ข่าวพายุไซโคลนนาร์กีสถล่มพม่า ถือเป็นข่าวใหญ่ที่ทั่วโลกให้ความสนใจอย่างยิ่ง เพราะมหันตภัยครั้งนี้ได้คร่าชีวิตชาวพม่าไปนับหมื่นคน สูญหายอีกหลายหมื่นชีวิต บ้านเรือน ทรัพย์สิน และสาธารณูปโภคต่าง ๆ เสียหายยับเยิน
แม้ปัจจุบันประเทศไทยเราจะไม่ได้รับผลกระทบจากพายุต่าง ๆ รุ่นแรงเทียบเท่ากับพม่า แต่นับวันพายุขนาดใหญ่ที่เกิดในภูมิภาคนี้ก็มีมากขึ้น และเกิดบ่อยขึ้นเมื่อเทียบกับในอดีต อันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก จากภาวะโลกร้อนก็มีส่วนแต่ไม่ใช่สาเหตุทั้งหมด ซึ่งนักวิชาการไทยชี้ว่า ประเทศไทยก็มีความเสี่ยงเช่นกันที่จะประสบกับพายุไต้ฝุ่นในพื้นที่ชายฝั่งทะเลด้านอ่าวไทย
นาร์กีสคร่าชีวิตช่าวพม่านับหมื่น
2 พฤษภาคม 2551 กรมอุตุนิยมวิทยาของไทยประกาศเตือนภัย “โคลนนาร์กีส” ฉบับที่ 4 ว่าไซโคลนนาร์กีส ( Nargis ) บริเวณอ่าวเบงกอลตอนกลาง เมื่อเวลา 04.00 น. วันนี้ ( 2 พ.ค. )..กำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วลม 18 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยมีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 148 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คาดว่าจะเคลื่อนตัวขึ้นฝั่งของประเทศในคืนนี้...
5 พฤษภาคม 2551 สำนักข่าวต่างประเทศอ้างสถานีโทรทัศน์ของรัฐบาลพม่า รายงานว่า พายุดังกล่าวมีความเร็วลม 190 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขึ้นฝั่งพม่าตั้งแต่วันที่ 3 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ได้พัดกระหน่ำเข้าพื้นที่แถบสามเหลี่ยมปากแม่น้ำอิระวดี และนครย่างกุ้ง เมืองหลวงของพม่า ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 351 คน.. ( ต่อมาภายหลังมีรายงานยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มสูงกว่า 34,000 คน ขณะที่เจ้าหน้าที่ต่างชาติประเมินว่า อาจมีผู้เสียชีวิตถึง 100,000 คน ) ยอดผู้สูญหายอีกกว่า 40,000 คน ( ภายหลังรายงานลดเหลือกว่า 20,000 คน ) และจำนวนผู้ประสบภัยอีกนับล้านคน
รายงานข่าวยังระบุอีกว่า บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำอิระวดี ได้รับผลกระทบหนักมากทั้งจากฝน ลม และคลื่นในแม่น้ำ อาคารมากกว่า 20,000 หลัง พังทลาย ไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ ใช้การไม่ได้ รัฐบาลทหารพม่าประกาศให้พื้นที่ 5 แห่ง เป็นเขตภัยพิบัติ ประกอบด้วย แถบลุ่มแม่น้ำอิระวดี นครย่างกุ้ง พะโค รัฐกะเหรี่ยง และรัฐมอญ
ภาพความเสียหายบริเวณที่พายุไซโคลนนาร์กีสเคลื่อนผ่าน
ข้อมูลของพายุไซโคลนนาร์กีส
พายุไซโคลนนาร์กีส
นาร์กีส เป็นชื่อของเด็กหญิงชาวมุสลิม แปลว่า ดอกไม้ และใช้เป็นฃื่อพายุไซโคลนที่เสนอโดยประเทศปากีสถาน
ไซโคลนนาร์กีส เป็นพายุหมุนที่เกินขึ้นในอ่าวเบงกอล จัดเป็นพายุหมุนเขตร้อน (Tropical Cyclone) ชนิดหนึ่ง
ข้อมูลของพายุไซโคลนนาร์กีส ประกอบด้วย
ประเด็น |
รายละเอียด |
การก่อตัว |
วันที่ 27 เมษายน 2551 |
แหล่งกำเนิด |
