วิจัย การวิจัย แบบที่มีระเบียบวิธีการวิจัย (Methodology) เป็นสิ่งที่เข้ามาในสังคมไทย เมื่อใดผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ แต่ก็น่าจะเข้ามาก่อนผมเกิดอย่างแน่นอน
จนตอนนี้เดินไปที่ใดในวงวิชาการบ้านเรา ก็จะขาดไม่ได้สำหรับการพูดถึงเรื่อง “การวิจัย”
สิ่งที่ผมพยายามที่จะเชื่อมโยงเข้ามาเพื่อพูดให้เห็นภาพมากขึ้นในบันทึก ก็เนื่องจากผมมาพบทางออกที่ดี ๆ สำหรับการวิจัยในบ้านเราอันหนึ่งก็คือเรื่องของ R2R นั่นก็คือ Research to Routine หรือการวิจัยในงานประจำ การวิจัยที่เนียนเข้าไปเนื้อหา ไม่ต้องวิจัยที่ไหน วิจัยที่งานตนเอง
ทำงานไป วิเคราะห์ไป แก้ไขไป
ไม่ต้องเสนอโครงการ ไม่ต้องของบ ไม่ต้องเข้าเล่ม ทำปุ๊บแก้ไขปั๊บ
เป็นงานหลักของผมในดุษฎีนิพนธ์ครั้งนี้ด้วยครับที่หาวิธีการ รูปแบบ ปัจจัยในการที่จะทำการส่งเสริมเรื่อง R2R ในหน่วยงานต่างๆ
แต่หลังจากการไปชิมลาง พูดคุย ทดลองทำเบื้องต้น กลับมาอ่าน Blog ค้นคว้า หาข้อมูล เทคนิคต่าง ๆ ประมาณหนึ่งเดือนที่ผ่านมาแล้วก็พบว่าปัจจัยเหตุอันหนึ่งที่ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมขึ้นมา จะทำให้การทำ R2R นั้นประสบความสำเร็จลุล่วงได้อย่างไม่ยากเย็นครับ
ก็คือเรื่องของ การทำ Research to Study
หรือปรับระบบการเรียนการสอนและการทำวิจัยในสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ให้เนียนเข้าไปในเนื้อของการเรียน
เรียนไปทำไป เรียนปุ๊บทำปั๊บ ทำกับเรื่องเรียน และเรียนในเรื่องที่ทำ
ประเด็นที่ผมลองไปชิมลางและลองนำกลับมาวิเคราะห์และสังเคราะห์ได้นั้น ที่ทำให้ R2R ค่อนข้างยาก ประสบปัญหาและไม่ยั่งยืนนั้นก็คือ บุคลากรส่วนใหญ่ยังติดกับระบบ methodology ที่เรียนกันมาจากมหาวิทยาลัย
เพราะจะติดภาพของวิจัยที่มี ระบบ ระเบียบ ที่เป็นอะไรที่เป็นหลักเป็นการ มีแบบมีแผน ทำแบบง่าย ๆ ไม่ได้ ทุกอย่างต้องยุ่งยาก
ประมาณว่า พูดถึงเรื่องวิจัยทีไร ต้องกุมขมับเลยครับ
สิ่งนี้เกิดขึ้นมาจากวัฒนธรรมการทำวิจัยในการศึกษาในมหาวิทยาลัย
วิจัย วิทยานิพนธ์ โดยเฉพาะแบบเดี่ยวหรือคนทำเดียว “น่ากลัวมาก”
ความน่ากลัวของสิ่งเหล่านี้ ติดตามคอยมาหลอกมาหลอนถึงตอนที่ทำงาน
โดยเฉพาะยิ่งถ้าใครเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยแล้ว ตอนที่ทำวิทยานิพนธ์ก่อนจบนี่ เลือดตาแทบกระเด็น
หลาย ๆ คนยังเรียนไม่จบเพราะติดค้างงานวิจัย ต้องลงทะเบียนรักษาสภาพไปเรื่อย ๆ
