Burning Buddha


Peace Warrior in Flame,man in flame

 

พระพุทธศาสนาในเวียดนาม ฤาประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย

ชาวพุทธสละชีพเพื่อปกป้องพระพุทธศาสนา

ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่าเมืองเว้ เป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชประมุขสงฆ์ในพุทธศาสนา เมืองเว้นี้อยู่ห่างจากไซ่ง่อนไปทางเหนือ ๔๐๐ ไมล์ 

ในวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๐๖ เป็นเวลาที่ โง เดียม ถึก สังฆราชคริสเตียนโรมันคาทอลิคเวียตนาม ซึ่งเดินทางไปประชุมสังคายนาวาติกัน ๒ (VATICAN COUNCIL ๒) ณ กรุงวาติกัน ประเทศ อิตาลี ได้แถลงต่อที่ประชุมวาติกันว่า "ประเทศเวียตนามเป็นประชากรของพระเจ้า ประชาชนเวียตนามล้วนนับถือในพระเจ้าและซื่อสัตย์ต่อสันตะปาปา" พร้อมกันนั้น ได้โทรเลข ด่วน สั่งให้บาทหลวงคริสเตียนโรมันคาทอลิค ใต้บังคับบัญชาของตน ในเมืองเว้

สั่งให้ประชาชนทุกบ้านชักธงรูปไม้กางเขนอันเป็นธงทางศาสนาของคริสเตียนโรมันคาทอลิคขึ้น เพื่อเป็นข่าวทางสื่อมวลชนยืนยันให้สันตะปาปาเชื่อถือ และมอบตำแหน่ง คาร์ดินัล ให้กับโง เดียม ถึก (การชักธงทางศาสนาดังกล่าว เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายว่าด้วยการชักธงของเวียตนามใต้ แต่กฎหมายที่ออกมานี้ ออกมาเพื่อใช้บังคับในพุทธศาสนา เท่านั้น)

ในวันที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๐๖ (สองวันต่อมา) ซึ่งเป็นวันวิสาขบูชา พุทธศาสนิกชนในเมืองเว้ จึงได้ชักธงทางพุทธศาสนาขึ้นบ้าง แต่เจ้าหน้าที่ของรัฐ ได้ดำเนินการนำธง ลงจากเสา แล้วนำไปเผาทิ้ง พร้อมทั้งประกาศห้ามประชาชนในเมืองเว้ ชักธงทางพุทธศาสนา และห้ามชุมนุมประกอบพิธีวิสาขบูชาเด็ดขาด (เหมือนในเมืองไทยปี พ.ศ.๒๕๔๒ มีการอ้างเรื่องธงประจำวัด เพื่อใช้สร้างกระแสทำลายพุทธแบบเดียวกัน และมีการออกหนังสือห้ามพระภิกษุสงฆ์ทั่วประเทศ มาปฏิบัติศาสนกิจกับวัด ?) และห้ามชุมนุมประกอบ พิธี วิสาขบูชา เด็ดขาดหากผู้ใดฝ่าฝืนจะต้องถูกลงโทษโดยเด็ดขาด ฐานกบฏ 

พุทธศาสนิกชนที่ได้เดินทาง เพื่อจะมาร่วมศาสนพิธีวันวิสาขบูชา ในเมืองเว้ประมาณ ๑๐,๐๐๐ คน แทนที่จะได้ปฏิบัติกุศลกิจ กลับถูกห้ามปรามเช่นนั้น จึงได้เดินขบวน ประท้วง รัฐบาล ในจำนวนนั้นมีพระสงฆ์ สามเณร และนางชี ถึง ๒,๐๐๐ รูป เดินเป็นแถวหน้า 

เมื่อบาทหลวง โรมันคาทอลิครู้เรื่อง จึงโทรเลขด่วนไปยัง โง เดียม ถึก ที่วาติกัน กรุงโรม ว่าควรดำเนินการอย่างไรต่อไป โง เดียม ถึก จึงโทรเลขสั่งให้ปราบปรามแบบ "มิชชั่น" กับ พุทธศาสนิกชนในฐานะศัตรูพระเจ้า โดยปฏิบัติตาม VATICAN COUNCIL ๒ ข้อที่ ๗:๗

นั่นหมายถึงให้ปราบปรามอย่างรุนแรงเด็ดขาด ไม่ต้องคำนึงถึงรูปแบบและวิธีการ (บาทหลวงคริสเตียนเวียตนาม จะทำหน้าที่เป็นหัวหน้าตำรวจลับในท้องถิ่น และมีอำนาจ สั่งการ เจ้าหน้าที่ของรัฐได้อีกด้วย) เจ้าหน้าที่ตำรวจคริสเตียน ได้ขับรถบรรทุกชนฝ่าเข้าไปกลางขบวน อันมีพระภิกษุสงฆ์และนางชี ซึ่งเดินเป็นแถวหน้าถูกรถทับตาย ในทันที ๗๐ รูป พุทธศาสนิกชนตาย ๓๐ คน และบาดเจ็บจำนวนพันกว่าคน จากการถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตีด้วยกระบอง เพื่อสลายการเดินขบวน ที่เหลือถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม คุมขัง ไปทั้งหมด 

บาทหลวงคริสเตียนผู้ทำหน้าที่สั่งการตำรวจนั้น ได้แถลงแทนรัฐบาลว่า "ผู้เดินขบวนเป็นคอมมิวนิสต์ พระสงฆ์ และนางชีเป็น แนวร่วมคอมมิวนิสต์ที่ต้องการทำลาย ศาสนา และเป็นผู้ขว้างระเบิดทำลายโบสถ์คริสต์??

