การประกันคุณภาพในระดับอุดมศึกษา
******************************************************************************
ความคิดเรื่องการประกันคุณภาพอุดมศึกษาเกิดจากกระแสการวิจารณ์คุณภาพบัณฑิต อุดมศึกษา ควบคู่กับกระแสการประกันคุณภาพทั่วโลก ที่นำมาสู่ความพยายามพัฒนารูปแบบ และแนวทางการประกันคุณภาพของสถาบันอุดมสืกษาสังกัดต่าง ๆ ในปัจจุบัน ทั้งนี้งานวิชาการที่สำคัญมีทั้งเอกสารเชิงนโยบายเกี่ยวกับแนวทางการประกันคุณภาพการศึกษาระดับอุดมศึกษาของทบวงมหาวิทยาลัย และงานวิจัยเกี่ยวกับรูปแบบการประกันคุณภาพระดับอุดมศึกษาของประเทศต่าง ๆ โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ นอกจากนี้แนวคิดเกี่ยวกับการจัดอันดับมหาวิทยาลัย/สถาบันอุดมศึกษา และแนวคิดเรื่องดัชนีบ่งชี้คุณภาพสถาบันอุดมศึกษากำลัง เป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจมากยิ่งขึ้นในปัจจุบันอีกด้วย
กระแสการประกันคุณภาพกำลังแผ่ไปในวงการอุดมศึกษาทั่วโลก อันเนื่องจากแนวโน้มการขยายเชิงปริมาณที่มีมาอย่างต่อเนื่องในรอบ 2-3 ทศวรรษในแทบทุกประเทศที่นำมาซึ่งปัญหาคุณภาพของผลผลิตของอุดมศึกษาประกอบกับสภาพความสัมพันธ์และพันธกิจที่สถาบันอุดมศึกษามีต่อสังคมและองค์กรต่างๆ มากขึ้น อันนำมาซึ่งข้อเรียกร้องและความคาดหวังให้ดำเนินภารกิจด้านต่างๆ อย่างมีคุณภาพ
จากการวิเคราะห์สภาพปัญหาและสาเหตุของปัญหาของการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษา ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
สภาพปัญหา
สาเหตุของปัญหา
จากสภาพปัญหาและสาเหตุของปัญหาซึ่งมหาวิทยาลัยแต่ละมหาวิทยาลัยต้องร่วมใจกันสร้างวัฒนธรรม "คุณภาพ" ที่มีความชัดเจน ต้องมีความเคร่งครัดในเรื่องของคุณภาพชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยของตน ในที่นี้หมายถึงชื่อเสียงในเชิงผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพ มิใช่ชื่อเสียงในเรื่องผลิตบัณฑิตจำนวนมาก ถ้ามหาวิทยาลัยใดก็ตามที่ผู้บริหารมหาวิทยาลัยระดับสูง ได้แก่ อธิการบดี รองอธิการบดี หรือผู้ที่เกี่ยวข้องใดๆ ก็ตาม เช่น คณบดี รองคณบดี ถ้าท่านที่รับผิดชอบทั้งหลายเหล่านี้ไม่กำกับดูแลอย่างเคร่งครัดในเรื่องคุณภาพต้องการแต่เพียงจำนวนนักศึกษาที่มากขึ้น ปัญหาก็จะเกิดขึ้นกับมหาวิทยาลัยนั้นๆ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นอาจจะไม่เห็นในวันสองวัน คงต้องรอบัณฑิตจบออกไปแล้วชาวบ้านชาวช่องเขารู้ว่าบัณฑิตที่ผลิตออกไปนั้นไม่มีคุณภาพ ผลกระทบจึงจะตามมาในอนาคตถ้าตราบใดก็ตามมีการขยายบัณฑิตศึกษาเพียงเพื่อจำนวนนักศึกษา เพียงเพื่อทำกำไรจำนวนมากให้แก่มหาวิทยาลัย จะมีผลกระทบเกิดขึ้นตามมาอย่างมากในภายหน้า ดังที่ได้กล่าวไว้เมื่อสักครู่นี้ว่า บัณฑิตที่ผลิตออกมาจำนวนมากไม่มีคุณภาพ ไม่มีงานทำ ก็มีผลกระทบต่อมหาวิทยาลัย ผลกระทบต่อชื่อเสียงทั้งของมหาวิทยาลัยและผู้บริหาร