สถิติสูงมาก สำหรับนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาที่ต้องรักษาสภาพหรือติดค้างงานวิจัยจนไม่สามารถจบตามกำหนดหรือเกณฑ์เวลาเรียนต่ำสุดที่ตั้งไว้ได้
สิ่งเหล่านี้ส่งผลทำให้เวลาจะส่งเสริมการทำ R2R ภายในหน่วยงาน บางครั้งเจอ R ตัวแรก ก็หงายเก๋งไปตาม ๆ กันเลยครับ
Research Research Research วิจัย วิจัย วิจัย
"แค่ตอนไปเรียนก็แทบแย่แล้ว ตอนทำงานจะให้ทำวิจัยอีกเหรอ"
ปัญหาการทำวิจัยตอนที่เรียนนั้นมีปัญหาที่สำคัญมาก ๆ อันหนึ่งก็คือ
การทำวิจัยในระหว่างเรียนนั้น "แยกระบบงานวิจัยกับระบบงานหลักซึ่งเป็นงานในหน้าที่ประจำของผู้เรียนออกจากกัน"
นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาส่วนใหญ่ เป็นผู้มีงานทำแล้ว
แต่ตอนไปเรียน ตอนเสนอโครงร่าง ส่วนใหญ่อีกเหมือนกัน เสนอโครงร่างที่แยกออกจากงานของตนเองโดยสิ้นเชิง เวลาทำงานจึงทำให้เหมือนเป็นภาระที่ยุ่งยากเพิ่มขึ้น และยิ่งเป็นอะไรที่มีระบบระเบียบกฎเกณฑ์มาก ๆ ด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ต้องยุ่งยากมากขึ้นไปอีกหลายเท่า
ประกอบกับการที่ยุคนี้เป็นยุควิจัยชุมชน มีการบูรณาการงานหลักกับชุมชนเข้าด้วยกัน จึงทำให้แนวโน้มของงานวิจัยทั้งตอนเรียนและในหน่วยงานเน้นลงไปทำวิจัยกับชุมชนเป็นหลัก
ไปเก็บข้อมูล สังเกต สัมภาษณ์ จัดเวที ถอดบทเรียน ยิ่งทำให้เกิด “การแยกตัวกันของงานกับการวิจัย" เกิดขึ้นตามมาเป็นวัฏจักร
จนทำให้เกิดความเชื่อที่ว่า งาน กับ การวิจัย เป็นคนละเรื่องกัน
ชุมชน (ชาวบ้าน) กับ ชุมชน (หน่วยงาน/องค์กร) เป็นคนละเรื่องกัน
พอเวลาที่พูดถึงงานวิจัย ทุกคนก็เล็งไปเลยว่า ต้องเป็น “ชุมชน (ชาวบ้าน)” เท่านั้น
การวิจัยที่ลงไปทำในพื้นที่ ลงไปทำในชุมชนเท่านั้น ถึงจะมีคุณค่า ถึงจะของบประมาณได้ หรือจะนำมาเป็นผลงานตามดัชนีชี้วัดได้
เพราะฉะนั้นเวลาที่มีการออกนโยบายการทำ “วิจัย” ใด ๆ มา ผู้บริหารก็จะมุ่งลงไปที่ “ชุมชน” เป็นหลัก
ต้องชุมชน ต้องชาวบ้าน ต้องลงพื้นที่ จัดเวที เชิญประชุม เป็นสูตรสำเร็จในการทำ “วิจัย”
สูตรสำเร็จเหล่านี้มาได้อย่างไร
"ได้มาจากตอนเรียนครับ"
ก็เรียนมาอย่างนี้ เขามาสอนมาอย่างนี้ ถ้าจะให้ทำใหม่ “ก็ต้องเรียนใหม่ สอนใหม่” งบประมาณการอบรมฯ แบบไม่มีวันจบสิ้น
แต่ถ้าจัดกระบวนการเรียนการสอนให้เสร็จเรียบร้อยตั้งแต่ตอนไปเรียนก็น่าจะดีนะครับ
สร้างวัฒนธรรมการวิจัยในเนื้องาน R2R ตั้งแต่ในมหาวิทยาลัยในระหว่างที่เรียน
เรียนวิจัย และวิจัยเรื่องเรียน
Research to Routine
งานวิจัย และวิจัยเรื่องงาน
