ผมได้มีโอกาสดูรายการ "ผู้หญิงถึงผู้หญิง" เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
มีบทความหนึ่งที่ทางรายการได้นำเสนอ คือ
บทความชื่อ "สังคมไทยชอบให้ความเห็นมากกว่าให้ความรู้" เขียนโดย คุณโจ มณฑาณี ดีเจและคอลัมนิสต์ชื่อดัง ตีพิมพ์อยู่ในหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งผมจำชื่อไม่ได้
สรุปคร่าว ๆ พอผมไม่ค่อยตั้งใจฟังเท่าไหร่ว่า ...
"..สังคมไทยปัจจุบันเท่าที่ได้เข้าไปดูจากเว็บบอร์ดต่าง ๆ เช่น Pantip.com .. ที่มีการตอบกระทู้ต่าง ๆ อย่างไม่สร้างสรรค์
บางคนก็มีความคิดเห็นที่มีประโยชน์ แต่บางคนนอกจากไม่มีประโยชน์แล้ว ยังคงสร้างความแตกแยกให้กับสังคม หรือได้แต่ด่า ๆๆๆ ไม่มีคำแนะนำใด ๆ ที่จะทำให้เกิดความรู้ หรือ การพัฒนาตนเองเลย
อีกสื่อหนึ่งทีเห็นบ่อย คือ จากการออกโทรทัศน์ของพวกนักการเมืองที่ชอบให้แสดงแต่ความเห็น เสียดสี ว่าร้าย คู่แข่งหรือคนที่ตนไม่ชอบ แต่ไม่เคยมีคำแนะนำจากนักการเมืองเหล่านี้ออกมา
ถ้าอนาคตสังคมไทยมีแต่คนที่ไร้คุณภาพ หรือวัฒนธรรมที่ชอบแสดงความเห็นแบบนี้อยู่ แล้วสังคมจะพัฒนาไปได้อย่างไร คงมีแต่คนชิงชังกัน ทำร้ายกันไม่เว้นแต่ละวัน ด่า มันง่ายกว่า ทำ ..."
ได้ฟังเช่นนี้แล้ว ... คุณเชื่อแบบนี้หรือไม่ มีความคิดเห็นอะไรเพิ่มเติมหรือเปล่าครับ ... คุณเคยทำไหม ผมน่ะไม่พ้นบ่วงกรรมนี้หรอก เคยทำแน่นอน ...
แต่ที่แน่ ๆ นี่คือ ประโยคทอง ... ที่เสียดแทงใจจัง :)
" .... สังคมไทยให้ความเห็น มากกว่า ให้ความรู้ ..."
บุญรักษา ... ครับ
ใช่ครับ น้อง ครูแอน ... การควบคุมคงเป็นไปด้วยความลำบาก ... คงต้องเห็นใจผู้ดูแลเหมือนกันครับ
สังคมบ้านเราตอนนี้มีตัวอย่างที่ไม่ดีอยู่เยอะ ออกมาตามสื่อหลัก ๆ เช่น อินเทอร์เน็ต โทรทัศน์ วิทยุ ต่าง ๆ โดยเฉพาะการให้สัมภาษณ์ มีการแบ่งพวกแบ่งฝ่ายกันอย่างชัดเจน ชั้นชอบคนโน้น เราชอบคนนี้
การแสดงออกของคนในสังคมของเราก็คือ การด่าทอ ใส่ร้ายป้ายสี ... ยิ่งในอินเทอร์เน็ตไม่มีรู้จักเรา เราก็ไม่รู้จักใคร จะด่าใคร ว่าใคร ทำได้อย่างอิสระ
มนุษย์ทุกคนมี "สันดานดิบ" อยู่ในตัว แต่มนุษย์ต่างจากสัตว์ก็คือ สามารถควบคุมสันดานดิบนั้นได้ดีกว่าสัตว์
แต่หลัง ๆ นี่ ชักไม่แน่ใจ :)
ขอบพระคุณครับ พี่ sasinanda
สิทธิและเสรีภาพย่อมต้องมีขอบเขตที่สมควรและเหมาะสม ครับ
บ้านเราตอนนี้ ใช้สิทธิและเสรีภาพบางอย่างผิด ๆ ไม่พอใจอะไร ไม่ศึกษาหาข้อมูล ข้อเท็จจริงที่ถูกต้องเสียก่อน แล้วค่อยมาประท้วง หรือ เรียกร้องสิ่งที่ถูกต้อง
แต่ ... กลับฟังคนอื่น ฟังคำโกหกของพวกมีผลประโยชน์ แล้วก็มาเรียกร้อง