" ได้มีการจับกุมพุทธศาสนิกชนผู้เกี่ยวข้องในการเดินขบวนนี้ ซึ่งมีทั้งพระภิกษุ สามเณร นางชี และพุทธศาสนิกชนอีกหลายพันคน ข่าวการปราบปรามชาวพุทธนี้ ได้ถูกสั่งห้าม มิให้มีการเสนอข่าวต่อสื่อมวลชน และ CIA ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่หน่วยรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ ตรวจสอบข่าวสารทางการทูตที่จะส่งออกไปนอกประเทศเวียตนามโดยเข้มงวด  เพราะไม่ต้องการให้กระเทือนสถานภาพของรัฐบาล โง ดินห์ เดียม ซึ่งสหรัฐอเมริกามีผลประโยชน์ร่วมอยู่ด้วย

จากสาเหตุการปราบปรามดังกล่าวแม้ทางการจะปิดข่าวโดยวิธีการใดๆ ก็ตาม ข่าวนี้ก็ได้กระจายออกไปสู่เมืองต่างๆ ในเดือนมิถุนายน และเดือนกรกฎาคม ปีเดียวกันนั้น ได้มี การเดินขบวนประท้วงรัฐบาลและโง เดียน ถึก เกิดขึ้นไปทั่วประเทศอย่างต่อเนื่องพอสรุปเหตุการณ์สำคัญได้ ดังนี้

วันที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๐๖ ได้มีการเดินขบวนหน้ารัฐสภา โดยมีป้ายแสดงข้อความว่าเรียกร้องรัฐบาลทำข้อตกลง หยุดทำร้ายเข่นฆ่าพุทธบริษัทในทันที หากไม่ทำสัญญา ชาวพุทธจะเผาตัวเอง เป็นการป้องกันพระพุทธศาสนา

วันที่ ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๐๖ รัฐบาลไม่ยอมสัญญาใดๆ วัดพุทธแถบนอกเมืองเว้ถูกตำรวจเข้าเผาทำลาย ชาวพุทธเริ่มอดอาหารประท้วง มีพระภิกษุ ๒ รูป เสนอความจำนงค์ จะปลงชีพตนเองปกป้องพระพุทธศาสนา

 

วันที่ ๑๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๐๖

 พระภิกษุในพุทธศาสนานาม ทิจ กวาง ดึ๊ก อายุ ๗๓ ปี ทนเห็นความทารุณโหดร้าย ในการใช้อำนาจรัฐปราบปรามเข่นฆ่าชาวพุทธต่อไปไม่ไหว จึงได้ประกาศอุทิศชีวิต เพื่อป้องกันพระพุทธศาสนาโดยได้เขียนข้อเรียกร้องต่อ รัฐบาล โง ดินห์ เดียม ว่า

๑. เพื่อป้องกันพุทธศาสนา อันเป็นศาสนาดั้งเดิมของประเทศชาติ
๒. ขอเตือนการกระทำที่บีบคั้น และฆ่าพระภิกษุ นางชี และคนทั่วไปในประเทศ
๓. ขอร้องให้ท่านมอบอิสรภาพ ให้แก่ผู้นำชาวพุทธทั้งหลาย ในคณะกรรมการป้องกัน พระพุทธศาสนา พระภิกษุ นางชี และพุทธ ศาสนิกชน ที่ถูกจับขังอยู่ ในขณะนี้
๔. ให้ยุติสถานการณ์เลวร้าย และเลิกจับพระภิกษุ นางชี และพุทธศาสนิกชนอีก
๕. ให้เลิกองค์การคณะสงฆ์รวมทั้งบุคคลที่รัฐบาลตั้งขึ้นมาหลอกลวง ปิดบังความจริงเป็นเหตุให้ประชาชนโง่เขลา
๖ คณะกรรมการสหพันธ์เพื่อพระพุทธศาสนาที่บริสุทธิ์ ที่รัฐบาล โง ดินห์ เดียม และพี่ชายตั้งขึ้นมาเพื่อหลอกลวงประชาชน

หลังจากได้เขียนข้อเรียกร้องเสร็จ ท่านก็ได้เข้าสู่ขบวนพุทธศาสนิกชนประมาณ ๑,๐๐๐ คนด้วยความสงบ เพื่อไปสวดมนต์อุทิศส่วนกุศลให้ พระภิกษุ สามเณร แม่ชี และ พุทธศาสนิกชนที่ถูกเจ้าหน้าที่ขับรถพุ่งชนเสียชีวิตในวันที่ ๘ พ.ค.๒๕๐๖ ที่ผ่านมา จากนั้นขบวนชาวพุทธศาสนิกชนก็เดินต่อไปอย่างสงบ โดยมีรถนำพระภิกษุ ทิจ กวาง ดึ๊ก ไปยังกลางเมืองหลวง พระภิกษุผู้เสียสละวัย ๗๓ ปีได้ก้าวลงจากรถไปนั่งขัดสมาธิกลางวงเวียนซึ่งมีพุทธบริษัทแวดล้อมเป็นวงใหญ่ พุทธบริษัท

ได้หยิบถังน้ำมันเบนซิน ๕ แกลลอนออกมาจากรถคันนั้น แล้วเอาน้ำมันราดบนพระภิกษุ ทิจ กวาง ดึ๊ก จนหมด ต่อจากนั้นก็เอาไฟจุดร่างนั้น ไฟลุกโชติช่วง ท่วมร่างของ พระภิกษุ ผู้เสียสละ ขณะที่ไฟลุกท่วมร่างอยู่ปรากฏว่าพระภิกษุวัย ๗๓ คงนั่งนิ่งด้วยสมาธิจิตอันแน่วแน่ไม่ไหวติง ไม่แสดงอาการทุกข์เวทนาในสังขารแต่อย่างใดเลย เปลวไฟอันร้อนระอุ ได้เผาจีวร และผิวหนังไหม้เกรียม อยู่ประมาณ ๑๐ นาที ร่างของท่านที่นั่งขัดสมาธิอยู่นั้น ก็หงายหลังอย่างเงียบสงบ

นี่คือพระภิกษุในพระพุทธศาสนาที่ได้เสียสละชีวิตเพื่อพิทักษ์พุทธศาสนา นับเป็นรูปแรกในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ การพลีชีพของท่านนั้น นอกจากจะเป็นการปฏิบัติตาม คำ ประกาศในนามพุทธศาสนิกชน ที่จะสละชีวิตรักษาพระพุทธศาสนา ให้พ้นจากการกลั่นแกล้งบีบคั้น และปราบปรามจากรัฐบาล โง ดินห์ เดียม แล้วยังแสดงถึงความเด็ดเดี่ยว มั่นคง ของพุทธศาสนิกชนด้วย สรีระของท่านถูกห่อหุ้มด้วยธงธรรมจักร พุทธบริษัทจำนวน ๑,๐๐๐ คน พากันอัญเชิญสรีระของท่านไปไว้ ณ เจดีย์วัดซาลอย ในเมืองเว้

หลังจากนั้นได้มีพุทธบริษัทสละชีพเพื่อพระพุทธศาสนาอีก คือ สามเณรวัย ๑๗ และพระภิกษุวัย ๗๑ ที่เมืองเว้ แม่ชีที่เมืองนาตรัง พระภิกษุ เล้ อายุ ๒๐ อุทิศร่างเผาตนในเจดีย์ ซึ่งมีพระภิกษุอีก ๒ รูปที่อดอาหารประท้วงมากว่า ๑๐ วัน ที่เมืองพานเทียต ห่างจากไซ่ง่อน ๑๐๐ ไมล์ แม่ชีเยียง เหียน อุทิศร่างเผาตน ประท้วงการกดขี่เข่นฆ่าชาวพุทธ ของ สังฆราชคริสเตียน

