วันนี้อากาศอบอ้าว แม้ยังไม่มีเมฆฝนให้เห็น แต่ท่าจะมีฝนในช่วงบ่าย กำลังพูดคุยกันกับผู้ช่วย ว่าโทรศัพท์ของคลินิก เปรียบเสมือนเรดาร์ ตัวหนึ่ง เพราะถ้าอากาศ ชื้น ๆ อบอ้าว เสียงจากปลายสายจะแปลงสภาพคล้ายเสียงที่มาจากแดนสนธยา การพูดคุยติดต่อกันสองปลายสายจึงยาก และ ลำบากขึ้นเล็กน้อย เมื่อบวกจำนวนครั้งของการรับสายเข้าไป ผู้ช่วยเริ่มรู้สึกว่าไม่เล็กน้อยแล้วสิคะ
สายสุดท้าย เข้ามาประมาณ..คือเวลาอีกสิบนาที ก่อนปิดทำการ
ได้ยินผู้ช่วยถามว่า
"อะไรนะคะ อะไรนะคะ อะไรนะคะ" สามครั้งซ้อน
จึงอดไม่ได้บอกให้ผู้ช่วยให้เบอร์มือถือเราไป
หนึ่งวินาทีถัดมา
"หมอคะ รอหนูหน่อย"
"....."
"....."
เสียงขื่น ๆอย่างนี้ทำให้คิดว่า ..ต้องรอ จึงปลอบไปว่า
"มาเถิด รอค่ะ"
เมื่อเธอมาถึง น้ำตารื้น ๆ ยังเกาะอยู่ที่ขอบตา หน้าตาท่าทางเหมือนคนอดนอน
เธอกำอะไรมาในมือด้วยบางอย่าง
พูดคุยกันไปหลายประโยค เกินเวลาปิดทำการไปพอสมควร
ในที่สุดเธอเดินออกไปจากคลินิกเราด้วยรอยยิ้มได้
ใจบังเกิดความสุขขึ้นมาค่ะ
สิ่งที่อยากนำมาร่วมแบ่งปันคือ
เธอกำยาแก้ปวดหัวชนิดหนึ่งไว้ในมือ บอกว่าตั้งใจจะกรอกเข้าปาก ลูกน้อยก็ร้องงอแงขึ้นมาเสียก่อน จึงเกิดลังเล แต่ปัญหา..สิ่งที่เธอคิดว่าเป็นปัญหาน่ะ ยังคาใจ...ทำอะไรไม่ถูก จึงหันไปหาเรื่องกับคนที่ก่อปัญหา แล้วอะไรไม่รู้ที่ทำให้เธอโทรมาที่นี่ คงเพราะเคยพาลูกมาตรวจ (ไม่แน่ใจ)
เมื่อเธอพูดคุย ส่วนใหญ่กรณีแบบนี้ ดิฉันมักเป็นฝ่ายฟังเพื่อจับประเด็น สรุปแล้ว ปัญหาคงมี-ระดับหนึ่ง
แต่เมื่อมีผู้รับฟัง ชี้จุดบางจุดให้ฉุกคิดเช่น
"แล้วใครขับรถพาหนูมาคะ เห็นมาได้เร็ว"
"แฟนหนูค่ะ"
"แล้วนี่ใครดูลูก หนูว่าอยู่กันสามคน พ่อ-แม่-ลูก???"