ปวดหัวจริง ๆ ครับพี่ sasinanda
ขอบคุณนะครับ
สวัสดีครับ..ขออนุญาตแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้วยครับ ผมเห็นด้วยครับที่ว่าสังคมไทยชอบให้ความเห็นมากกว่าความรู้ ทั้งนี้ ผมว่าเป็นเพราะเรารับเอาการปกครองแบบประชาธิปไตยเข้ามาใช้ โดยเรารับมาแต่รูปแบบ ไม่ได้รับเอาเนื้อหาที่แท้จริงมา นั่นคือ สังคมประชาธิปไตย ต้องเป็นสังคมของการแสวงหาความรู้ แล้วเอาความรู้มาตัดสินใจ แต่สังคมไทยไม่เป็นสังคมของการแสวงหาความรู้ครับ เพราะความรู้ในสังคมไทยเป็นสิ่งที่ตายตัว ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้นจึงมีไว้สำหรับทำข้อสอบ ไม่สามารถนำมาใช้ในชีวิตจริงได้ ที่นี้หันกลับมาพูดถึงประชาธิปไตย ประชาธิปไตยก็คือการแสดงความคิดเห็น ดังนั้นจึงต้องแสดงความคิดเห็นให้มาก ต้องสร้างวาทกรรมให้มาก เพื่อที่จะได้เป็นตัวแทนของประชาชนครับ...ไม่เฉพาะวงการของการเมืองนะครับ จากประสบการณ์การทำงานของผม ประชุมแต่ละครั้งก็จะมีแต่ความคิดเห็นครับ เพื่อแสดงว่าฉันเก่ง บางครั้งผมเองก็เอากับเขาบ้างเหมือนกัน....ขอบคุณครับ
สวัสดีค่ะอาจารย์.......ในความเห็นหรือสิ่งที่เรียกว่ารูปประโยคใดประโยคหนึ่งอาจจะเป็นตัวจุดประกายสร้างความอยากรู้ให้ไปเรียนรู้ และผลที่ได้คือเกิดความรู้ในตัวของคนอยากรู้ แต่ความเห็นคงไม่มีความรู้ต่อคนอ่านหรือฟังความเห็นถ้าคนอ่านหรือฟังความเห็นไม่อยากเรียนรู้และไม่ไปหาความรู้ความเห็นนั้นก็อาจจะเป็นแค่ก้อนลมเล็กๆ ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป...เอวัง
(มาให้ความเห็นโดยไม่ให้ความรู้ค่ะ.....^___^)
ขอบพระคุณ .. ท่าน ผอ.วิชชา ครับ
ถือเป็นมุมมองของนักบริหารโดยแท้จริงครับ
การที่ประชาชนไทยรับประชาธิปไตยมาไม่ครบส่วนกระบวนท่า
การระดมความคิดส่วนใหญ่ของที่ประชุมในประเทศไทย เป็นการแสดงความเห็นส่วนตัวที่บางครั้งก็อ้างอิงหลักวิชาการ มีที่มา บางครั้งก็ไม่มีแหล่งที่มาที่ชัดเจน เพราะเอาจากความรู้สึกส่วนตัว นี่ถ้าหากใส่ข้อแนะนำหรือความรู้มาให้บ้างก็จะดี
ขอบคุณครับ :)
สวัสดีครับ พี่ จันทรรัตน์
ขอบคุณครับ สำหรับนิยามคำว่า "ความรู้" หรือ "ความเห็น" ในมุมมองของพี่ จันทรรัตน์ นะครับ
ถ้า "ความเห็น" สามารถยั่วยุให้ผู้อ่าน หรือ ผู้ฟัง ให้สามารถไปแสวงหาความรู้ได้ ก็นับเป็นเรื่องดีครับ
แต่ "ความเห็น" ในที่นี้ คือ เห็นตามที่ตนคิด ถ้าใครคิดไม่เหมือนตน โกรธกันตาย ... :)
ขอบคุณครับ :)
สวัสดีค่ะ
ขอบคุณสำหรับความเห็นดีๆที่อาจารย์นำมาให้เติมเต็มค่ะ
สวัสดีครับ คุณครู จุฑารัตน์
ขอบคุณนะครับ ใกล้นับถอยหลังแล้วนะเนี่ย ..
