วิเคราะห์การประกันคุณภาพการศึกษา
กลุ่ม 3 ศูนย์พยัค จังหวัดมหาสารคาม
ความหมายและความสำคัญของการประกันคุณภาพการศึกษา
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 81 ได้กำหนดให้รัฐต้องจัดการศึกษาอบรมและสนับสนุนให้เอกชนจัดการศึกษาอบรมให้เกิด “ความรู้คู่คุณธรรม” และจัดให้มีกฎหมายเกี่ยวกับการศึกษาแห่งชาติ ซึ่งนำไปสู่พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ก่อให้เกิดการปฏิรูปการศึกษาครั้งใหญ่ที่มุ่งเน้นคุณภาพการศึกษา คือ ได้กำหนดให้มีระบบการประกันคุณภาพการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาทุกระดับ (พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542: มาตรา 47)
ประกันคุณภาพการศึกษา หมายถึง การบริหารจัดการและการดำเนินกิจกรรมตามภารกิจปกติของสถานศึกษา เพื่อพัฒนาคุณภาพของผู้เรียนอย่างต่อเนื่อง สร้างความมั่นใจให้ผู้รับบริการทางการศึกษา ทั้งผู้รับบริการโดยตรง ได้แก่ ผู้เรียน ผู้ปกครอง และผู้รับบริการทางอ้อม ได้แก่ สถานประกอบการ ประชาชน และสังคมโดยรวม
ความสำคัญของการประกันคุณภาพการศึกษา
มีความสำคัญ 3 ประการ คือ
1.ทำให้ประชาชนได้รับข้อมูลคุณภาพการศึกษาที่เชื่อถือได้ เกิดความเชื่อมั่นและสามารถตัดสินใจเลือกใช้บริการที่มีคุณภาพมาตรฐาน
2.ป้องกันการจัดการศึกษาที่ไม่มีคุณภาพ ซึ่งจะเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคและเกิดความเสมอภาคในโอกาสที่จะได้รับการบริการการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึง
3.ทำให้ผู้รับผิดชอบในการจัดการศึกษามุ่งบริหารจัดการศึกษาสู่คุณภาพและมาตรฐานอย่างจริงจัง ซึ่งมีผลให้การศึกษามีพลังที่จะพัฒนาประชากรให้มีคุณภาพอย่างเป็นรูปธรรมและต่อเนื่อง
การประกันคุณภาพการศึกษาจึงเป็นการบริหารจัดการและการดำเนินกิจกรรมตามภารกิจปกติของสถานศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพของผู้เรียนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นการสร้างความมั่นใจให้ผู้รับบริการการศึกษา ทั้งยังเป็นการป้องกันการจัดการศึกษาที่ด้อยคุณภาพ
การประกันคุณภาพการศึกษาเกี่ยวข้องกับ
การดำเนินการที่สำคัญ 2 เรื่องดังนี้
1.การกำหนดมาตรฐานคุณภาพการศึกษา
2.กระบวนการตรวจสอบและประเมินการดำเนินการจัดการศึกษา
ระบบและกระบวนการประกันคุณภาพการศึกษา
ระบบการประกันคุณภาพการศึกษาไทยตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 47 ประกอบด้วย 2 ระบบคือ
1.ระบบการประกันคุณภาพภายในและ
2. ระบบการประกันคุณภาพภายนอก
การเปรียบเทียบเกณฑ์การประเมินคุณภาพการศึกษา
รอบที่ 1 การประเมินอิงสถานศึกษา
รอบที่ 2 การประเมินอิงเกณฑ์ และการประเมินอิงสถานศึกษา
รอบที่ 3 จะเน้นมาตรฐานที่ 5 ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ตามหลักสูตร (ประเมินทุกกล่มสาระการเรียนรู้) น้ำหนักในการประเมิน 20 %
การเปรียบเทียบระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาเพื่อรองรับการประเมินจาก สมศ.