โรมันคาทอลิค โง เดียม ถึก และที่เจดีย์หูดาม ซึ่งเป็นเจดีย์ใหญ่ที่สุดใน เมืองเว้ พระภิกษุวัย ๗๑ ปี ได้พลีชีพอุทิศร่างพิทักษ์พระพุทธศาสนาอีกเช่นกัน

วันอาทิตย์ ที่หน้าโบสถ์คริสต์โรมันคาทอลิคในไซ่ง่อน พระภิกษุ ทิจ เทียน มี หรือ ฮวางเมียว ได้นั่งขัดสมาธิ รดร่างชุ่มโชกด้วยน้ำมันก๊าด แล้วจุดไฟเผาสรีระของท่านด้วยตนเอง เมื่อเวลา ๑๐.๐๐ น. ขณะที่ชาวเวียตนามเข้ารีตคริสต์อยู่ในโบสถ์นั้นประมาณ ๑,๐๐๐ คน ท่านได้เขียนจดหมายถึงสังฆราชคริสเตียนโรมันคาทอลิค โง เดียม ถึก และ ประธานาธิบดี โง ดินห์ เดียม เพื่อขอความเป็นธรรมให้เลิกฆ่าและปราบปรามพุทธศาสนิกชน

อุบาสิกา มาย เกี๊ยต อุทิศชีวิตพิทักษ์พุทธศาสนา ในไซ่ง่อน ด้วยการเอาขวานสับข้อมือตัวเอง แล้วเอามือที่ขาดนั้น ผูกกับหนังสือประท้วงการปราบปราม ของคริสเตียนโรมัน คาทอลิค ส่งให้รัฐบาล ?

จากการอุทิศชีวิตโดยการเผาตัวเองเพื่อปกป้องพระพุทธศาสนานี้เอง ทำให้มีพุทธบริษัทเผาตัวเองตามอีกมากมาย

รัฐบาล โง ดินห์ เดียม ได้ประกาศว่าจะทำตามข้อเรียกร้องในจดหมายของ พระ ทิจ กวาง ดึ๊ก ที่อุทิศชีวิตเผาตัวเองนั้น แต่นั่นเป็นเพียงคำพูดที่กลับกลอกหาความจริงใดๆ ไม่ได้ กลับกลายเป็นสัญญาณไฟเขียวให้ สังฆราชคริสเตียนโรมันคาทอลิค โง เดียม ถึก เร่งใช้อำนาจผ่านตำรวจในสังกัด ทำการฆ่าและทำร้ายพระภิกษุ และพุทธบริษัท รุนแรงหนักขึ้น ไปอีก และ กลับกลายเป็นว่า พุทธศาสนิกชนเหล่านี้คือผู้ที่ร่วมมือกับฝ่ายตรงข้ามต้องการล้มล้างรัฐบาล

ตำรวจคริสเตียนของ โง เดียม ถึก ได้ทำการเผาวัด ฆ่าพระภิกษุสงฆ์ระดับผู้ใหญ่ นางชี และพุทธศาสนิกชนหนักยิ่งกว่าเดิมขึ้นไปอีก 

- วัดกลายเป็นที่ต้องห้ามของการทำศาสนพิธี โดยมีลวดหนามและสิ่งกีดขวาง ไปปิดกั้นตามถนนในเมืองใหญ่ๆ เช่นเว้ และไซ่ง่อน 
- พระภิกษุหรือผู้ใส่ชุดขาวหรือชุดอุบาสกออุบาสิกา คือผู้สวมเครื่องแบบของผู้ทำลายความมั่นคงของรัฐบาล
- พระภิกษุสงฆ์โกนศีรษะโล้นห่มผ้ากาสาวพัสสตร์ คือเป้าหมายของตำรวจเวียตนามที่เข้ารีตเป็นคริสเตียนโรมันคาทอลิค

ภาพของพระสงฆ์ที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจไล่ยิง จนกระทั่งมรณภาพบนบาทวิถี กลายเป็นภาพที่ประชาชนเห็นเป็นปกติ ศพของพุทธศาสนิกชน ที่ทับถมตามฐานเจดีย์ คือสิ่งที่เกิดขึ้น ทุกวัน

ไซ่ง่อน ๒ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๐๖

รัฐบาลคริสเตียนโรมันคาทอลิค โง ดินห์ เดียม ปฏิเสธอย่างเป็นทางการ ที่จะไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงที่ได้ให้ไว้ว่า จะเลิกปราบปราม และ เข่นฆ่า ชาวพุทธ จึงมีความคาดหมาย กันว่า อาจมีการเดินขบวนประท้วงครั้งใหญ่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน 

"เจ้าหน้าที่กรมการศาสนา" (สังฆราชคริสเตียนโรมันคาทอลิค โง เดียม ถึก ควบคุม) ได้บังคับให้องค์กรปกครองคณะสงฆ์เวียตนาม พระภิกษุสงฆ์เจ้าอาวาสวัดในพุทธศาสนา องค์กรพุทธศาสนา ลงนามเซ็นชื่อรับรองว่า จะซื่อสัตย์ต่อรัฐบาล โง ดินห์ เดียม และจะเชื่อฟัง โง เดียม ถึก ซึ่งเป็นสังฆราชคริสเตียนโรมันคาทอลิค รวมทั้งอยู่ใต้คำสั่งของสมาคม สงฆ์ แห่งชาติ (ที่รัฐบาลตั้งขึ้นเท่านั้น) และจะไม่จัดการเคลื่อนไหวประท้วงใดๆ (สำนักข่าว ยู.พี.ไอ.)