"แฟนค่ะ อุ้มลูกรออยู่ข้างนอกค่ะ"
ดิฉันจึงหยิบยกความจริง ณ ตอนนี้มาพูดให้เธอฟัง
"แล้วหนูจะกินยานั้นไปทำไม เขาก็รัก เป็นห่วง ทั้งหนูและลูก มิใช่หรือ"
"วันนี้ ตอนนี้ เราอาจยังโกรธเขาอยู่ สักพักหนูอาจคิดเปลี่ยนไปแล้ว อย่าลืมนะ อย่าเพิ่งกลับบ้าน แวะเดินตลาดนัดก็ได้"
"ใคร ๆ ก็เคยพบ เคยเจอเรื่องแบบนี้ ไม่มีใครไม่เคยทุกข์ ไม่เคยโกรธ โกรธได้ มองดูมัน เก็บไว้ ทบทวนเมื่อเวลาผ่านไป เมื่อหายโกรธ"
"งอนได้ แต่ต้องรู้จักหยุดงอน"
"มองให้เห็นถึงความสุขยามที่เรามีชีวิตอยู่"
"ความสุขจากครอบครัว จากคนที่หนูโกรธตอนนี้"
..สุดท้ายอยากถามว่า ใครบ้างไม่เคยทำผิด แม้แต่ตัวเราก็ยังเคยทำผิด
เมื่อเธอรับว่า เคย เคยทำผิด
จึงจบการพูดคุยกับเธอว่า
"ให้อภัยเขาเถิดนะ เหมือนที่เราเคยให้อภัยตัวเราเอง"
เธอยิ้มได้ สามีเธอเดินเข้ามารับ พร้อมส่งลูก-วัยขวบเศษให้อุ้ม
ก่อนไปเจ้าหนูน้อยยังโบกมือ บ๊ายบาย และส่งจูบให้ดัง..จ๊วบ จ๊วบ
เป็นความสุขเล็กน้อย..สิบนาทีก่อนปิดคลินิก..ค่ะ
*มาเพิ่มเติมบันทึกนิดค่ะ
บันทึกนี้ อ่านเอาความรู้มาจากหนังสือ ได้ความรู้ที่เกี่ยวกับ
พลังแห่งการให้อภัย
ทั้งให้อภัยต่อตัวเราและผู้อื่น
พลังแห่งการแผ่เมตตา
พลังความรักที่เผื่อแผ่ออกไปไร้ข้อจำกัด
เมื่อได้ใช้ในเวลาที่พอดี พอเหมาะ
เพื่อนร่วมโลกหนึ่งคนมีความเข้าใจ(รู้)
ยิ้มแย้มกลับออกไปจากคลินิกเราได้
เราเกิดความปิติ ยินดีไปกับเขา
บางคนไม่เปิดใจรับ
อย่างไรก็ไม่เกิดการเรียนรู้
ได้ความคิดประการหนึ่งว่า
ความเหลื่อมล้ำจากความรู้
เกิดจากการเปิดใจ หรือ ไม่เปิดใจ
ยอมรับฟัง รับไปคิด รับไปไตร่ตรอง
จึงจะเกิดกระบวนการเรียนรู้ค่ะ
สามีภรรยาเหมือนลิ้นกับฟัน การทะเลาะกันเนื่องจากเหตุผลใดก้แล้วแต่ คงจะมีบ้าง...ทั้งคู่คงต้องอดทน ให้อภัยกัน ก็น่าจะไม่มีปัญหา การคิดสั้นทำร้ายตัวเองไม่ใช่วิธีการที่ฉลาดเลยนะคะ
สวัสดีค่ะ พี่ศศิ เป็นข้อคิดเห็นที่เป็นจริง ตลอดกาล ทุกยุคสมัย
แต่ก็มีอยู่เรื่อย ๆ ค่ะ
คนที่ผ่านน้ำร้อน สะท้านผ่านหนาวมาก่อน คงพอคิดได้
เด็ก ๆ หรือ สาว ๆ สมัยนี้แต่งงาน(อยู่กินกัน)เร็วแทบไม่น่าเชื่อ
บางครั้ง แสนเสียดาย
"มาเถิด รอค่ะ" จึงเป็นประโยคที่น้องใช้บ่อยสำหรับคนไข้ที่เราสังหรณ์ ว่าจะต้องการ..เวลา หรือการรับฟัง จากเราค่ะ
อีกท่านหนึ่งแล้วที่สามารถแผ่กระแสความเมตตาผ่านบันทึกออกมาได้! ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆและการเป็นตัวอย่างที่ดีคะพี่หมอเล็ก : )
มีพี่ที่มัทเคารพท่านหนึ่ง (พี่ณัชร) ไปฝึกวิปัสสนากับอ.พิชัยและภรรยา
อ.พิชัยและภรรยาสอนว่า เวลาจะแผ่แมตตาให้เจ้ากรรมนายเวร จะขอขมาอะไรหน่ะไม่ต้องนึกไปไหนไกล คนข้างหมอนนี่แหละ! (ฮาแต่จริง!)
อ่านแล้วประทับใจมากค่ะ 1 ชีวิตที่คุณหมอเล็กช่วยเป็นที่พึ่งรักษาใจให้ในครั้งนี้นั้น มีคุณค่าเท่ากับ 3 ชีวิตเชียวนะคะ อ่านเรื่องคนคิดสั้นหลายๆคนแล้วก็มักจะคิดว่า ถ้าเขามี"ใครสักคน" ให้เขาหันไปหาได้ในวินาทีวิกฤตแบบนั้น เรื่องเศร้าก็คงไม่เกิด เรื่องของคุณหมอเล็กเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนมากๆเลยค่ะ ขออนุโมทนากุศลกรรมครั้งนี้ด้วยจริงๆ
อนุโมทนา สาูธุค่ะคุณหมอ
บางทีคนเราก็มีแต่ความโกรธความน้อยใจมาบังตานะคะ สติสตังค์หายหมด เพียงแค่ได้มีคนเตือนสักนิดก็จะหลุดพ้นกับดักตัวเองไปได้แล้ว..
