรก ประมวลวิธีพิจารณาความอาญา) กฎหมายจึงกำหนดว่า จะต้องทำการชันสูตรพลิกศพผู้ตาย (ม.150 วรรค 3)
ยิ่งไปกว่านั้นกรณีนี้เป็น ความตายที่เกิดขึ้นโดยการกระทำของเจ้าพนักงานซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่ พนักงานสอบสวนจึงต้องทำสำนวนชันสูตรพลิกศพส่งให้พนักงานอัยการภายใน 30 วัน (มาตรา 150 วรรค 4) และเมื่ออัยการได้รับสำนวนดังกล่าว ก็ต้องทำคำร้องต่อศาลเพื่อให้ศาลทำการไต่สวนการตาย ภายใน 30 วันนับแต่วันได้รับสำนวน (มาตรา 150 วรรค 5)
นับจากวันที่อัยการยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดสงขลาเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2547 และวันที่ 21 กันยายน 2550 ที่จะถึงนี้ คือวันสุดท้ายของการพิจารณาคดี ..รวมเวลาร่วม 3 ปี 6 วัน..
อย่างไรก็ดี ใช่ว่ากระบวนการยุติธรรมในคดีไต่สวนการตายนี้จะยุติลงในวันสุดท้ายของการนั่งพิจารณาคดีของศาล ขั้นตอนต่อไปคือผู้พิพากษาจะต้องมีคำสั่งกำหนดนัดวันเพื่ออ่านคำพิพากษา ซึ่งยังไม่มีใครรู้ได้ว่าเมื่อไร และยิ่งไปกว่านั้น คล้ายคลึงกับคำถามของคุณลุง-มันเป็นคำถามในใจของใครหลายคนที่มีประสบการณ์ร่วมกันมาตั้งแต่คดีไต่สวนการตายกรณีกรือเซะ ว่า-แล้วความจริงแบบไหนกันที่เราจะได้รับเป็นคำตอบ ?
-2-
ภายใต้กระบวนการไต่สวนการตายตามมาตรา 150 แห่งประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มันยังไม่ใช่จุดเริ่มต้นของการกล่าวโทษใครสักคนหนึ่งว่ากระทำความผิดทางอาญา และผลของการไต่สวนการตายจะไม่มีการชี้ว่า การกระทำให้คนอื่นเสียชีวิตนั้น เป็นความผิดทางอาญาหรือไม่ เพราะการไต่สวนการตาย ไม่ใช่การวินิจฉัยคำฟ้องในคดีอาญา
ในขณะที่จุดประสงค์ของการชันสูตรพลิกศพ คือ แสวงหาข้อเท็จจริงที่ว่า “ผู้ตายเป็นใครและตายด้วยสาเหตุอะไร” แต่เมื่อความตายที่เกิดขึ้นนั้น เกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงาน หรือในระหว่างการควบคุมของเจ้าพนักงานซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่ การชันสูตรพลิกศพจะต้องเพิ่มมาตรการตรวจสอบโดยศาล โดยดำเนินกระบวนการพิสูจน์ข้อเท็จจริง และรวบรวมพยานหลักฐานในเบื้องต้น หรือ “การไต่สวนการตาย” เพื่อให้ความเป็นธรรมทั้งแก่ญาติของผู้เสียชีวิต และเจ้าพนักงานว่า “ความตายนั้นเกิดขึ้นเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่”
และหากศาลมีคำสั่งว่าความตายดังกล่าวมีสาเหตุจากการกระทำที่ผิดกฎหมาย ขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมทางอาญาจะเริ่มต้นโดยย้อนกลับไปยังพนักงานสอบสวนที่จะพิจารณาทำสำนวนฟ้องส่งต่ออัยการ และอัยการจะพิจารณาทำคำสั่ง “ฟ้อง” ต่อศาล
ในคดีไต่สวนการตายกรณีกรือเซะ ศาลจังหวัดปัตตานีได้มีคำสั่งว่าผู้ตายทั้ง 32 คือใครบ้าง ระบุสถานที่และเวลาที่เสียชีวิต ส่วนเหตุและพฤติการณ์ที่ตายคือ “ถูกกระสุนปืนและระเบิดถูกอวัยวะสำคัญ” เนื่องจากได้ใช้อาวุธมีดและปืนต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจ ภายใต้การสั่งการของพลเอกพัลลภ ปิ่นมณี, พันเอกมนัส คงแป้น และพันโทธนภัทร นาคชัยยะ[2]
จากคำสั่งของศาลจังหวัดปัตตานี อาจทำให้เข้าใจว่า ‘โจทย์’ ของมาตรา 150 ได้รับคำตอบครบถ้วนแล้ว หากทว่า มีข้อน่าสังเกตคือ อาวุธที่เจ้าหน้าที่ใช้คือ ปืน เครื่องยิงระเบิดอาร์ พี จี รวมถึงเครื่องยิงระเบิดเอ็ม 79 [3] กลับไม่ปรากฎในเนื้อหาตอนท้ายของคำสั่งศาลจังหวัดปัตตานี
ซึ่งนั่นเท่ากับประเด็นนี้ไม่ถูกนำมาพิจารณาเพื่อ “ชี้” ไปถึงประเด็นที่ว่า ความตายที่เกิดขึ้นนั้น เกิดจากการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ [4]
ซึ่งประเด็นนี้สำคัญ เพราะมันเป็น ‘เจตนารมณ์’ ที่แท้จริงของการไต่สวนการตาย เช่นเดียวกับเป็นคำถามสำคัญของญาติผู้เสียชีวิต...