อ่าวเบงกอลตอนกลาง มีศูนย์กลางอยู่ที่ละติจูด 15.9 องศาเหนือ ลองติจูด 93.7 องศาตะวันออก
|
ความเร็วลม |
215 กิโลเมตรต่อชั่วโมง |
ความกดอากาศต่ำ |
962 มิลลิบาร์ |
อัตราเร็วในการเคลื่อนที่ |
ประมาณ 16-18 กิโลเมตรต่อชั่วโมง |
วันที่สร้างความเสียหาย |
วันที่ 3 พฤษภาคม 2551 |
พื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย |
บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำอิระวดี และนครย่างกุ้ง ประเทศพม่า |
พายุไซโคลน
พายุไซโคลน เป็นพายุหมุนเขตร้อน (Tropical Cyclone) ที่เกิดขึ้นในบริเวณอ่าวเบงกอลหรือก่อตัวจาหย่อมความกดอากาศต่ำในทะเล แล้วไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ จนกลางไปเป็นพายุดีเปรสซัน พายุโซนร้อน และพายุหมุนเขตร้อน ตามระดับความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางของพายุ
ชื่อพายุ |
พายุดีเปรสชัน (Depression)
|
พายุโซนร้อน (Tropical Storm) |
พายุหมุนเขตร้อน (Tropical Cyclone) |
กำลังแรง |
อ่อน |
ปานกลาง |
รุนแรง |
ความเร็วลมสูงสุด ใกล้ศูนย์กลาง
|
ไม่เกิน 61 กม./ซม. |
ระหว่าง 62-117 กม./ซม. |
ตั้งแต่ 118 กม./ซม. ขึ้นไป |
การตั้งชื่อ |
ไม่มีการตั้งชื่อพายุ |
มีการตั้งชื่อพายุ |
มีการตั้งชื่อพายุ |
หมายเหตุ : การเรียกชนิดของพายุจะแตกต่างกันตามแหล่งที่เกิด เช่น
- เกิดในมหาสมุทรแปซิฟิกเหนือด้านตะวันตก มหาสมุทรแปซิฟิกใต้และทะเลขีนใต้เรียกว่า พายุไต้ฝุ่น
- เกิดในอ่าวเบงกอลหรือมหาสมุทรอินเดีย เรียก พายุไซโคลน
- เกิดในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ทะเลแคริบเบียน อ่าวเม็กซิโก และทางด้านตะวันตกของแม็กซิโก เรียก พายุเฮอร์ริเคน
- เกิดในทะเลประเทศฟิลิปปินส์ เรียก พายุบาเกียว
- เกิดแถบทวีปออสเตรเลีย เรียก พายุวิลลี-วิลลี่
การก่อตัวของพายุไซโคลน
พายุไซโคลน เป็นพายุที่เกิดขึ้นในบริเวณแถบเขตร้อน ก่อตัวขึ้นในทะเลที่มีความกดอากาศต่ำ ซึ่งมีน้ำอุ่นอย่างน้อย 27 องศาเซลเซียส และมีปริมาณไอน้ำสูง อากาศที่ร้อนเหนือน้ำอุ่นจะลอยตัวสูงขึ้น และอากาศบริเวณโดยรอบที่เย็นกว่าจะพัดเข้ามาแทนที่ แต่เนื่องจากโลกหมุน ทำให้ลมที่พัดเข้ามา เกิดการหมุนไปด้วย โดยพายุหมุนเขตร้อนเหนือเส้นศูนย์สูตรจะหมุนในทิศทางทวนเข็มนาฬิกา
พายุหมุนเขตร้อนเมื่ออยู่ในสภาวะที่เจริญเติบโตเต็มที่ จะเป็นพายุที่มีความรุนแรงที่สุดชนิดหนึ่งในบรรดาพายุที่เกิดขึ้นในโลก มีเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ 100 กิโลเมตรขึ้นไป และเกิดขึ้นพร้อมกับลมที่พัดแรงมาก
ผ่าพายุไซโคลน
การก่อตัวของพายุไซโคลนแต่ละครั้ง ประกอบด้วยส่วนประกอบสำคัญ 3 ส่วน ได้แก่
ตาพายุ (Eye) เป็นบริเวณจุดศูนย์กลางของการหมุนของพายุ และเป็นบริเวณที่มีความกดอากาศต่ำ ลมพัดเบา ไม่มีฝน มีเส้นผ่านศูนย์ลางประมาณ 10-50 กิโลเมตรของตาพายุ หรือกำแพงตา (Eye Wall) เป็นพื้นที่รอบๆตาพายุ เป็นบริเวณที่ประกอบด้วยลมที่พัดรุนแรงที่สุดบริเวณแถบฝน (Rainbands) เป็นบริเวณที่เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง และแพร่กระจายอยู่ในบริเวณส่วนเมฆพายุ เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีวงจรการเกิดไอน้ำ และมีการกลั่นตัวเป็นหยดน้ำ เพื่อป้อนให้แก่พายุ