ขอบคุณคุณหมอที่นำมาแบ่งปันกันนะคะ
อ.น้องมัทนา คุณพี่โอ๋ และอ.กมลวัลย์
คิดว่าเป็นเพราะ นึกถึงคำในหนังสือได้ด้วยค่ะ..พลังแห่งการให้อภัย ทั้งให้อภัยต่อตัวเราและผู้อื่น พลังแห่งการแผ่เมตตา พลังความรักที่เผื่อแผ่ออกไปไร้ข้อจำกัด..อ่านมาจากเล่มโน้นบ้าง เล่มนี้บ้าง
ได้ใช้ทันการ เห็นผลจึงบังเกิดความสุขใจ ค่ะ
บันทึกนี้ อ่านเอาความรู้มาจากหนังสือ ได้ความรู้ที่เกี่ยวกับ พลังแห่งการให้อภัย ทั้งให้อภัยต่อตัวเราและผู้อื่น พลังแห่งการแผ่เมตตา พลังความรักที่เผื่อแผ่ออกไปไร้ข้อจำกัด
เมื่อได้ใช้ในเวลาที่พอดี พอเหมาะ เพื่อนร่วมโลกหนึ่งคนมีความเข้าใจ(รู้) ยิ้มแย้มกลับออกไปจากคลินิกเราได้ เราเกิดความปิติ ยินดีไปกับเขา บางคนไม่เปิดใจรับ อย่างไรก็ไม่เกิดการเรียนรู้
ได้ความคิดประการหนึ่งว่า ความเหลื่อมล้ำจากความรู้ เกิดจากการเปิดใจ หรือ ไม่เปิดใจ ยอมรับฟัง รับไปคิด รับไปไตร่ตรอง จึงจะเกิดกระบวนการเรียนรู้ค่ะ
เป็นความรู้สึกที่ดีดี..ที่มีต่อคุณหมอ...
"หมอคะ รอหนูหน่อย"
"....."
"....."
เสียงขื่น ๆอย่างนี้ทำให้คิดว่า ..ต้องรอ จึงปลอบไปว่า
"มาเถิด รอค่ะ"
ถ้ามีคุณหมออย่างนี้...ทุกคน..เราคงอุ่นใจ..
คุณหมอได้กุศลจากการกระทำในครั้งนี้
เป็นกุศลที่ได้ช่วยชีวิตคนที่กำลังจะพยายามฆ่าตัวตาย
ขออนุโมทนาสาธุ..ขอให้คุณหมอและครอบครัวประสบแต่สิ่งที่ดีงามตลอดชั่วชีวิตนะคะ
add คำสอนของครูที่ดี ๆ การกระทำให้ลูกศิษย์เห็น เป็นต้นแบบ หล่อหลอมเรามาด้วยค่ะ พี่โชคดีที่มีอาจารย์ดี ๆ มากมายเลยค่ะ
ลองอ่านในวันดีวันละคนของอ.วิจารณ์ พานิช นะคะ..เช่น อาจารย์ธาดา ยิบอินซอย พี่ตั้งใจจะเขียนประสบการณ์ที่ได้รับคำสอนโดยตรงจากอาจารย์ให้ฟังสักบันทึกค่ะ
จรรยาบรรณในความเป็นแพทย์
ความรู้ร้อนผ่านหนาวมาก่อนในความป็นมนุษย์ในวัยขนาดพี่
และจากความรู้ที่เราได้จากการอ่านด้วยค่ะ
ที่ทำให้เรา..รู้สึกว่าต้องรอ
วันนั้นจำได้เลา ๆ ว่าอ่านหนังสือพระอาจารย์ไพศาล วิสาโล ไม่ก็ พระติช นัท ฮันห์ คนใดคนหนึ่งอยู่ค่ะ
ขอบคุณสำหรับคำอนุโมทนาสาธุ
น้องแอ๊ด สดชื่นแล้ว และแข็งแรงมาก ๆ ขึ้นด้วยใช่ไหมคะ
บันทึกไว้เมื่อสี่ปีก่อน
แปลกดีค่ะ มีกิจกรรมอะไรจะได้ขุดกรุมาร่วมกิจกรรมกับเขาได้ทุกที