นับจากการยื่นคำร้องไต่สวนการตายในกรณีกรือเซะ เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2547 จนถึงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2549 ที่ศาลจังหวัดปัตตานีมีคำสั่ง ..เป็นระยะเวลาร่วม 2 ปี 4 เดือน สำหรับการแสวงหาความจริงในความตายที่มัสยิดกรือเซะ
-3-
ระหว่างการพิจารณาคดีไต่สวนการตายกรณีกรือเซะ และกรณีสะบ้าย้อย --ผ่านสายตาของ นักสังเกตการณ์..
เช่นเดียวกับคดีทั่วไป ในห้องพิจารณาคดี นอกจากจะมีผู้พิพากษา อัยการและทนายความแล้ว ญาติของผู้เสียชีวิตจำนวนหนึ่งก็มาร่วมรับรู้การก้าวเดินของกระบวนการยุติธรรมด้วย-เกือบทุกนัด นอกจากนี้ยังมีบุคคลทั่วไปมาร่วมสังเกตการณ์บ้างเป็นครั้งคราว “เกือบทุกนัด” นั้น หมายความว่า ภายใต้กระบวนการ “พิจารณาคดีต่อเนื่อง” ที่แต่ละเดือน นัดเกือบทุกอาทิตย์ และอาทิตย์ละ 4 วันติดต่อกัน
จริงอยู่ว่า เพื่อให้คดีดำเนินอย่างต่อเนื่องไปอย่างรวดเร็ว แต่ความต่อเนื่องและรวดเร็วรูปแบบนี้ ก็มี ‘ต้นทุน’ ในตัวเอง ครอบครัวผู้เสียชีวิตเป็นเพียงชาวประมง หรือไม่ก็ชาวบ้านที่ยังชีพด้วยการรับจ้างรายวัน มีความแตกต่างอย่างหนึ่งที่ไม่อยากจะเรียกว่ามันเป็น “โชคดี” ..แต่มันก็กลายเป็นเงื่อนไขที่ดี เมื่อเทียบกับญาติผู้เสียหายในคดีไต่สวนการตายคดีอื่น
กรณีของสะบ้าย้อย-ญาติผู้เสียหายได้รับเงินสนับสนุนการเดินทางมาศาลจำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นเงินภายใต้การเยียวยาของภาครัฐ ทุกนัดพิจารณาคดี ที่หน้าห้องพิจารณาคดีไต่สวนการตายกรณีสะบ้าย้อย ญาติของผู้เสียชีวิตจะมาถึงก่อนใครๆ
คุณลุง เล่าให้ฟังว่า คุณลุงกับเพื่อนบ้านทั้ง 19 ครอบครัว มาศาลเกือบทุกนัด อาจมีบางครอบครัว ที่สักนัดหรือ 2 นัดที่มาศาลไม่ได้
..ออกจากบ้านกันตั้งแต่หกโมงเช้า บางคนห่อข้าวเช้ามากินในรถ มาถึงศาลก็เกือบเก้าโมงเช้า
“เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง ไม่ได้เข้าใจทุกอย่าง ไม่เข้าใจก็มี”
คุณลุงตอบยิ้มยิงฟัน กับคำถามของนักสังเกตการณ์ที่ว่า “เข้าใจที่ทนายกับอัยการพูดหรือเปล่าคะ?”
เรื่องนี้เป็นความจริงที่สุด ผู้เสียหายและญาติผู้เสียหายเป็นคนไทยดั้งเดิมในพื้นที่ที่ยังคงเอกลักษณ์การสื่อสารโดยใช้ภาษาพื้นถิ่น เมื่อต้องมาฟัง “ภาษากฎหมาย” อาการเบื้องต้นจึงเป็นอาการร่วมของหลายคนที่ไม่ได้ร่ำเรียนกฎหมายมา คือหลายคนได้ยินได้ฟังภาษากฎหมายแล้วถึงกับส่ายหน้า!!