ภาพโครงสร้างพายุหมุนเขตร้อน
พายุหมุนเขตร้อนในประเทศไทย
ประเทศไทยตั้งอยู่ระหว่างแหล่งกำเนิดของพายุหมุนเขตร้อนทั้งสองด้าน คือ ด้านชายฝั่งทะเลด้านตะวันออก ทางมหาสมุทรแปซิฟิกและทะเลจีนใต้ กับด้านชายฝั่งทะเลตะวันตก ทางอ่าวเบงกอลและทะเลอันดามัน พายุหมุนเขตร้อนที่เคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศไทย ส่วนใหญ่มาจากฝั่งตะวันออกคือด้านทะเลจีนใต้ มากกว่าทางด้านตะวันตกคือด้านอ่าวเบงกอล และพายุส่วนใหญ่มักจะอ่อนกำลักลงกลายเป็นพายุดีเปรสชันก่อนที่จะเคลื่อนตัวขึ้นฝั่ง
จากสถิติในรอบ 48 ปีที่ผ่านมา มีพายุหมุนเขตร้อนเข้าสู่ประเทศไทยทั้งหมด 164 ลูก (โดยเฉลี่ยแล้วปีละ 3-4 ลูก) และมีเพียง 11 ครั้งเท่านั้น ที่มีกำลังแรงเป็นพายุโซนร้อยหรือไต้ฝุ่นและในจำนวน 11 ครั้งนี้ มีเพียงครั้งเดียวทีพายุมีกำลังแรงเป็นไต้ฝุ่น คือ “พายุไต้ฝุ่นเกย์” ที่เคลื่อนเข้าสู่จังหวัดชุมพร เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2532 สร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินและผู้คนจำนวนมาก
ในเดือนตุลาคม ถือได้ว่าเป็นเดือนที่ต้องจับตามองเป็นอย่างยิ่ง เพราะพายุมีโอกาสเคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทยมากที่สุด รองลงมาคือเดือนกันยายน
ภาพทางเดินพายุหมุนเขตร้อนที่เคลื่อนที่ผ่านประเทศไทย
อำนาจการทำลายของพายุไซโคลน
- เกิดฝนตกหนัก อาจตกติดต่อกันหนึ่งถึงสองวัน จนก่อให้เกิดน้ำท่วม
- ความแรงของลมพายุก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งปลูกสร้างต่างๆ และเป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน
- การหมุนของลมพายุ สามารถพัดหอบน้ำทะเลติดขึ้นมาด้วย ซึ่งจะมีความสูงมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับความเร็วของลม และลักษณะภูมิประเทศ ทำให้เกิดเป็นกำแพงน้ำในบริเวณรอบนอกที่สูงกว่า บริเวณตรงแกนกลาง (คิดถึงการคนน้ำในแก้ว) กำแพงน้ำนี้จะก่อให้เกิดคลื่นขนาดใหญ่พุ่งเข้าสู่ฝั่งเรียกว่า น้ำขึ้นจากพายุ (storm surge) และเกิดน้ำท่วมขังบนพื้นดินได้
จากการผสมโรงกันด้วยปัจจัยของ ลม ฝน และน้ำท่วม จึงทำให้ผู้คนและบ้านเรือนที่อยู่ตามชายฝั่งกระทั่งลึกเข้าไปในแผ่นดินที่ไกลมากขึ้น เกิดความสูญเสียทั้งชีวิตผู้คนและทรัพย์สินอย่างมหาศาล
บทสัมภาษณ์ ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา กับพายุไซโคลนนาร์กีส ศูนย์สื่อสารวิทยาศาสตร์ไทย สวทช. มีโอกาสได้สัมภาษณ์
ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายงานวิเคราะห์วิจัยและฝึกอบรมการเปลี่ยนแปลงของโลกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเป็นที่ปรึกษาฝ่ายวิชาการของศูนย์สื่อสารวิทยาศาสตร์ไทยเกี่ยวกับพายุไซโคลนนาร์กีส และโอกาสที่ประเทศไทยจะประสบกับพายุไต้ฝุ่นมีมากน้อยแค่ไหน
สาเหตุของการเกิดพายุไซโคลนนาร์กีสเป็นอย่างไร ?
