นักวิชาการระดมสมองถกปัญหาการพัฒนากำลังคนทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง แนะใช้การศึกษาผ่านอินเตอร์เนตช่วยพัฒนากำลังคน ระบุเป็นวิธีที่ดี ต้นทุนถูก ดีกว่าการลงทุนสร้างโรงเรียนและมหาวิทยาลัย แต่ต้องมีการวางหลักสูตรให้เหมาะสม โดยรัฐต้องเร่งพัฒนาระบบอินเตอร์เนตเพื่อพัฒนาคนและการศึกษา ไม่ใช่ให้ต่างชาติเข้าทำ ส่วนแนวทางการศึกษาไทยตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นับเป็นแนวทางที่ถูกต้อง แต่ช้าไป 20 ปี เพราะต้องใช้เงินมหาศาลเพื่อทุนด้านการศึกษา รศ.ดร.ถวัลย์ วงศ์ไกรโรจนานันท์ ผู้เชี่ยวชาญ สถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทยกล่าวตอนหนึ่งในการอภิปรายเรื่อง "การพัฒนากำลังคนทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง" ที่ศูนย์ประชุมสหประชาชาติว่า คนถือเป็นจุดศูนย์กลางของการพัฒนาประเทศ เช่น มาเลเซียและสิงคโปร์ ซึ่งให้ความสำคัญกับการลงทุนในเรื่องคน คือ การให้การศึกษา ซึ่งปัจจุบันไทยแบ่งระดับการศึกษาออกเป็น 3 ระดับ คือ การศึกษาขั้นพื้นฐาน การศึกษาวิชาชีพ และการศึกษาต่อเนื่องหรือการศึกษาตลอดชีวิต
โดยหลักการด้านการศึกษาตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ถือว่าประเทศไทยได้มีการพัฒนาการศึกษามาถูกทางแล้ว แต่ก็ช้าไปถึง 20 ปี ทำให้ระบบการศึกษาของไทยล้าหลังเพื่อนบ้านมาก คือ เราเริ่มพัฒนาการศึกษาเมื่อเราไม่มีเงิน ประสบปัญหาเศรษฐกิจพอเพียงก็คือ ต้องการให้กิดการมุ่งสร้างกำลังคนที่มีคุณสมบัติที่มีความรู้เท่าและรู้ทัน เพื่อก่อให้เกิดความสามารถในการแข่งขัน ต้องมีคุณธรรมเพื่อนำไปสู่ความรู้ที่ยั่งยืน สำหรับความสามารถในการแข่งขัน มีความวิริยะอุตสาหะ เพื่อนำไปสู่ความมั่นคงและท้ายที่สุดต้องมีความสมดุล เพื่อก่อให้เกิดความยั่งยืนในภาพรวม
สำหรับกลยุทธ์ในการจัดการศึกษาตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง คือ แบ่งปันทรัพยากรโดยใช้สื่อที่ทันสมัยเข้ามาช่วย เพื่อลดค่าใช้จ่าย เน้นการเรียนรู้ด้วยตนเอง เพื่อเพิ่มผลสัมฤทธิ์เน้นการฝึกปฏิบัติในสภาพจริง หรือเหมือนจริง เพื่อฝึกความอดทน ความเอาใจใส่ต่องาน และการทำงานเป็นทีม เน้นสร้างจริยธรรมและคุณธรรม เพื่อสร้างจิตสำนึกต่อสังคมและสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ในการพัฒนากำลังคน ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ก็คือ การสร้างความเชื่อมโยงระหว่างผู้ผลิต กำลังคน และผู้ใช้กำลังคน โดยนำนักศึกษาเข้าสู่สถานประกอบการให้เป็น "ศูนย์การเรียนรู้" สร้างโรงบ่มเพาะเทคโนโลยี และผลิตครูอาจารย์ที่มีคุณภาพและวิสัยทัศน์
ด้านนางดอริส วิบุลศิลป์ จาก National Tonology University (NTU) Thailand
กล่าวว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีในโลกก้าวหน้าไปมากจนเราตามไม่ทัน ถ้าเราจะพัฒนาคนโดยอาศัยเทคโนโลยีคงทำไม่ได้ ดังนั้นเราจึงต้องตัดสินใจให้ดีว่าจะใช้เทคโนโลยีแบบใดมาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาคนเพราะหากเราตัดสินใจช้า เทคโนโลยีที่จะนำมาใช้ก็คงจะล้าสมัยแล้วสำหรับประทศไทย ซึ่งมีอุปสรรคในการพัฒนากำลังคน คือ มีประชากรในวัยทำงานอยู่เป็นจำนวนมากและกระจายอยู่ทั่วประเทศ ทำให้การเรียนรู้เพื่อพัฒนาการทำงานเป็นไปได้ยาก
นอกจากนี้รัฐยังฝากความหวังในการพัฒนากำลังคนไว้กับมหาวิทยาลัยมากจนเกินไป
ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในแต่ละสาขาก็มีจำนวนจำกัด ความรู้ใหม่ๆ มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตลอดเวลาความหลากหลายและพื้นฐานของความรู้จึงเหลื่อมล้ำกันมาก ทัศนคติของนายจ้างและลูกจ้างต่อการพัฒนาความสามารถ จึงไม่เอื้อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