“ถามทนาย ตรงไหนไม่เข้าใจก็ถามให้เขาพูดให้ฟังอีกที”
โดยวิธีนี้-ความรับรู้และความเข้าใจของคุณลุงและญาติคนอื่นๆ ต่อคำถามและเรื่องราวภายในห้องพิจารณาคดีจึงไม่ใช่เรื่องยาก
แม้รอยยิ้มตาหยีของคุณลุงจะเป็นเสน่ห์เฉพาะตัว แต่ท่าทีดูเขินอายกับคนแปลกหน้า หากทว่าเป็นมิตรนั้น กลับเป็นลักษณะร่วมกันของหลายครอบครัวในคดีนี้
หลายครั้งที่คำถามทั้งในเชิงชวนคุยและถามเอาความของ นักสังเกตการณ์ จะเต็มไปด้วยความระมัดระวัง ด้วยไม่ต้องการไปย้ำซ้ำความรู้สึกของผู้เป็นพ่อแม่ และเมียผู้สูญเสีย แต่ระหว่างการสนทนาจนถึงวันสุดท้ายของการพบกันที่ศาล คำตอบต่อหลายคำถามทำให้ นักสังเกตการณ์ เรียนรู้ถึงความเข้มแข็งของผู้สูญเสีย โดยเฉพาะความอดทนอย่างมุ่งมั่นที่จะรอคอยผลของการค้นหาความจริงจากกระบวนการยุติธรรม
-4-
“เอ็นจีโอพามาหรือเปล่า ..”
“เปล่า พวกเรามากันเอง พวกเราเป็นญาติของผู้ตายจริงๆ
[ผู้พิพากษาพูดต่อว่า “มาแบบนี้ ก็เสียเงินค่าใช้จ่ายเยอะน่ะสิ” ]
...ถึงมาแล้ว ต้องเสียค่าใช้จ่ายเยอะ เราก็ยังอยากจะมา”
ญาติของผู้เสียชีวิตในคดีไต่สวนการตายกรณีตากใบ (คดีหมายเลขดำ ที่ ช.16/2548) ที่เข้ารับฟังการพิจารณาคดี ตอบคำถามของผู้พิพากษาศาลจังหวัดสงขลา เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2550
วันนั้น-เป็นครั้งที่ 2 ที่ที่นั่งสำหรับผู้เข้าฟังการพิจารณาคดีมีคนนั่งเต็ม ..นัดอื่นๆ นั้น ว่างเปล่า
วันนั้น-ญาติผู้เสียหายมากัน 5-6 ครอบครัว จำนวน 7-8 คน ล้วนเป็น ‘สาว-สาว’ มีชายหนุ่มเพียงคนเดียวซึ่งทำหน้าที่ขับรถ ก่อนแยกย้ายกันไปพักเที่ยง ผู้พิพากษาเอ่ยถามญาติๆ ว่า “จะอยู่ฟังการพิจารณาจนเสร็จการสืบวันนี้หรือเปล่าครับ?”
ญาติรายหนึ่งได้ลุกขึ้นยืนตอบศาลว่า “คงกลับตอนประมาณบ่าย 2 เพราะตอนนี้สถานการณ์ไม่ค่อยดี เรือใบ เต็มไปหมด”
ด้วยสารพัดเหตุผลในใจ ..มื้ออาหารเที่ยงวันนั้น นักสังเกตการณ์ จึงขอตามไปด้วย บนโต๊ะอาหารวันนั้น รสชาติอาหารมุสลิมแตกต่างออกไปจาก 3-4 ร้านเจ้าประจำเล็กน้อย
มีคุณน้าคนหนึ่งพกห่ออาหารมาจากบ้าน ด้วยคำถาม-จึงได้รับคำตอบว่า-พวกเธอมีเงินกองกลางสำหรับค่าน้ำมันจากนราธิวาส ที่จริงวันนี้จะมีคนมาเยอะกว่านี้ แต่หลายคนเปลี่ยนใจเช้าวันนี้เอง ด้วยเหตุผลว่า
“กลัว ไม่กล้ามา”
กลุ่มญาติเดินทางกลับนราธิวาสหลังจากอาหารเที่ยง ทุกคนบอกว่า จะมาอีก แต่คงมาต่อเนื่อง 4 วันตามที่ศาลนัดแต่ละอาทิตย์ไม่ได้
การสูญเสียสามีหรือลูกชายคนโตจากกรณีตากใบ ทำให้หน้าที่หลักในการหาเลี้ยงครอบครัวกลายเป็นภาระใหม่สำหรับพวกเธอ เพิ่มเติมขึ้นจากหน้าที่ดูแลลูกๆ
หลังจากวันนั้น ที่นั่งสำหรับผู้เข้าฟังการพิจารณาคดีกลับมาว่างเปล่าเหมือนเดิม..