ดังนั้น การประกันคุณภาพระดับอุดมศึกษาจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษา นอกจากนี้ยังเป็นการกำหนดมาตรฐานของมหาวิทยาลัยเพื่อเทียบเคียงกับมหาวิทยาลัยอื่นๆ ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ทำให้มหาวิทยาลัยต้องพยายามแข่งขันกันด้วยคุณภาพตามมาตรฐาน ในอนาคตมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงแต่ไม่เห็นความสำคัญของการประกันคุณภาพการศึกษาก็จะพ่ายแพ้ต่อมหาวิทยาลัยที่เห็นความสำคัญมากกว่าและดำเนินการประกันคุณภาพอย่างต่อเนื่อง
ในมุมมองของผมมองว่าไม่ว่าจะใช้รูปแบบการประกันคุณภาพแบบใดก็ตามทั้งของ สกอ. แบบ TQA หรือแบบอื่นๆ ล้วนแล้วแต่ทำให้เกิดผลดีทั้งสิ้น ประเด็นอยู่ที่การเลือกนำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับสภาพสังคมทั้งในปัจจุบันและอนาคต มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นมหาวิทยาลัยระดับชาติที่ต้องพัฒนาตนเองให้ก้าวสู่มหาวิทยาลัยนานาชาติ จำเป็นต้องมีการประกันคุณภาพให้ได้มาตรฐานในระดับสากล
เมื่อพิจารณาการประกันคุณภาพที่เกี่ยวข้องการพัฒนาวิชาชีพครู
จากผลการสำรวจทัศนคติของผู้ใช้บริการและผู้เข้ารับบริการการศึกษาจำนวน 5,577 คน ที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติร่วมกับสวนดุสิตโพล เมื่อเดือนสิงหาคม 2540 พบว่า ครูประถมศึกษาและครูมัธยมศึกษาตอนต้นมีคุณภาพต่ำลงกว่าเดิมและมีความจำเป็นต้องเร่งพัฒนา และมีครูประมาณร้อยละ 20 ตอบว่า จริงๆ แล้วไม่ต้องการเป็นครู เพราะเห็นว่างานหนักและรายได้น้อย ครูและผู้บริหารจำนวนไม่น้อยที่ประพฤติตนเสื่อมเสีย ขาดคุณภาพด้านจริยธรรม
ทั้งนี้อาจเป็นเพราะกระบวนการผลิตครูไม่ได้สร้างให้นักศึกษาครูมีวิญญาณความเป็นครู ที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม สังคม เศรษฐกิจและความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี โดยประสบการณ์ส่วนตัวของผมที่ได้เข้าศึกษาต่อในคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตั้งแต่ในระดับปริญญาตรี(พ.ศ.2542) ปริญญาโท(2548) จนถึงปริญญาเอก(2552) พบว่า แทบทุกอย่างที่เคยเป็นศึกษาศาสตร์ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย นอกจากมีอาคารเรียนหลังใหม่(ที่ไม่ค่อยได้ใช้งานสำหรับนักศึกษาปริญญาเอก) มีการเปิดเพลงในตอนพักเที่ยง กระบวนการจัดการเรียนการสอนส่วนใหญ่ยังคงเป็นแบบบรรยาย(โดยใช้คอมพิวเตอร์เป็นสื่อในการนำเสนอเนื้อหาที่ใช้ในการเรียนการสอน)
นอกจากนี้ยังขาดระบบประกันคุณภาพเฉพาะสำหรับการผลิตบัณฑิตครู ปัจจุบันนี้สถาบันอุดมศึกษาจำนวนมากมีการเปิดสอนวิชาทางด้านการศึกษา หลักสูตรการเรียนจะแตกต่างกันไปโดยมีจุดเน้นแตกต่างกัน ไม่มีระบบการตรวจสอบและควบคุม หรือไม่มีงานวิเคราะห์วิจัยของคณาจารย์ระดับอุดมศึกษาเลยว่ารูปแบบวิธีเรียน วิธีสอนหรือกระบวนการผลิตลักษณะใดจะได้ครูที่มีคุณภาพมากกว่า ดังที่อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครที่กล่าวว่า หลักสูตรปัจจุบันแตกต่างจากหลักสูตรเก่าหลายด้านเพราะมีฐานคิดที่ว่าจะต้องผลิตบัณฑิตออกไปให้เป็นครูมืออาชีพ สอนได้ สอนเก่ง ต้องสอนและสอนอย่างเดียว เพราะสังเกตจากการให้นักศึกษาเลือกเรียนวิชาโทภายในคณะเท่านั้น ซึ่งวิชาโทในคณะไม่เพียงพอต่อการตอบสนองความต้องการเขาเลย ไปบังคับมากเกินไป เช่น ต้องเลือกวิชาโทที่เกี่ยวกับการสอนวิชาอื่นด้วย วิธีคิดที่แปลก คือ ครูหนึ่งคนต้องสอนได้หลายวิชาแล้วจะเอาความเป็นวิชาชีพได้อย่างไร