ไซ่ง่อน ๔ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๐๖

เกิดการเล่นสกปรกขึ้น ซึ่งมีรัฐบาลประธานาธิบดี โง ดินห์ เดียม ผู้ถือคริสต์ศาสนา กำลังบีบคั้นพุทธศาสนิกชนที่อยู่ในเหตุการณ์นี้ก็คือ มีมือมืดได้ "ลอบวางยา" พระภิกษุสงฆ์ชั้นสูง ในพระพุทธศาสนาหลายรูป

(เหมือนประเทศไทย ปี พ.ศ.๒๕๔๒ หลวงปู่โง่น ได้ถูกวางยาพิษหลังจากกลับจากยุโรป แพทย์ไม่ยอมให้ผ่าตัดพิสูจน์ศพ และเกิดกับพระสายปฏิบัติกรรมฐาน สมาธิจิต แถบภาค อีสานของไทย หลายรูป) จนกระทั่งอาพาธหนักต้องเข้าโรงพยาบาลจำนวนถึง ๒๐ รูป 

โฆษกชาวพุทธได้กล่าวเพิ่มเติมว่า การปฏิบัติของรัฐบาล โง ดินห์ เดียม ที่ปราบปราม ชาวพุทธนั้น ได้ทวีความรุนแรงขึ้น และเตือนให้พุทธศาสนิกชนทั้งหลายพึงระวังตัว (สำนักข่าว ยู.พี.ไอ)

ไซ่ง่อน ๘ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๐๖

มีผู้ฆ่าตัวตายเพื่อประท้วงรัฐบาล ที่ปราบปราม เข่นฆ่าชาวพุทธ ผู้ฆ่าตัวตายผู้นี้เป็นนักการเมืองฝ่ายรัฐบาล เป็นผู้นับถือพุทธศาสนา ชื่อ เหงียน เทือง ทัม ได้กินยาพิษและไปเสีย ชีวิต ที่โรงพยาบาล ทั้งนี้เนื่องจากเขาได้ถูกกล่าวหาจาก เจ้าหน้าที่ตำรวจของสังฆราชคริสเตียนโรมันคาทอลิค โง เดียม ถึก ว่าทำลายความมั่นคง ของชาติ  โดยกระทำตัว เข้าข้างชาวพุทธ และวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล นายเหงียน เทือง ทัม ได้เขียนจดหมายขอให้รัฐบาล หยุดการเข่นฆ่าพระสงฆ์ชาวพุทธ ไว้ ก่อนตาย (สำนักข่าว รอยเตอร์)

ไซ่ง่อน ๑๗ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๐๖

ตำรวจคริสเตียนของ โง เดียม ถึก ได้ใช้อำนาจเข่นฆ่าชาวพุทธอย่างโหดเหี้ยมทารุณ บางพวกได้เข้าบุกตีกระหน่ำกลุ่มชาวพุทธที่มาชุมนุมเรียกร้อง บางคนก็ล็อคคอผู้หญิง ลาก ขึ้นรถบรรทุกไป เข้าค่ายกักกันเป็นจำนวนหลายร้อย ทั้งพระภิกษุ แม่ชี ฆราวาสทั้งหญิงชาย ตลอดจนกระทั่งเด็ก ประธานาธิบดีโง ดินห์ เดียม ได้ตัดสินใจ "ขยี้" ประชาชน ชาวพุทธที่มีเป็นส่วนใหญ่ ๙๐% ในเวียตนามใต้แล้ว โดยไม่รับฟังและไม่ยินยอมตามคำเรียกร้องใดๆ ทำให้เขากลายเป็น "ผู้เผด็จการทางศาสนา"

วันเดียวกันที่เมืองพูลัม มีการชุมนุมของชาวพุทธ พระภิกษุ และแม่ชี รวมทั้งผู้หญิงและเด็ก ถูกตำรวจลากตัวอย่างไม่ปราณีขึ้นรถบรรทุกส่งไปยังค่ายกักกันประมาณ ๑,๕๐๐ คน บาตรพระ ลูกประคำ รองเท้า หมวก และสิ่งของหล่นเกลื่อนกลาด

ที่เจดีย์เกี๊ยกมินท์ มีการชุมนุมของชาวพุทธอย่างสงบโดยการนั่งสมาธิ แต่ตำรวจคริสเตียนก็ไม่ละเว้น ตั้งข้อหาว่า "นั่งสมาธิเพื่อสาปแช่งรัฐบาล" ระดมกำลังเข้าไปทุบตีที่หัว และ ร่างกาย ลากขึ้นรถไปทั้งหมด ที่หน้าตลาดใหญ่กลางกรุงไซ่ง่อน แม่ชี ๑๐๐ คน สวดมนต์อยู่ แต่ตำรวจของ โง เดียม ถึก ก็ระดมตีและจับไปกักขังทั้งหมด (สำนักข่าว ยู.พี.ไอ)

ไซ่ง่อน ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๐๖

เจดีย์ใหญ่ซึ่งเป็นที่ปฏิบัติธรรมของพุทธศาสนิกชนอย่างน้อย ๓ แห่งถูกตำรวจปิดล้อมตลอดวัน เว้นแต่ในตอนเช้าจะเปิดให้เพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น แต่ก็ไม่มีพุทธบริษัทคนใด ออกจากเจดีย์ทั้ง ๓ แห่ง อาหารที่พระภิกษุได้บิณฑบาตไว้ ได้ถูกนำออกมาเลี้ยงพุทธศาสนิกชน และขณะนี้อาหารได้ร่อยหรอลงไปทุกทีแล้ว และบางเจดีย์พระภิกษุและแม่ชี พุทธศาสนิกชน ต้องกินข้าวกับเกลือ แต่ก็ยังต่อสู้ต่อไป(สำนักข่าว ยู.พี.ไอ.)

เมืองเว้ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๐๖

ตำรวจคริสเตียนของ โง เดียม ถึก สังฆราชโรมันคาทอลิค ได้ใช้กำลังบุกตะลุยเข้าสู่เจดีย์ ขณะที่มีการสวดมนต์ของพระและพุทธศาสนิกชน ยังผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ๒๐ รูป และ อาการปางตาย ๕ รูปพระภิกษุสงฆ์บางรูปถูกตีซ้ำแล้วซ้ำอีกจนสลบคาที่ (สำนักข่าว เอ.พี)

เมืองเว้ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๐๖

ภายใต้กฎอัยการศึก ตำรวจคริสเตียนจำนวน ๑๒,๐๐๐คน กระจายกำลังเตรียมพร้อมเพื่อทำการกวาดล้าง เข่นฆ่าชาวพุทธอย่างเต็มที่ หลังจาก ที่มีการเผาตัวตายของพระภิกษุ ทิจ เตียว เดียว ในเจดีย์ตูดาม ข่าวแจ้งว่าขณะนี้รอบเจดีย์ตูดามอันเป็นเจดีย์สำคัญของเมืองเว้ มีตำรวจล้อมรอบ และมีลวดหนามล้อมไว้ กันคน ภายในหนีออกมา และตำรวจ ได้ตั้งด่านตรวจผู้คนอย่างเข้มงวดที่สุด ภายในเจดีย์มีพระภิกษุและแม่ชี สวดมนต์ผ่านเครื่องขยายเสียงได้ยินถึงภายนอก ซึ่งมีพุทธศาสนิกชน ที่นั่งอยู่ ตามข้างถนน นอกลวดหนาม ที่ปิดกั้น พนมมือและสวดมนต์ตามไปด้วย สถานการณ์ตึงเครียดพร้อมระเบิดทุกเมื่อ (สำนักข่าว เอ.พี)

