วันใดที่ฝนตกบ่งบอกได้ถึงความสงบกระทบโสต
"ตา" สัมผัสความชุ่มชื้นเขียวขจี
"หู" สัมผัสน้ำไหลรินเจื้อยแจ่วพร้อมเสียงนกร้อง
"จมูก" สัมผัสกลิ่นดินหอมรัญจวนใจ
"ลิ้น" สัมผัสน้ำอุ่นหรือน้ำผลไม้สดทดแทนพลังงานอันสูญเสีย
"ผิวกาย" สงบได้ด้วยไอน้ำในอากาศชื้นพอดี ๆ
"ใจ" สัมผัสฟ้าหลังฝนที่อุดมความสดชื่นและเบิกบาน
ชีวิตพักผ่อนและเอนกายได้ด้วยการใช้สติตัดสัมผัสที่เสียออก บอกตนเองว่าสิ่งทั้งปวงที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ เดี๋ยวก็ดับได้ ตัดได้ ปลงได้ ช่วงเวลานี้จะเป็นช่วงเวลาอันแสนวิเศษสำหรับการพักผ่อน
พักผ่อนเพื่อบำรุงและบรรเทากาย
บำรุงให้มีเรี่ยวมีแรงในการทำความดี
บรรเทากายที่เสื่อมจากการใช้งานมาแรมวัน แรมเดือน แรมปี
ใช้กายรักษากาย ด้วยการพักผ่อนในเวลาและสถานที่อันสงบพร้อมสงัด
กายนี้จะดำรงอยู่คู่กับใจเพื่อให้จิตนี้สร้างความดีไซร้แก่ตนและปวงชน...
"ตา" "หู" "จมูก" "ลิ้น" "ผิวกาย" "ใจ"
หยุดไว้เพียงเท่านี้โดยระวัง "สังขาร" ที่คิดจะปรุง ใช่ไหมครับ
เจริญพร โยมร่มไม้ใหญ่ใกล้ทาง
ท่านกล่าวได้ดีแล้ว ถูกต้องแล้ว ประเสริฐแล้ว
สาธุ สาธุ สาธุ
เป็นคำเขียนสั้นๆ ไพเราะ งดงาม ได้ใจความ ซาบซึ้งมากคะ
ภาพช่างสงบเย็น เหลือเกิน
ขอบพระคุณมากคะ
" สิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป "
แต่เกิดคำถามอีกประการคือ ในสิ่งแวดล้อมที่สงบเย็นเราคงสติได้ง่าย
แต่ในสิ่งแวดล้อมที่ต้องแข่งขัน รีบเร่ง เร่งด่วนเสมอๆ ในเมืองหลวงในวันทำงาน นี้
นั้น
เราจะดำรงสติอยู่ได้อย่างไร ให้กระทบแต่ไม่กระเทือน
เพราะสิ่งกระทบมันมากเหลือเกินคะ
สิ่งใดที่มากระทบ สิ่งนั้นย่อมกระเทือน เหมือนกับเราหายใจเข้า หายใจออก จมูกย่อมกระเทือน ท้องย่อมกระเพื่อม
ขอเพียงแค่รู้หนอว่ากระเทือน
จิตนั้นมีหน้าที่รับสิ่งที่มากระทบเข้าไปปรุง
เมื่อรู้แล้วไม่นำสิ่งที่กระทบเข้าไปปรุง กระทบแล้ว กระเทือนแล้ว ก็แค่นั้น...