ข้อสังเกตเกี่ยวกับการประกันคุณภาพภายในและภายนอกของคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คือ คณะศึกษาศาสตร์ใช้เกณฑ์การประกันคุณภาพของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่ทุกคณะใช้ร่วมกัน ซึ่งองค์ประกอบคุณภาพการศึกษาที่ใช้เป็นแนวทางในการควบคุม ตรวจสอบและประเมินคุณภาพการศึกษา มี 9 ด้าน 63 ตัวบ่งชี้ ได้แก่ องค์ประกอบที่ 1 ปรัชญา ปณิธาน วัตถุประสงค์ และแผนดำเนินการ มี 2 ตัวบ่งชี้ องค์ประกอบที่ 2 การเรียนการสอน มี 24 ตัวบ่งชี้ องค์ประกอบที่ 3 กิจกรรมการพัฒนานักศึกษา มี 3 ตัวบ่งชี้ องค์ประกอบที่ 4 การวิจัย มี 7 ตัวบ่งชี้ องค์ประกอบที่ 5 การบริการทางวิชาการแก่สังคม มี 6 ตัวบ่งชี้ องค์ประกอบที่ 6 การทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม มี 4 ตัวบ่งชี้ องค์ประกอบที่ 7 การบริหารและการจัดการ มี 12 ตัวบ่งชี้ องค์ประกอบที่ 8 การเงินและงบประมาณ 2 ตัวบ่งชี้ องค์ประกอบที่ 9 ระบบและกลไกการประกันคุณภาพการศึกษา 3 ตัวบ่งชี้ (รายละเอียดตามภาคผนวก ก) ทั้งนี้ไม่มีองค์ประกอบ หรือตัวบ่งชี้ใดเลยที่เน้นไปที่มาตรฐานทางด้านผู้เรียนอย่างชัดเจน เช่น
เป็นต้น
จากการที่ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับอาจารย์ที่สอนในคณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งท่านได้บอกว่าคณะเทคนิคการแพทย์ให้ความสำคัญกับการผลิตบัณฑิตที่มีคุณธรรมและจริยธรรมเป็นอย่างมาก มีการเพิ่มองค์ประกอบที่ 10 สำหรับใช้ในการประกันคุณภาพภายในของคณะ โดยมีตัวบ่งชี้ 2 ตัวบ่งชี้ คือ ตัวบ่งชี้ที่ 10.1 : การบริหารจัดการสถานศึกษา 3 ดี (3D) คือ สถานศึกษามีกระบวนการบริหารจัดการเพื่อเร่งรัดพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโดยมีการวางแผนการจัดกิจกรรม จัดสภาพแวดล้อม และสิ่งอำนวยความสะดวกในสถานศึกษา มีความร่วมมือกับทุกฝ่าย และการติดตามประเมินผลตามแนวทางการดำเนินงานของสถานศึกษา 3 ดี (3D)การกำหนดนโยบาย จัดทำแผนพัฒนาสถานศึกษาตามแนวนโยบาย 3 ดี (3D) ได้แก่
และตัวบ่งชี้ที่ 10.2 : ผลที่เกิดกับผู้เรียนตามนโยบาย 3 ดี (3D) คือ มีความรู้ เจตนคติที่ดีตลอดจนเกิดพฤติกรรม สถานศึกษาได้พัฒนาคุณภาพของผู้เรียนทั้งในด้านการจัดการเรียนการสอนและจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน โดยประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วนการจัดการเรียนการสอนและกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ตามนโยบาย 3 ดี (3D) เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับประชาธิปไตย รู้จักสิทธิและหน้าที่ของตน เคารพในสิทธิของผู้อื่น มีวินัย มีความประหยัด มีความกตัญญูกตเวที ซื่อสัตย์สุจริต รู้และตระหนักในโทษภัยของยาเสพติด สร้างภูมิคุ้มกันจากสิ่งเสพติดและอบายมุขต่าง ๆ ตลอดจนมีสุนทรียภาพและลักษณะนิสัยด้านศิลปะ ดนตรีและการกีฬาเพื่อให้ผู้เรียนสามารถดำรงตนอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข
หากคณะเทคนิคการแพทย์ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการผลิตบัณฑิตที่มี 3 ดี (3D) ผมอาจจะไม่มีข้อเปรียบเทียบได้อย่างชัดเจนว่า คณะศึกษาศาสตร์จะอยู่อย่างนิ่งเฉยเหมือนเดิมหรือควรจะปรับตัวเองให้ได้สมกับการเป็นคณะที่มุ่งผลิตบัณฑิตที่จะเป็นครู ซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่สร้างคนให้เป็นคนที่เก่ง ดี มีสุข อย่างสมบูรณ์
แนวทางการแก้ไขปัญหา
ผมมองว่าแนวทางการแก้ไขปัญหาการผลิตครู ให้มีคุณภาพนั้นจะต้องมีการกำหนดมาตรฐานและตัวบ่งชี้ ที่เกี่ยวกับการผลิตครู ตั้งแต่กระบวนการรับเข้า กระบวนการผลิต และกระบวนการเข้าสู่ความเป็นครู ซึ่งที่ผ่านมาคณะมักจะทำหน้าที่ผลิตครู แต่ไม่ได้มีการสนับสนุนให้ได้งานที่เหมาะสม ทำให้มีหลายๆ คนพลาดโอกาสในการเป็นครูหรือเลือกที่จะทำงานด้านอื่นแทนที่จะทำงานให้ตรงกับที่ได้ร่ำเรียนมา และที่สำคัญ คือ ไม่ได้กำหนดมาตรฐานและตัวบ่งชี้ของบัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาจากคณะศึกษาศาสตร์ไว้อย่างชัดเจนเป็นรูปธรรม
เมื่อพิจารณาพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ในหมวดและมาตราดังต่อไปนี้
หมวด 7 มาตรฐานและการประกันคุณภาพการศึกษา
มาตรา 47 ให้มีระบบการประกันคุณภาพการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาทุกระดับ ประกอบด้วย ระบบการประกันคุณภาพภายใน และระบบการประกันคุณภาพภายนอก ระบบ หลักเกณฑ์ และวิธีการประกันคุณภาพการศึกษา ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา 48 ให้หน่วยงานต้นสังกัดและสถานศึกษาจัดให้มีระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาและให้ถือว่าการประกันคุณภาพภายในเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการบริหารการศึกษาที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยมีการจัดทำรายงานประจำปีเสนอต่อหน่วยงานต้นสังกัด หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเปิดเผยต่อสาธารณชน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา และเพื่อรองรับการประกันคุณภาพภายนอก
มาตรา 49 ให้มีสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา มีฐานะเป็นองค์การมหาชนทำหน้าที่พัฒนาเกณฑ์ วิธีการประเมินคุณภาพภายนอก และทำการประเมินผลการจัดการศึกษาเพื่อให้มีการตรวจสอบคุณภาพของสถานศึกษา โดยคำนึงถึงความมุ่งหมายและหลักการ และแนวการจัดการศึกษาในแต่ละระดับตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้ ให้มีการประเมินผลคุณภาพภายนอกของสถานศึกษาทุกแห่งอย่างน้อยหนึ่งครั้งในทุกห้าปีนับตั้งแต่
การประเมินครั้งสุดท้าย และเสนอผลการประเมินต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสาธารณชน
มาตรา 50 ให้สถานศึกษาให้ความร่วมมือในการจัดเตรียมเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ที่มีข้อมูล เกี่ยวข้องกับสถานศึกษา ตลอดจนให้บุคลากร คณะกรรมการของสถานศึกษา รวมทั้งผู้ปกครองและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานศึกษาให้ข้อมูลเพิ่มเติมในส่วนที่พิจารณาเห็นว่า เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติภารกิจของสถานศึกษา ตามคำร้องขอของสำนักงานรับรองมาตรฐาน และประเมินคุณภาพการศึกษาหรือบุคคลหรือหน่วยงานภายนอกที่สำนักงานดังกล่าวรับรอง ที่ทำการประเมินคุณภาพภายนอกของสถานศึกษานั้น