นี่เป็นส่วนหนึ่งในการเข่นฆ่าพุทธศาสนิกชน ที่กระทำโดยรัฐบาลที่นับถือศาสนาคริสต์โรมันคาทอลิค พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ของรัฐ เหตุการณ์อันสุดหฤโหด ในประวัติศาสตร์มนุษย ชาติ ของการเข่นฆ่า พระภิกษุในพุทธศาสนาและพุทธศาสนิกชนซึ่งมีแต่เสียงสวดมนต์และปราศจากอาวุธนั้น ไม่มีครั้งใดจะยิ่งใหญ่อำมหิตยิ่งกว่าเหตุการณ์ในเจดีย์ซาลอย กลาง กรุงไซ่ง่อนอีกแล้ว

ชั่วอึดใจเดียวก็มีเสียงระเบิด และเสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหว ระคนไปด้วยเสียงระฆัง กลอง เสียงตะโกนให้ช่วย และเสียงพระสวดมนต์พระปริต ดังออกมาจากข้างในเจดีย์

เมื่อตำรวจวิ่งขึ้นไปยังชั้นต่างๆ ถึงตัวก็ตีด้วยพานท้ายปืนล้มลง บางองค์ถูกยิง หลายคนถูกระเบิดแก๊สน้ำตา น้ำตาไหลพรากหาทางไปไม่ได้แล้วก็โดนยิงด้วยปืนเข้าที่กลางหลัง พระบางรูป วิ่งขึ้นไปบนยอดเจดีย์ ตีกลองและระฆัง เพราะไม่สามารถจะทำอะไรได้กว่านั้น เพราะไม่มีอาวุธนอกจากไม้สำหรับเคาะบักฮื้อ (ปลาสีแดงเล็กๆ ใช้เคาะพร้อมสวดมนต์) ซึ่งใหญ่กว่าก้านธูปนิดเดียวเท่านั้น ตำรวจคนหนึ่งวิ่งตามขึ้นไปทัน และจับตัวโยนลงมาจากชั้น ๔ ศีรษะกระทบพื้นหินข้างล่างดังสนั่น เลือดกระจาย พระเณรที่เหลืออยู่ ในชั้นสูง ขึ้นไป เอาเครื่องกีดขวางประตูและปิดหน้าต่างด้วยลูกกรงเหล็ก

รถบรรทุกตำรวจหลายสิบคันที่จอดอยู่ในบริเวณวัด ล้วนถูกอัดแน่นไปด้วย พระภิกษุ (ประมาณ 700 รูป) แม่ชี และพุทธบริษัทอีกหลายร้อยคน ที่ถูกกวาดต้อนมาเหมือนสัตว์ ประเภทหนึ่ง ภายในเจดีย์ยังคงมีเสียงปืน และเสียงระเบิดดังออกมาอย่างไม่ขาดระยะ และหน้าต่างด้านหลังเจดีย์ได้ค่อยๆ เปิดออก พระภิกษุ ๒ รูปก็ปีนหน้าต่างกระโดดออกมา แล้วปีนข้ามเข้าไปในที่จอดรถ เขตบ้านชาวอเมริกันซึ่งรั้วติดกับวัด ตำรวจใช้ปืนกลยิงกระหน่ำ พระองค์หนึ่งร่วงตกลงมากองกับพื้น อีกองค์หนึ่งสามารถหลบรอดไปได้

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ประชาชนในไซ่ง่อน ก็แลเห็นตำรวจเต็มท้องถนน และตามสี่แยกต่างๆ รอบๆ เจดีย์ซาลอยและเจดีย์ของวัดพุทธศาสนาอื่นๆ ในไซ่ง่อน ซึ่งได้ถูกทหารเข้ายึด ในคืน เดียวกันกับที่วัดซาลอย ข่าวได้รับทราบทั่วไปว่า พระภิกษุสามเณรและแม่ชีที่ถูกจับจากวัดต่างๆ ในคืนนั้นมีจำนวนกว่า ๑๐,๐๐๐ คน และสังฆราชคริสเตียนโรมันคาทอลิค โง เดียม ถึก ได้ประกาศกฎอัยการศึกในไซ่ง่อนโดย ห้ามประชาชนที่เป็นพุทธศาสนิกชน ออกจากบ้านเวลา ๒๑.๐๐ น. ถึง ๐๕.๐๐ น. ยกเว้นผู้ที่เป็นคริสเตียน ซึ่งได้รับอนุญาตพิเศษ ตำรวจได้รับคำสั่งให้ยิงทุกคนได้โดยเสรี รวมทั้งเครื่องบินก็ห้ามขึ้นลงในท่าอากาศยานด้วย... ที่โบสถ์คาทอลิคมีการกระจายเสียงว่า รัฐบาล โง ดินห์ เดียม. ประกาศเผาเมือง และ ยอมทิ้งเมืองไซ่ง่อน หากมีการรัฐประหารและแพ้...

ในขณะเดียวกันที่เมืองเว้ อันเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชทินเกี๊ยตประมุขสงฆ์แห่งพระพุทธศาสนา สมเด็จสังฆราชองค์นี้ได้ถูกจับไปขัง ถูกซ้อม และบังคับให้ออก แถลงการณ์ มอบอำนาจการบริหารคณะสงฆ์ให้กับพระภิกษุสงฆ์ ซึ่งเป็นบาทหลวงคริสต์โรมันคาทอลิค ที่ปลอมเข้าไปบวชเป็นพระสงฆ์พุทธชื่อ ทิจ เทียน หัว ซึ่ง โง เดียม ถึก ได้แต่งตั้งให้เป็น ประธานกรรมการ "คณะกรรมการป้องกันพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ??"