ทั้งสองสิ่งนี้น่าจะเป็นสิ่งที่สอดคล้องและเป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน
เรียนวิจัย และไปวิจัยเรื่องงานของตนเอง ใช้งานของตนเองเป็น Best Case หรือ Case Study ในการศึกษา
ถอดบทเรียนตนเอง วิเคราะห์และวิจัยตนเอง หน่วยงานตนเอง แบบถึงกึ๋น
ไม่ต้องรอเรียนจบแล้วค่อยนำความรู้ที่ได้มาประยุกต์ใช้อีกที รอเรียนให้รู้ก่อน ถึงค่อยนำมาทำ
เรียนปุ๊บได้ประโยชน์ปั๊บ
ทำแล้วได้ประโยชน์เลย
นอกจากได้ประโยชน์อย่างฉันพลันในขณะที่เรียนอยู่แล้ว ยังเป็นการสร้างค่านิยมที่ดีมากขึ้นกับการวิจัยที่ไม่จำเป็นต้องยากและห่างไกลตนเองเสมอไป
สิ่งเหล่านี้ก็เป็นประเด็นเล็ก ๆ ครับที่ขออนุญาตนำมาเสนอ และแลกเปลี่ยนกับทุก ๆ ท่านครับถ้าท่านใดมีสิ่งใดเพิ่มเติมเชิญแลกเปลี่ยนได้อย่างเต็มที่เลยนะครับ เพื่อเป็นการเรียนรู้ เติมเต็มและต่อยอดร่วมกันครับ
ปภังกร วงศ์ชิดวรรณ
อย่าลืมทำตาม...ข้อตกลงนะคะ...
ใส่ป้าย...R2R...ให้ด้วยนะคะ
*^__^*
กะปุ๋ม
555....
โอเคคะ...ลืมดูขออภัยด้วยนะคะ...
หวังว่าคงไม่จบเพียงแค่บันทึกนี้บันทึกเดียวนะคะ...
แซวๆๆ...คะ
*^__^*
กะปุ๋ม
ขออนุญาตร่วมแลกเปลี่ยนด้วยค่ะ....
ในปลายปีงบประมาณนี้ ไปจนถึงปีงบประมาณหน้าและอาจเป็นปีงบประมาณต่อไป ที่สำนักงานเขตฯ ของดิฉัน ท่าน ผอ.เขตฯ สนับสนุนและส่งเสริมให้ใช้กระบวนการวิจัยในการพัฒนางาน ถือเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนกลยุทธ์ของเขตฯ แทนการเสนอเป็นแผนงาน โครงการ เหมือนที่เคยเป็นมา ซึ่งท่านบัญญัติศัพท์เรียกเครื่องมือนี้ว่าเป็นการวิจัย "ร่มเล็กในร่มใหญ่"
งานวิจัยที่ศึกษานิเทศก์ต้องทำก็คือเรื่องของงานวิชาการที่แต่ละคนรับผิดชอบอยู่ โดยมีผู้บริหารโรงเรียนหรือคุณครูที่มีความสนใจอยู่ในประเด็นร่วมกับเรา พัฒนางานของตัวเองซึ่งเป็นเรื่องเดียวกับงานบริหารโรงเรียน หรืองานจัดการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนโดยใช้กระบวนการวิจัย ร่วมกันไปพร้อม ๆ กัน ที่เขตฯ เราเรียกว่า PAR&D คือร่วมปฏิบัติการวิจัยและร่วมกันพัฒนานวัตกรรม ซึ่งอาจเป็นแนวทาง วิธีการ สื่อ เครื่องมือ ฯลฯ ที่ช่วยพัฒนาผู้เรียน
เราเป็นร่มใหญ่ ผู้บริหารโรงเรียนหรือคุณครูเป็นร่มเล็ก ร่วมคิดร่วมทำโดยผนวกกระบวนการ KM เข้ากับกระบวนการวิจัย
ดิฉันเห็นว่าการวิจัยไปพร้อมกับการทำงานด้วยแบบนี้ สนุกและได้ประโยชน์สำหรับงานของเราไปด้วยจริง ๆ ซึ่งดิฉันน่าจะได้นำมาเล่าในบันทึกของตัวเองในโอกาสต่อ ๆ ไป เมื่อได้เริ่มลงมือกันแล้วค่ะ
ขอบคุณสำหรับการจุดประกายปัญญาค่ะ