มาตรา 51 ในกรณีที่ผลการประเมินภายนอกของสถานศึกษาใดไม่ได้ตามมาตรฐานที่กำหนดให้สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา จัดทำข้อเสนอแนะการปรับปรุงแก้ไขต่อหน่วยงานต้นสังกัด เพื่อให้สถานศึกษานั้นปรับปรุงแก้ไขภายในระยะเวลาที่กำหนด หากมิได้ดำเนินการ ดังกล่าวให้สำนักงานรับรองมาตรฐาน และประเมินคุณภาพการศึกษารายงานต่อคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานหรือคณะกรรมการการอุดมศึกษาเพื่อดำเนินการให้มีการปรับปรุงแก้ไข
หมวด 7 ครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา
มาตรา 52 ให้กระทรวงส่งเสริมให้มีระบบ กระบวนการผลิต การพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษาให้มีคุณภาพและมาตรฐานที่เหมาะสมกับการเป็นวิชาชีพชั้นสูง โดยการกำกับ และประสานให้สถาบันที่ทำหน้าที่ผลิตและพัฒนาครู คณาจารย์ รวมทั้งบุคลากรทางการศึกษาให้มีความพร้อมและมีความเข้มแข็งในการเตรียมบุคลากรใหม่และการพัฒนาบุคลากรประจำการอย่างต่อเนื่องรัฐพึงจัดสรรงบประมาณและจัดตั้งกองทุนพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษาอย่างเพียงพอ
และตามยุทธศาสตร์การพัฒนาคุณภาพการศึกษา (พ.ศ.2551-2555) ของสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ในยุทธศาสตร์ที่ 2 เกี่ยวกับการพัฒนาคุณภาพคุณภาพครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ครู คณาจารย์และบุคลากรทางการศึกษาพอเพียงตามเกณฑ์ มีคุณภาพสามารถจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีคุณภาพมาตรฐาน รวมทั้งมีระบบการผลิตและพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา เพื่อส่งเสริมคนดี คนเก่งเข้ามาสู่วิชาชีพและมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น โดยมีการกำหนดกลยุทธ์/มาตรการสำคัญ ที่เกี่ยวกับการผลิตครู คือ พัฒนาสถาบันอุดมศึกษาให้เป็นสถาบันการศึกษาแห่งชาติหรือ Nation Institute of Education ที่มีความเป็นเลิศด้านการผลิตและพัฒนาครู เน้นภารกิจการผลิตครูใหม่ การพัฒนาครูประจำการและการวิจัยเพื่อความเป็นเลิศด้านวิชาชีพครู ทั้งนี้โรงเรียน สถาบันการฝึกหัดครู และสถาบันที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ต้องทำงานร่วมกันเพื่อที่จะประกันว่าการพัฒนาวิชาชีพครูนั้น ต้องเริ่มต้นจากการเป็นนักศึกษาครูจนเข้าสู่ความเป็นครูโดยตลอดชีวิต
กอปรกับที่ อาจารย์วิชัย ตันศิริ กล่าวว่า ควรมีการพัฒนาระบบประกันคุณภาพด้านหลักสูตรคณาจารย์ กระบวนการผลิตบัณฑิตครู และคุณภาพบัณฑิตครู ให้สถาบันผลิตครูทุกแห่งใช้หลักประกันคุณภาพเดียวกัน และมีการปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตรครูให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยและ สังคมโลก โดยมีกระบวนการปลูกฝังลักษณะนิสัย บุคลิกภาพ อย่างเหมาะสม มีกระบวนการกล่อมเกลาอุปนิสัยและค่านิยมอย่างครบวงจรของการดำเนินชีวิต ตั้งแต่การกินอยู่หลับนอน พักผ่อนหย่อนใจ เล่นกีฬา การศึกษาเล่าเรียน ตลอดจนความสัมพันธ์อันดีระหว่างเพื่อน อาจารย์ ด้วยกระบวนการ residential college คือ อาจารย์และนักศึกษาจะอยู่ด้วยกัน มีการรับประทานอาหาร การศึกษาค้นคว้า การอภิปรายแลกเปลี่ยนพูดคุยและการถกปัญหาในกลุ่มเล็ก (tutorial group) กันเป็นประจำ