(เหมือนในประเทศไทย ปี พ.ศ.๒๕๔๒ มีผู้ก่อชนวนฟ้องร้องให้ถอด พระมหาเถระ กรรมการองค์กรปกครองคณะสงฆ์ไทย ออกจากตำแหน่ง เพราะไม่ทำตามคำสั่งของนักการเมือง และ ได้ตั้ง องค์กรอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาขึ้นเมื่อ ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๔๒)

ดูแลกิจกรรมศาสนพิธีของชาวพุทธในประเทศเวียตนาม (พุทธศาสนิกชนไม่เลื่อมใส การเข่นฆ่าที่รุนแรงโดยตำรวจคริสเตียนโรมันคาทอลิค ภายใต้การบัญชาการของ โง เดียม ถึก การบัญชาการนั้นข้ามประเทศมาจากกรุงวาติกัน ประเทศอิตาลี ขณะที่นาย โง เดียม ถึก ได้เดินทางไปประชุม VATICAN COUNCIL ๒ และการปราบปรามนี้เรียกว่า "มิชชั่น" หรือ "การรุกแบบตรงตัว" นั่นเอง

ทหารเวียดนามเดินขบวนร่วมกับพุทธศาสนิกชน

ทหารเวียตนามส่วนใหญ่ในสมัย โง ดินห์ เดียม เป็นพุทธศาสนิกชน การกระทำของ โง ดินห์ เดียม กระทบต่อจิตใจของพวกเขาอย่างร้ายแรง นับตั้งแต่นายทหารชั้นผู้ใหญ่ ชั้นผู้น้อย และชั้นกลาง ต่างตกอยู่ในฐานะที่ไม่สะดวกใจในการรับคำสั่งจากประธานาธิบดี ถึงขนาดผู้บัญชาการทหารบางเหล่า ปฏิเสธที่จะปฏิบัติการใดๆ อันเป็นการทำร้าย ชาวพุทธ ทหารชาวพุทธไปวัด ไม่ค่อยได้ แม้แต่ขออนุญาตก็ตาม 

(เหมือนในประเทศไทยปี พ.ศ. ๒๕๔๒ กรณีข้าราชการทหารแต่งเครื่องแบบเข้าประกอบการกุศลในวัด แล้วโดนผู้บังคับบัญชาสั่งตั้งกรรมการสอบสวน ทั้งๆ ที่ประเทศไทย ปกครอง ระบอบประชาธิปไตย... มีเสรีภาพในการนับถือศาสนา และไม่มีระเบียบวินัยข้อใด ห้ามแต่งกายเข้าวัด เพื่อประกอบศาสนพิธี ??)

นายทหารเวียตนามที่นับถือพระพุทธศาสนากับนายทหารที่นับถือคริสต์ศาสนา ต่างอยู่ในภาวะที่ไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน และอยู่ในฐานะที่ไม่สะดวกใจ ในการรับคำสั่ง หรือ การบัญชาการใดๆ ในเมื่อต้องอยู่ในสังกัดกรมกองเดียวกัน 

หลังจากที่เกิดเหตุการณ์อุทิศตนเพื่อพระพุทธศาสนา พระภิกษุและพุทธศาสนิกชนเผาร่างตนเองนั้น ทำให้นายทหารที่เป็นพุทธศาสนิกชน ซึ่งเป็นนายทหารส่วนใหญ่ของ กองทัพ ไม่พอใจและเสียใจ ต่อการกระทำของรัฐบาลเป็นอย่างยิ่ง ทหารเวียตนามทั้งกรมรบพิเศษ ผูกผ้าสีเหลืองที่คอ เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการสนับสนุนพระพุทธศาสนา โดยแถลงว่า

"พวกเขาไว้ทุกข์ให้พระภิกษุที่เผาตนเองเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา อันเป็นอุดมการณ์ของพุทธศาสนิกชน แต่งเครื่องแบบออกมาเดินขบวนร่วมกับพุทธศาสนิกชน และประกาศว่า พวกเขาพร้อมที่จะรบ และพร้อมที่จะตาย เพื่อปกป้องพระพุทธศาสนา และแจกจ่ายแถลงการณ์ ข่าวการอุทิศชีวิตของพระทิจ กวาง ดึ๊ก ไปยังสาธารณชน พร้อมเปิดเผย การกระทำ อันไม่ถูกต้องของรัฐบาล แต่ถูกตำรวจคริสเตียนของ โง เดียม ถึก สั่งเก็บเอกสารทั้งหมด 

(เหมือนประเทศไทยปี พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่มีการสั่งยึดเอกสาร ซึ่งจัดทำโดยนายทหารฝ่ายเสนาธิการสามเหล่าทัพ จากที่ทำการไปรษณีย์ โดยอ้างว่า ทำลายความมั่นคง ซึ่งการกระทำ ของตำรวจนั้น เป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญมาตรา ๓๘ มาตรา ๓๙ และมีความผิดกฎหมายอาญามาตรา ๘๖ ???)

ที่เมืองมีโธ ซึ่งอยู่ทางเหนือไซ่ง่อน ๘๐ กม. ทหารที่นับถือพุทธศาสนาได้ปะทะกับทหารซึ่งเป็นคริสเตียนโรมันคาทอลิคของ โง ดินห์ เดียม มีทหารเสียชีวิต ๖๐๐ นาย บาดเจ็บ ๑,๒๐๐ นาย เป็นนายทหารสัญญาบัตร ๗๐ นาย

(จากคำปราศรัยของประธานาธิบดี จอนด์ เอฟ เคเนดี้ ทางโทรทัศน์ในวันที่ ๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๐๖ อาจทำให้สามารถวิเคราะห์ได้ว่า เป็นการเห็นด้วย ในการปราบปรามพุทธ ศาสนิกชน โดยรัฐบาล โง ดินห์ เดียม ใช่หรือไม่ ?? ทั้งไม่ปรากฏการกระทำใดๆ หลังจากนั้นอย่างเป็นรูปธรรมจากสหรัฐอเมริกา ในอันที่จะระงับการใช้กำลังปราบปราม เข่นฆ่า ชาวพุทธอย่างป่าเถื่อน ซึ่งไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์ของโลก และนี่คือก้าวแรกของความพ่ายแพ้ของสหรัฐอเมริกา ในสงครามเวียตนาม ในการยึดฐานมวลชน ทางด้าน จิตวิทยา ที่สหรัฐพลาดในการวิเคราะห์พื้นฐาน ความสำนึกในชาติ และศาสนา ของชาวเวียตนาม)

คำสำคัญ (Tags): #burn#burning#monk#self-immolation
หมายเลขบันทึก: 90247เขียนเมื่อ 13 เมษายน 2007 23:46 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 มิถุนายน 2012 16:39 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (18)
  • อ่านแล้วขนลุกด้วยความกลัวอย่างจับใจ
  • แบบนี้ที่เมืองไทยคงไม่เกิด
  • ขอทูนเทิดพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
  • ด้วยพระสยามเทวาธิราช ทุกศาสน์เป็นไทย
สวัสดีครับคุณ P
ทนัน ภิวงศ์งาม ภัยภายนอกและภัยภายในนั้นภัยภายในน่ากลัวกว่าครับ
  • ภัยภายนอกได้รับการป้องกันเชิงรุกด้วยการทำความเข้าใจระหว่างศาสนาอย่าง ท่านดาไลลามะ ท่านติช นัทฮันท์ ได้กระทำอยู่ ภัยภายนอกเช่นนี้จึงเกิดได้ยากในสมัยปัจจุบัน แต่ก็ใช่ว่าจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย
  • ภัยภายใน คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ประชาชนเสื่อมศรัทธา? พระสงฆ์อ่อนแอ...