สำหรับวิธีการแก้ไข คือ ต้องหาแนวทางที่เหมาะสมในการแลกเปลี่ยนปัญหาเฉพาะหน้าและต้องวางแผนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้วิธีการที่ดีที่สุดรวมทั้งต้องอาศัยการรวมกลุ่มสร้างเครือข่ายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ประโยชน์จากผู้เชี่ยวชาญ
รศ.ดร.บุญเจริญ ศิริเนาวกุล อาจารย์จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี กล่าวว่า โลกเรามีเทคโนโลยี 1 ชนิด ที่สามารถนำมาใช้ในการพัฒนากำลังคนให้มีประสิทธิภาพได้นั่นคือ อินเตอร์เนต โดยการจัดให้มีการศึกษาผ่านทางอินเตอร์เนตหรือเว็บไซต์ ซึ่งเชื่อว่า หากทำได้จะทำให้ระบบการศึกษาของไทยเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมากมายมหาศาลในอนาคต แต่ทั้งนี้การจัดการศึกษาในระบบดังกล่าว ยังมีปัญหาอยู่ในแง่ที่ว่า ทำอย่างไรที่จะทำให้การศึกษาผ่านอินเตอร์เนตนั้นมีคุณภาพไม่ถูกจำกัดในเรื่องปริมาณและมีต้นทุนที่ถูก
ปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทและเกี่ยวข้องกับการศึกษามากขึ้น ซึ่งการศึกษาที่อาศัยระบบซอฟแวร์นี้ จะทำให้เกิดการปฏิวัติทางด้านการศึกษาขึ้น ครูจะเปลี่ยนบทบาทใหม่จากผู้ที่ให้ความรู้ มาเป็นผู้ให้คำแนะนำ และผู้ร่วมเรียนไปกับนักเรียนในที่สุด ซึ่งจากการศึกษาในต่างประเทศ โดยเฉพาะในแคนาดา พบว่า ภาครัฐของแคนาดาได้ให้ความสำคัญกับการศึกษาผ่านอินเตอร์เนตมากขึ้น โดยจัดให้เป็นปัจจัยหนึ่งของการพัฒนาประเทศ ทั้งนี้ เพราะเชื่อว่าการศึกษาผ่านอินเตอร์เนต จะสามารถทำได้ทั่วถึงตั้งแต่เด็กไปจนถึงผู้ใหญ่ นอกจากนี้ยังจะช่วยประหยัดเงินงบประมาณในการสร้างโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยได้มาก
สำหรับประเทศไทยนั้น ถ้าหากมีจัดการศึกษาผ่านทางอินเตอร์เนตได้ย่อมเป็นเรื่องที่ดี แต่ทั้งนี้จะต้องมีการพัฒนาความสามารถในการเข้าสู่ตัวระบบอินเตอร์เนตที่ดีด้วย โดยให้สามารถกระจายไปได้ทั่วประเทศ และที่สำคัญคือต้องเปลี่ยนแนวคิดทางการศึกษาใหม่เพราะการจัดการศึกษาผ่านอินเตอร์เนตต้องอาศัยรูปแบบการศึกษาที่ชัดเจน และต้องอาศัยวิชาชีพด้านครูเข้ามาประกอบด้วย นอกจากนี้ยังต้องอาศัยการศึกษาร่วมกันของหลายๆ องค์กร
ด้านนายสุรสิทธิ์ วรรณไกรโรจน์ จากโครงการศูนย์การเรียนรู้ออนไลน์แห่งสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กล่าวว่า จากสถิติเมื่อปี พ.ศ.2542 พบว่าประเทศไทยมีคนใช้อินเตอร์เนตประมาณ 600,000 คน แต่จากการสำรวจเมื่อต้นปี 2543 พบว่า คนไทยนิยมใช้อินเตอร์เนตเพิ่มขึ้นถึง 1 ล้านคน และคาดว่าในอีก 2 ปี ข้างหน้าจะเพิ่มเป็น 5 ล้านคน ซึ่งหากมีการนำอินเตอร์เนตมาใช้ในการศึกษาได้ ย่อมเป็นเรื่องที่ดีและถูกต้อง แต่ทั้งนี้จะต้องมีการออกแบบหลักสูตรใหม่ให้ดี และสอดคล้องกับรูปแบบการเรียน คือ ให้เด็กเรียนรู้ด้วยตนเอง แต่จะต้องสามารถวัดผลการเรียนรู้ของเด็ก ให้รู้สึกสนุกสนานกับการเรียนเหมือนอยู่ในโรงเรียน มีระบบการตอบรับที่เหมาะสม และมีความหลากหลายทางความรู้ การศึกษาผ่านอินเตอร์เนต เป็นเรื่องที่รัฐจะต้องรีบคิด และรีบทำ เพราะหากคิดช้า ทำช้า ต่างชาติอาจมาช่วยคิด และช่วยทำแทนเรา ซึ่งเมื่อนั้นการศึกษาที่เราคิดว่าจะเป็นการพัฒนากำลังคนที่ดีที่สุดของประเทศคงจะดำเนินต่อไปไม่ได้ เพราะคงไม่มีใครเข้าใจคนไทยได้ดีกว่าคนไทยด้วยกันเอง
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- อ้างอิง ttp://vod.msu.ac.th/ardc/Folio/CARD_05/Document : สืบค้นเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2551อืม...เห็นด้วย ๆ
ถ้าโรงเรียนไหนผู้บริหารไม่ค่อยรู้เรื่อง IT โรงเรียนนั้นน่าสงสาร...
บุคลากรอยากพัฒนาสื่อ IT แต่ขาดแรงสนับสนุน เฮ้อ...แย่จัง...