ดังนั้น การจะพัฒนาวิชาชีพครูให้ประสบความสำเร็จได้นั้น ต้องมีการวิจัยเพื่อกำหนดมาตรฐานและตัวบ่งชี้เฉพาะของสถาบันผลิตครู ในทุกองค์ประกอบ และสามารถนำไปใช้ได้จริงอย่างเร่งด่วน
สวัสดีค่ะ ขอชื่นชมที่สามารถเชื่อมโยงเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างสอดคล้อง แต่ในแนวคิดของพระพุทธองค์ กล่าวว่า อย่าเชื่อในคำกล่าวอ้าง ต้องเชื่อเมื่อลองปฏิบัติ ความน่าเชื่อถือของบทความที่สะท้อนคิดนั้นจะมีคุณภาพน่าเชื่อถือได้เพียงใด ควรต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง
ความครบถ้วนของข้อมูลที่นำมาเปรียบเทียบเป็นหัวใจสำคัญประการหนึ่งในการวิเคราะห์ คณะศึกษาศาสตร์เป็นคณะที่สังกัดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เช่นเดียวกับคณะเทคนิคการแพทย์ ย่อมใช้เกณฑ์เดียวกันทั้งสิ้น สำหรับทักษะ คุณลักษณะวิชาชีพครู เป็นสิ่งที่พวกเราทุคนต้องตระหนักและปฏิบัติ มิใช่ใช้คุณนะทำ(คุณธรรม)อย่างเดียว ข้อมูลที่นำเสนอสะท้อนว่า 1.ท่านยังหาข้อมูลยังไม่ครบถ้วนเพียงพอ 2.การกล่าวอ้างในพื้นที่สาธารณะต้องระวังภาษาและการกล่าวทางลบ ที่อาจส่งผลกระทบต่อสถาบัน สำหรับปัจจัยข้อต่อไป ให้ลองค้นหาแลกเปลี่ยนในพื้นที่นี้ดูนะคะ เพราะมีผู้ทรงวุฒิมากมายในเวที่นี้ อย่างไรก็ตาม การที่ได้นำเสนอนั้นได้สะท้อนถึงความตั้งใจ ความสนใจอย่างมากของผู้เขียนในการไฝ่เรียนใฝ่รู้ ของชมเชยให้กำลังใจนะคะ อ.นิ่มอนงค์
กราบเรียนท่านอาจารย์
ขอกราบขอบพระคุณที่อาจารย์ได้สะท้อนมุมมองของอาจารย์ ซึ่งช่วยให้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการเก็บรวบรวมข้อมูล กอปรกับการที่ข้าพเจ้าได้ใช้ข้อมูลตามประสบการณ์การเป็นนักศึกษาตั้งแต่ระดับปริญญาตรีจนถึงปริญญาเอก คณะศึกษาศาสตร์ มช. มาซึ่งก็ยึดติดในภาพของนักศึกษาที่ต้องการได้รับความอนุเคราะห์ช่วยเหลือจากคณะ โดยไม่ได้นึกว่าตนเองต้องทำอะไรให้คณะบ้าง แต่อย่างไรก็ตามการสะท้อนคิดของผมก็มุ่งหวังว่าจะเกิดสิ่งที่เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น เพื่อเป็นประโยชน์ต่อสถาบัน ประเด็นใดที่เป็นด้านลบบ้างก็ขอให้ผู้อ่านทุกท่านเข้าใจตรงกันว่าเป็นมุมมองของนักศึกษา โดยผมเชื่อว่าคณะศึกษาศาสตร์เป็นคณะที่ผมรักและศรัทธาเสมอมา และต้องการให้คณะของเรามีความเจริญก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น ด้วยความเคารพอย่างสูง......ปริวัตร เขื่อนแก้ว
สวัสดีค่ะ ลูกศิษย์ที่รัก หาวารสารตีพิมพ์บทความบ้างหรือยัง ลอง search หารแนวร่วมดูนะว่าใครคิดเห็นคล้าย แตกต่างจากเราบ้าง อาจารย์ว่าจะทำให้ใจเรากว้าง ขยายวงรับความคิดเหนมากขึ้น ให้กำลังใจนะ อย่าใจฝอ ถ้าใคร ment อะไรบ้าง เป็นเรื่องปกติ ถ้าไม่รัก ไม่มีใครมา ment หรอกนะคะ รักและเป็นห่วงเสมอ อ.นิ่ม