ร่วมเดือนถัดมา ..หัวค่ำของเย็นวันหนึ่ง เสียงจากเพื่อนนักข่าวที่พบกันบ่อยๆ ในคดีนี้ส่งข่าวมาว่า หนึ่งในญาติผู้เสียหายที่มาศาลวันนั้น ถูกเอ่ยถึงโดยถูกทักว่าเป็น “พวกรับจ้างพาญาติมาศาล”
..ความกังวลในใจของเธอเพิ่มขึ้น หลายคนติดต่อเธอไม่ได้ เธอปิดเครื่องไม่รับสายใครอยู่พักใหญ่..
‘ความตายที่ตากใบ’ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อตุลาคม 2547 เพิ่งจะเข้าสู่กระบวนการไต่สวนการตายเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2550 โดย 4 นัดแรกเป็นการสืบพยานผู้เชี่ยวชาญ หรือแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับการชันสูตรพลิกศพ ที่ศาลจังหวัดนนทบุรี
หลังจากนั้นมา การพิจารณาคดีดำเนินต่อโดยศาลจังหวัดสงขลา โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 5 มิถุนายน 2550 เป็นต้นมา พยานจำนวน 300 รายชื่อ ที่อัยการยื่นตามบัญชีระบุพยาน จนถึงสิ้นเดือนสิงหาคม 2550 สืบพยานไปแล้วเกือบ 20 ราย
โดยหลักแล้ว คดีนี้น่าจะได้รับการพิจารณาคดีที่ศาลจังหวัดนราธิวาส แต่อัยการทำเรื่องขอโอนมายังศาลอาญาที่กรุงเทพ ด้วยเหตุผลของ ‘ความปลอดภัย’ แต่เนื่องจากเพื่อการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม และประโยชน์ของญาติผู้เสียหาย ทนายความของผู้เสียหายจึงคัดค้านคำขอดังกล่าว ท้ายที่สุดคดีจึงมาตกอยู่ในเขตอำนาจศาลจังหวัดสงขลา
มีข้อสังเกตเพิ่มเติมถึงการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมของญาติผู้เสียหายในกรณีคดีการไต่สวนการตาย.. การมาร่วมแสวงหาความจริงไปกับกระบวนยุติธรรม หรือความสามารถในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม (access to justice)
มิใช่ลำพังเพียงการใช้สิทธิและเสรีภาพที่กฎหมายและรัฐธรรมนูญรับรอง หากยังมี หลายอย่างที่ต้องแลกเปลี่ยนเพื่อได้มา ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางที่หมายถึงค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากรายจ่ายประจำเดือน อาทิ ค่ารถ ค่าน้ำมันมาศาล กรณีกรือเซะครอบครัวผู้เสียชีวิตเดินทางจากบ้านมาศาลจังหวัดปัตตานี, กรณีสะบ้ายย้อย เดินทางจากอำเภอสะบ้าย้อยมาศาลจังหวัดสงขลา (กรณีสะบ้ายย้อย เป็นกรณีเดียวที่ครอบครัวผู้เสียชีวิตได้รับเงินช่วยเหลือสำหรับค่าเดินทางมาศาล) กรณีตากใบจากตำบลตากใบ จ.นราธิวาส-จ.ปัตตานี-ศาลจังหวัดสงขลานราธิวาส 255 กิโลเมตร (33+126+96 กิโลเมตร), ค่าอาหารกลางวัน, มื้อเย็นหิ้วท้องกลับไปกินข้าวที่บ้าน, การสูญเสียรายได้ต่อวัน, การต้องรีบกลับบ้านให้เร็วที่สุด..
ซึ่งบางครั้งอาจหมายถึงระยะเวลาในการร่วมค้นหาความจริงไปกับกระบวนการยุติธรรมในแต่ละวันที่มา ต้องลดจำนวนชั่วโมงลงไป, การเผชิญกับ เรือใบ--ความเสี่ยงที่มองไม่เห็น ไม่ว่าจะนับตั้งแต่ออกจากบ้าน ระหว่างเดินทาง และแม้ว่าจะกลับไปถึงบ้านแล้วก็ตาม.. กรณีของหนึ่งในครอบครัวผู้เสียหายจากกรณีตากใบเมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เป็นกรณีตัวอย่างที่ดี..
ที่สำคัญ.. ต่อร่องรอยของ (ตัวอย่าง) ต้นทุนของความยุติธรรมเหล่านี้ แล้วความจริงแบบไหนกันที่พวกเราจะได้รับเป็นคำตอบ?
[4] ณรงค์ ใจหาญ, “หลักกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เล่ม 1”, พิมพ์ครั้งที่ 8, 2547, หน้า 321.
ไม่มีความเห็น