ถ้าพูดถึงสาเหตุการเกิดพายุลูกนี้คงไม่ได้เป็นเรื่องแปลกอะไร เพราะช่วงเดือนมีนาถึงพฤษภา เป็นปกติอยู่แล้วที่จะมีพายุไซโคลนเกิดขึ้นในอ่าวเบงกอล แต่ที่ผิดปกติคือเรื่องทิศทางการเกิด คือปกติพายุจะเคลื่อนตัวไปทางตะวันตกหรือขึ้นเหนือ แต่นี่เป็นการเบี่ยงมาทางทิศตะวันออกโดยตรง ซึ่งจากสถิติย้อนหลังไป 50-60 ปี ไม่เคยมีปรากฏขึ้นเลย สิ่งที่เราสนใจก็คือ อาจเป็นไปได้ว่าอุณหภูมิของพื้นดินในช่วงนั้นสูงกว่าปกติ ชักนำให้ลมพายุจากทะเลวิ่งเข้าหาฝั่ง
พายุไซโคลนนาร์กีสมีส่วนเกี่ยวพันกับภาวะโลกร้อยหรือไม่ ?
เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีปัจจัยอ่นอีกมากมายที่เรายังไม่เข้าใจ ส่วนปัญหาที่ทำให้เกิดความรุนแรง เป็นเพราะเราไม่ได้ตระหนักหรือคาดคิดมาก่อนว่ามันจะเกิดขึ้นได้ เนื่องจากในอดีตไม่เคยมี ทำให้เราไม่ได้เตรียมการรับมือที่ดี
โอกาสจะเกิดพายุไซโคลนเช่นนี้กับประเทศไทยมีมากน้อยแค่ไหน ?
หากเป็นพายุที่เกิดในอ่าวเบงกอล แล้วพัดเข้าไทยในพ้นที่หกจังหวัดแถบฝั่งอันดามัน ถ้าเป็นเช่นนั้น พายุจะต้องเข้ามาในระดับละติจูดที่ต่ำลงมา (เมื่อเทียบกับพม่า) ซึ่งแรงที่ทำให้ลมเกิดการหมุนในละติจูดที่ต่ำนี้จะมีค่าน้อย ส่งผลให้ลมพายุที่จะพัดเข้าฝั่งตะวันตกของไทยจึงมีโอกาสน้อย และน้อยกว่าพม่ามาก แต่ถาเป็นพายุที่เกิทางฝั่งทะเลจีนใต้ หรือด้านทะเลอ่าวไท โดยเฉพาะในปีนี้จะประมาทไม่ได้ เนื่องจากสถิติที่ผ่านมา ช่วงเวลาสามถึงสี่ปี จะมีพายุเข้ามาลูกหนึ่ง แล้วนี่ก็ผ่านมาแล้วสามถึงสี่ปี แต่จะบอกว่าเป็นรอบของการเกิดแน่นอนก็ยังบอกไม่ได้ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจะต้องมีคำอธิบายที่ชัดเจน และยิ่งถ้าปีนี้มีการเกิดปรากฏการณ์เอลนีโญมาประกอบ โอกาสเสี่ยงที่จะเจอพายุก็มีสูง โดยเฉพาะในช่วงเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน ต้องจับตาดูพายุในทะเลเป็นพิเศษอีก 2-3 เดือนข้างหน้า คงจะบอกแนวโน้นได้ชัดเจนมากขึ้น โดยดูว่าเอลนีโญจะก่อตัวหรือไม่ ถ้าก่อตัวขึ้นมา ความเสี่ยงที่จะเกิดพายะก็มีสูงขึ้นตามไปด้วย
เมื่อรู้ว่าจะเกิดพายุ เราจะจัดการกับมันได้หรือไม่ ?
คงไม่ได้ เพราะอย่างการจะไปสลายพายุ มันเป็นศาสตร์ที่เทคโนโลยีเรายังไปไม่ถึง คงทำได้แค่เตือนภัยและอพยพเป็นหลัก คือพยายามลดความสูญเสียโดยตรงที่จะเกิดกับชีวิตคนให้ได้มากที่สุด ส่วนทรัพย์สินที่ขนย้ายไม่ได้ ก็คงต้องหาทางป้องกันเท่าที่จะทำได้
ความถี่ของการเกิดพายุและความรุนแรงมีแนวโน้มเป็นอย่างไร ?
มีสถิติค่อนข้างชัดเจนว่าจะเกิดถี่มากขึ้น เมื่อก่อนโดยเฉลี่ยประมาณแปดปีจึงจะเกิดครั้งหนึ่ง แต่ตอนนี้เป็นประมาณสามปีต่อครั้ง และเป็นพายุขนาดใหญ่ที่เรียกว่าไต้ฝุ่น คือ มีระดับความเร็วลม 63 นอต (ประมาณ 117 กม./ชม.) ขึ้นไป โดยพบว่ามีมากขึ้น ขณะที่พายุขนาดเล็กระดับดีเปรสชันลดลง และลดลงมากด้วย ทำให้จำนวนพายุโดยรวมมีจำนวนลดลง แต่สัดส่วนของพายุขนาดใหญ่มีมากขึ้น นี่แหละเป็นสาเหตุที่น่ากังวล