สวัสดีค่ะคุณพี่ Wasawat Deemarn
จะว่าไรไหมเนี่ยชอบขุดบันทึกเก่ามาตอบ
อ๋อว่าเวบไหนๆก็ชอบด่ากันค่ะ ถ้าไม่ต้องใช้ชื่อจริงด่ากันสนั่นเวบแทบทั้งนั้นเลยค่ะ แต่พอเวลามีคนเขามาพูดดีๆด้วยนะ เปรียบประดุจเหมือนมีน้ำเย็นๆมาสาด ประมาณว่าอึ้งกันบ้าง เรียกสติคืนมาได้เยอะ เวบหมอฟันก็เป็นค่ะ
แต่เวบที่ใช้ชื่อจริงก็เป็นอีกแบบนะ เป็นแบบต้องดูดี ต้องดูสวยงาม ดูน่าคุย ดูน่าคบหา น่าประทับใจไง อ๋อยังเป็นเลย แบบว่าพยายามจะทำให้ตนเองดูดี แต่เหนื่อยอ่ะ พาลเบื่อเอาดื้อๆ อะไรกันนักกันหนา ตามใจเถอะจ้ะ ชีวิตประจำวันด้วยอาชีพก็ต้องมีมาดที่เหมาะสมพอแล้ว
ขอเป็นตัวเองได้ไหม( อั๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย......)ให้คุณพี่นึกตามว่าเป็นเสียงสะท้อนเมื่อยืนตะโกนอยู่บนเขา
อ๋อค่ะ
ปล.ขึ้นอยู่กับแต่ละคนค่ะเวลาตอบกระทู้ ว่าจะเลือกเป็นน้ำเย็นสะอาดสาดให้ได้สติกันบ้าง หรือจะเลือกเป็นอะไรๆที่กำลังตะลุมบอนกันอยู่
บางทีก็ต้องคิดว่าเป็นเสียงนกเสียงกาจะดีต่อสุขภาพจิตกว่านะคะ
เพิ่งแปะภาพเป็นเมื่อวานค่ะ คุณพี่ศศินันท์สอน อิ อิ
อ๋อค่ะ
ดีจ้า คุณหมออ๋อ
พี่อาจารย์เจ้า น้อง ไม่ตระการตาแล้ววันนี้
สวัสดีครับ
มี 2 แง่มุมที่อยากให้ความคิดเห็น ;-) เอาไว้ครับ
- ในกรณีของเว็บบอร์ด ผมคิดว่าส่วนหนึ่ง (ส่วนใหญ่?) ที่ชอบให้ความเห็นกันนั้น เป็นเพราะว่า ไม่ต้องเปิดเผยว่าตัวเองเป็นใครครับ
หมายความว่า ความเห็นนั้นถึงจะผิดๆ ถูกๆ ก็ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรจริงๆจังๆ
เพราะหากกลับกันคือ ต้องเปิดเผยว่าตนเองเป็นใคร สืบไปได้แล้วล่ะก็ หากให้ความคิดเห็นไม่ได้เรื่องออกไป มันก็จะลดความน่าเชื่อถือของคนๆ นั้นลงไป
- อีกอย่างหนึ่งที่เป็นไปได้ก็คือ คนที่แสดงความคิดเห็นนั้น เขาคิดว่ามันคือ "ความรู้" ของเขาครับ
ส่วนจะรู้จริง รู้แค่บางส่วน หรือรู้ผิดๆ นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
สังคมไทยจึงเต็มไปด้วยความเห็นมากกว่าให้ความรู้ด้วยประการฉะนี้ (รวมทั้ง "ความเห็น" ที่เพิ่งว่าไปนี้ด้วย...อิอิ)
ว้าว ท่านอาจารย์ ดร. บัญชา ธนบุญสมบัติ หรือพี่ชิว ของหลาย ๆ ท่าน มาเยี่ยมเยือน ...
COMMENT นี้มีทั้ง "ความเห็น" และ "ความรู้" ที่น่าเชื่อถือครับ แม้กระทั่งไม่ต้องเปิดเผยตัว ผู้มีวิจารณญาณจะทราบได้ทันทีว่า รู้ หรือ ไม่รู้ ;)
ขอบคุณครับ ... ;)
มาให้ความเห็น ด้วยความสงสัย ปาฏิหาริย์ อะไรคะอ.เสือ งงๆ .. เหมือนคุยคนละเรื่องเดียวกัน มิน่าคงคนละวัยจริง ๕ ๕ ... แต่ไง อยากให้มี ปาฏิหาริย์ เป็นจริงก็ดีนะคะ ;)
"ปาฎิหาริย์ไม่เป็นจริง" เป็นตอนจบของเพลง "ปาฎิหาริย์" ครับ คุณ poo ;)
เพลงติดปากมา ลามไปถึงความคิดเห็นด้วยครับ อิ อิ
อูววววว
อัน(บันทึก)นี้ หัวกลอย อาจารย์วัตเคยกินมั้ย?
หัวกลอย กว่าจะนำมาทำกินได้ต้องผ่านกระบวนการ "รีดพิษ"ออกซะ(ก่อน)
แม่เคยพา"รีดพิษ"จาก"หัวกลอย"ด้วยนะ(เออ)
ขุดๆๆ อิอิ ขอไปทำพันธุ์ซะเน้อจารย์เน้อ เย่เย่
ขอบคุณสำหรับการพรวนบันทึกให้ครับ คุณ หญ้า @ แสนฝน ;)...