รอบที่ 1 การจัดระบบบริหารและสารสนเทศ การพัฒนามาตรฐานการศึกษา การจัดทำแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา การดำเนินงานตามแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา การตรวจสอบและทบทวนคุณภาพการศึกษา การประเมินคุณภาพการศึกษา การรายงานคุณภาพการศึกษาประจำปี การผดุงระบบการประกันคุณภาพการศึกษา
รอบที่ 2 การจัดระบบบริหารและสารสนเทศ การพัฒนามาตรฐานการศึกษา การจัดทำแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา การดำเนินงานตามแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา การตรวจสอบและทบทวนคุณภาพการศึกษา การประเมินคุณภาพการศึกษา การรายงานคุณภาพการศึกษาประจำปี การผดุงระบบการประกันคุณภาพการศึกษา
รอบที่ 3 กำหนดมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา จัดทำแผนพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษาที่มุ่งคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา จัดระบบบริหารและสารสนเทศ ดำเนินงานตามแผนพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษา จัดให้มีการติดตามตรวจสอบคุณภาพการศึกษา จัดให้มีการประเมินคุณภาพภายในตามมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา การจัดทำรายงานประจำปีที่เป็นรายงานประเมินคุณภาพภายในจัดให้มีการพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่อง
การเปรียบเทียบมาตรฐานการศึกษาและตัวชี้วัด
รอบที่ 1 มาตรฐานแบ่งออกเป็น 3 ด้าน ดังนี้ มาตรฐานด้านผู้เรียนมี 7 มาตรฐานมี 35ตัวชี้วัด มาตรฐานด้านครู มี 2 มาตรฐาน 18 ตัวชี้วัด มาตรฐานด้านผู้บริหารมี 5 มาตรฐาน 22 ตัวชี้วัด
รอบที่ 2 มีมาตรฐานทั้งหมด 14 มาตรฐานแบ่งออกเป็น 3 ด้าน ดังนี้ มาตรฐานด้านผู้เรียนมี 7 มาตรฐาน มี 32 ตัวชี้วัด มาตรฐานด้านครู มี 2 มาตรฐาน 13 ตัวชี้วัด มาตรฐานด้านผู้บริหารมี 5 มาตรฐาน มี 15 ตัวชี้วัด
รอบที่ 3 มีทั้งหมด 7 มาตรฐาน (ร่าง) มาตรฐานด้านผู้เรียน มี 5 มาตรฐานมี 25 ตัวชี้วัด มาตรฐานด้านการบริหารจัดการ มี 1 มาตรฐาน 4 ตัวชี้วัด มาตรฐานด้านผู้บริหาร 1 มาตรฐาน 2 ตัวชี้วัด
การเปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียของการประเมินคุณภาพการศึกษา โดย สมศ.
ข้อดี
1. สามารถตรวจสอบคุณภาพ และผลการปฏิบัติงานของโรงเรียน ตามมาตรฐานคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐาน
2. สามารถนำผลการประเมินมาจัดทำข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับคุณภาพการจัดการศึกษาของโรงเรียน และนำมาใช้ในการตัดสินใจวางแผนพัฒนา และปรับปรุงคุณภาพการศึกษาของโรงเรียน
3. รายงานผลการพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาของโรงเรียนต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสาธารณชน
4. เตรียมความพร้อมในการรับการประเมินจากองค์กรภายนอก เพื่อนำไปสู่การรับรองคุณภาพการศึกษา
5.ทำให้ประชาชนได้รับข้อมูลคุณภาพการศึกษาที่เชื่อถือได้ เกิดความเชื่อมั่นและสามารถตัดสินใจเลือกใช้บริการที่มีคุณภาพมาตรฐาน
6.ป้องกันการจัดการศึกษาที่ไม่มีคุณภาพ ซึ่งจะเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคและเกิดความเสมอภาคในโอกาสที่จะได้รับการบริการการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึง
7.ทำให้ผู้รับผิดชอบในการจัดการศึกษามุ่งบริหารจัดการศึกษาสู่คุณภาพและมาตรฐานอย่างจริงจัง ซึ่งมีผลให้การศึกษามีพลังที่จะพัฒนาประชากรให้มีคุณภาพอย่างเป็นรูปธรรมและต่อเนื่อง
ข้อเสีย
1. คณะกรรมการที่มาประเมินไม่ใช่ชุดเดียวกันอาจทำให้การประเมินไม่ได้มาตรฐานเดียวกัน
2. คณะกรรมการที่มาประเมินในแต่ละรอบไม่ใช่คณะกรรมการชุดเดิมอาจทำให้ผลการประเมินไม่ได้มาตรฐานเดียวกันและไม่ทราบข้อมูลพื้นฐานเดิมของโรงเรียน
3. มาตรฐานและตัวชี้วัดในการประเมินแต่ละรอบไม่เหมือนกันและตัวชี้วัดแตกต่างกันทำให้โรงเรียนมีความสับสนใจการเตรียมข้อมูลรองรับการประเมิน
4. วิธีการตรวจสอบข้อมูลของคณะกรรมการแต่ละคณะมีมุมมองที่แตกต่างกันจึงทำให้ผลการประเมินไม่ได้มาตรฐานตามเกณฑ์ที่กำหนด
5. ไม่เป็นกันเอง ทำให้ผู้รับการตรวจประเมินไม่สบายใจ และรู้สึกว่ากำลังถูกจับผิด
6.ขาดการสนับสนุนของฝ่ายบริหารหน่วยงานต้นสังกัดก่อนที่จะรับการประเมิน
และระหว่างที่ทำการตรวจประเมิน
7. ไม่มีการแจ้งกำหนดการตรวจประเมินไว้ล่วงหน้าอย่างน้อย 2 สัปดาห์ และก่อนเข้าไปตรวจประเมิน ต้องแจ้งซ้ำอีกครั้งหนึ่ง