 

เอ่อ การฆ่าสัตว์เป็นบาป แล้วการฆ่าตัวตายนี่มันได้อะไรหรอมันไม่บาปกว่าหรอ    ไม่ลืมหูลืมตามองให้ดีๆหน่อยดิ  ดันคิดว่าทำถูกได้อะไรถามหน่อยเหอะ
คือแบบว่าโรมันคาทอลิก ไม่ใช่คริสเตียนอ่ะ เขาเรียกคริสตังครับ  แล้วพระนี่น่าสงสารจัง คิดสั้นมากเลยใช้วิธีนี้มันเสียมากกว่าได้นะเราคิดว่า

สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดีเสมอ

ต่อให้โลกถล่มแผ่นดินทลายมันก็ดีอยู่นั่นเอง

เรื่องนี้คงต้องใช้ความละเอียดอ่อนและทำใจให้เป็นกลางในการอ่าน ให้เห็นความจริงตามที่มันเป็น

หากเอาEgo หรือตัวตนของเราเข้าไปในเหตุการณ์นั้นๆแล้ว เราก็จะเห็นอะไรๆผิดเพี้ยนไปจากความจริง ไม่อาจจะเห็นอย่างที่มันเป็น

น่าแปลกไหมที่ฆ่าสัตว์มันบาป ฆ่าตัวตายก็ยิ่งบาปกว่า เรียกได้ว่าบาปหนักทีเดียว......... อะไรบีบคั้นให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นหรือ? 

ถ้าเป็นคนปกติ ที่ไม่ได้ปฎิบัติธรรมคงจะมีอาการดิ้นทุรนทุรายเวลาที่โดนไฟครอกเช่นนั้น เป็นที่น่าสงสัยไหม? เป็นสิ่งที่เหนือกว่าศรัทธา และเป็นจุดเปลี่ยนของเหตุการณ์สำคัญๆ

 

ถ้าเราศึกษาลึกลงไป เราจะพบว่าเหตุการณ์เช่นทำนองนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว หลายครั้งในสมัย 2500 ปีก่อน มีภิกษุที่บรรลุธรรมโดยอาศัยทุกขเวทนาที่เกิดเป็นอารมณ์ 

ก็ไม่แปลกที่เกิดเหตุการณ์นี้อีก แต่ที่สำคัญคือมันเป็นอุทาหรณ์ให้เห็นอะไรบางอย่าง ให้เราตระหนักรู้ถึงอะไรบางอย่าง รู้อย่างเท่าทันความเป็นจริง

จะว่าไปแล้วพุทธศาสนาก็มีจุดอ่อนและจุดแข็งไปในตัว ที่เป็นศาสนาที่ไม่สามารถป้องกันศาสนจักรได้ในทุกกรณีนั่นเอง (ศาสนาอื่นนักบวชสามารถถืออาวุธขึ้นทำสงครามศาสนาได้)หากการเมืองการปกครองหรือประชาชนไม่ปกป้องสนับสนุนศาสนจักรแล้ว ศาสนาอาจถึงการล่มสลายเลยทีเดียว ดังนั้นวิธีเดียวที่พระสงฆ์จะทำได้ก็คือ สู้ด้วยสันติ หรืออหิงสาธรรมนั่นเอง

 

อยากให้มีโอกาศชมเรื่องจากเรื่องจริงเรื่องนี้ครับ

CRY OF THE SNOW LION

  • อ่านกี่ครั้ง ยังน่ากลัว จับขั้วจิต
  • แต่ยังคิด ในเมืองไทย ไม่น่าเกิด
  • พุทธศาสน์ แห่งชาติไทย ให้ทูนเทิด
  • ทุกศาสน์เชิด พระภูมินทร์ ปิ่นสยาม
โอ้!!!!! บังเอิญเจอ ก็เลยนั่งอ่าน

สลดใจจริงๆ.......คล้ายๆ กรณีเหตุการณ์ที่เคยเกิด

ที่ทิเบตเลย เฮ้อ......อ่านจบแล้วก็อย่างรู้ว่า ต่อมา

โง ดินห์ เดียม กับ โง เดียม ถึก เนี่ยชีวิตเค้าเป็นไงต่อ

ก็ยังอยู่กันสุขสบายดี เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า

ผู้คนยังยกย่องให้เกียรติเหมือนเดิมไหม เหมือนกับพลพต

ของเขมร เหมือนกับถนอม, ประภาส กิติขจร บ้านเราไหม?




อยากรู้จัง?????
มันเป้นแนวทางโพธิสัตว์อย่างหนึ่งคะ ถ้ารู้จริงในแง่มุมของมหายานแล้วละก็ จะไม่มีคำโง่ๆๆๆของคนสิ้นคิด หรือเห็นว่าตนเองนั้นถุกต้องออกมา  ตามคติมหายานที่หวังช้วยสัตวโลกทุกตนนั้นยอมได้แม้กะทั้งยอมตกนรกเพื่อช่วยสัตว์โลก เคยได้ยินพระมหายานที่ฆ่าโจรชั่วทางเหนือของจีนไหม  ท่านต้องยอมฆ่าโจรทั้งรู้ว่าตกนรกแน่แต่ถ้าไม่ฆ่าโจร  โจรก็จะทำบาปอีกมากยากที่จะถึงพุทธภูมิท่านจึงฆ่าโจรยอมตกนรกอเวจีเสียเองเพื่อช่วยโจรไม่ให้ทำบาปมากกว่านี้ ก้เหมือนพระภิกษุเวียดนามที่ยอมตายเพื่อโปรดพวกคริสหน้าโง่พวกนั้น

จงระวังไฟใกล้ตัว หากโกรธเขาจะเท่ากับเผาตนเอง

มันเป็นยุคเสื่อมและขาลงของวัฎฎะ หากไม่ใช้ปัญญาแก้ปัญหาเราจะถูกภัยภายนอกและภัยภายในทำลายในไม่ช้า

ถ้าพูดถึงพระเยซูแล้ว น่าเคารพยิงแต่ก็เช่นเดียวที่พวก คริสตรุ่นหลัง บิดเบือนคำสอนเอาแต่เปลือก เลิกแต่ดี หนีความจริง จึงจ้องจะทำลายศาสนิกอืน และอ้างว่าเปฟ็นสิ่งที่มอบหมายดยพระเจ้า

น่าสมเพชที่สุด พวกเขาไม่นับถือพระเจ้าหรอก ปากที่บอกว่าตนเป้นคนของพระเจ้าแต่ใจที่เปี่ยมไปด้วยการกระทของซาตาน นำพระเจ้า มาข่มขืน อ้างว่าเป็นพระประสงค์ พระประสค์ที่แท้คือ รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง รักพระเจ้าจนสุดใจ นี้ ขนาดพระเจ้ามันยังไม่รัก(โดยการไม่เชื่อฟังพระเจ้า ทั้งๆที่ไม่มีด้วยซ้ำ)มันจะรักคนอื่นได้ไง ถ้าพูดตามจิงแล้ว ชายที่ชื่อเยซูนั้น เป็นบุคคลที่ดี แต่ไม่ได้เป็นพระเจ้า เพิ่งมาในสมัยหลังหรอกที่เชิดชู เยซู เป็น พระเยซู (ว่ากันตามประวัติศาสตร์โลกหน่ะ) เพื่อเหตุผลทางการเมื่องในสมัยโบราณ ก็จึงไม่น่าแปลก ที่ เยซู ถูกคริสศาสนิกชน ข่มขืนย้ำยีอย่างนี้ มาแตในสมัยโบราณแล้ว

พละ 5 (ธรรมเป็นกำลัง 5 อย่าง)

ศรัทธา

วิริยะ

สติ

สมาธิ

ปัญญา

สัทธา คู่ กับ ปัญญา

วิริยะ คู่กับ สมาธิ

มีสติเป็นแกนกลาง ครอบคลุม พละทั้ง 4

หาก สัทธา ไม่คู่ กับ ปัญญา ศรัทธา นั้น ก็จะดิ่งลึก เป็น blind belief

มันก็จะเกิดปัญหาขึ้นเช่นสงครามที่อ้างศาสนา หรือพวกระเบิดพลีชีพขึ้น

สติ สัมปชัญญะ สุญตา ปัญญา รวมทั้งเมตตา กรุณา เป็นศาสนาเดิมจริงก็ได้ ความเรียบง่ายแสดงศาสนาที่แท้จริง คงไม่ใช่อยู่ที่ปากและอาภรณ์ ชายหรือหญิง ผู้ใหญ่และเด็ก แต่ดั้งเดิมศาสดาเป็นคนระเหเร่ร่อน ไม่มีที่ซุกหัวนอน ไม่ปรากฏว่าสรวมใส่อาภรณ์แสนจะอลังการณ์ ไม่ทราบว่ากินข้าวอะไรที่ไหน ไม่เคยประกาศโอ้อวดตัวท่าน ไม่แบกคัมภีร์โอ้อวดกัน ชีวิตท่านอยู่เพื่อความสันโดดมักน้อย เพื่อความสุขของมวลมนุษย์ ไม่สะสมข้าวของ เงินทอง ท่านจรลีไปทุกแว่นแคว้นที่มีคนทุกข์ยาก *** เอาแต่สงฆ์เราเดี๋ยวนี้ ท่านอวดความเป็น 'ขุนนางพระ' มีกุฏิที่แสนจะสบาย รับนิมนต์ไปสถานที่ทำให้ท่านมีหน้ามีตา ฉันอาหารอร่อยพิเศษที่ทายกทายิกานำไปถวาย หรือจัดซื้อด้วยเงินทองซึ่งเป็นพระวินัยต้องห้าม ครองจีวรผ้านอก ฯลฯ จาริกไปอเมริกา ออสเตรเลีย อังกฤษ แคนาดา ฯลฯ มีไหมที่จะไปเผ่ยแผ่พระธรรมในอาฟริกา แม้แต่บังคลเทศแดนพุทธที่เกือบจะสูญสิ้นอุบากสกอุบาสิกา สงฆ์ สามเณร ท่านก็ไม่เคยรับรู้หรือทราบ นี่คงจะไม่ใช่สาวกในศาสนาใด ๆ อย่างแท้จริง น่าจะอาศัยใบบุญของศาสดาที่มีความเป็นอยู่อย่างทุกข์ยากต่างหาก ท่านไม่ได้โปรดสัตว์ให้มีดวงตาเห็นธรรม เพราะท่านก็ไม่ได้ดวงตาเห็นธรรม เพราะไม่ใช่ผู้ที่เข้าสู่กระแสพระนิพพาน (มรรค) อันนำไปสู่ 'ผล' หรือดวงตาเห็นธรรม (คือผู้ที่เป็นโสดา เป็นต้นไป) และหาได้เชื่อในพระนิพพานไม่ เพราะชีวิตท่านอยู่อย่างประมาท ยุ่งเรื่องชาวบ้านชาวเมือง จนลืมกิจของท่านที่ท่านให้ปณิธานโดยเปล่งวาจาเมื่อท่านบวช ว่า 'เราจะรับผ้าสากายะนี้ เพื่อจักทำพระนิพพานให้แจ้ง'

ขอบคุณ คุณ muslim สำหรับความคิดเห็นที่ทำให้เกิด ทางสายกลาง ในมุมมองมากขึ้นครับ

ขอแสดงความเคารพอย่างสูงสุด

รับรู้ด้วยใจ

ผู้ที่ทำในสิ่งที่ยากยิ่งย่อมได้รับผลในสิ่งที่ยากยิ่งเช่นกัน

ขออนุโมทนากับสิ่งที่สวยงาม

โง่ ดินห์ เดียม กับ โง่ เดียม ถึก ตายหรือยัง?

ไอ้โง เดียม ถึกมันตายแล้วครับ ตายตั้งนานแล้ว มันโดนยิงตาย

ขอโมทนากับคุณอันยิ่งใหญ่ของพระกวาง ดิ๊กด้วย

ปัจจุบัน หัวใจของท่านยังอยู่ที่สถูปทองคำ เมืองเว้ครับ

หัวใจท่านไม่มอดไหม้ไปกับเพลิง

พึงรู้ไว้เถิด ชาวพุทธที่ยังไม่รู้อะไร

นี่ไม่ใช่อัตตนิบาต แต่เป็นทานปรมัตถบารมี

ดูอาการนิ่งสงบของท่านขณะที่ไฟโหมร่างสิ

ผู้ที่ไม่ได้เรียนรู้อะไรไม่มีวันเข้าใจหรอก

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท