เรื่องนี้ท่าจะยาว...มี้ง (10): หมอช่วยประชาสัมพันธ์แบบลับๆให้หน่อย..


หมอช่วยประชาสัมพันธ์แบบลับๆให้หน่อย..!?

เราทำ voice dialogue counseling จนเลยเที่ยง ยังมันไม่หาย แต่กองทัพเดินด้วยท้องฉันใด voice dialogue ก็ต้องหลีกทางให้มื้อเทียงฉันนั้น ออกจาก counseling room เอ๊ย ห้องประชุม เราก็ยังเจี๊ยวจ๊าวกันถึงกิจกรรมเมื่อครู่ พี่วิธ่นดูตจะตื่นเต้นยินดีไม่แพ้ผม เราออกมาจับมือกันด้วยความรู้สึกดีอย่างลึกๆ แบบที่เราอ่านหนังสือเล่มโปรดอีกครั้งแล้วอยู่ดีๆก็พบประเด็นที่น่าสนใจที่ลึกกว่าเดิมใหม่

ตกบ่ายทุกคนก็ทำ body scan อ.ประสาทมีการชง Espresso มาให้ก่อนทำ bpdyscan เสียด้วย สงสัย session ที่แล้วผมอาจจะกรนดังไปรึเปล่า (อ.ประสาทคงไม่ทราบหรอกว่า Espresso แก้วเดียว จะห้ามผมไม่ให้หลับนั้นเป็นไปไม่ได้ ปกติผมกิน เช้า กลางวัน เย็น ยังเฉยๆ เคยทำสถิติ 8 ช้อนต่อแก้วมาแล้ว!!)

บ่ายนี้ เป็น voluntory session มีสามแบบให้เลือก คือ

  1. Voice dialogue โดยพี่วิธาน (ปรากฏว่ามีบางส่วนที่มา ยังไม่เคยผ่าน 4 ช่อง voice dialogue มาก่อน คงงงน่าดูเหมือนกันเวลาทำ counseling เมื่อเช้า)
  2. Waldolf Painting Part III ของพี่หมู และ
  3. Music Meditation โดยอาจารย์ประสาท

กลุ่ม Waldolf painting มีแฟนพันธุ๋แท้ตามไปพอสมควร แต่ 2 กลุ่มใหญ่คือ Voice dialogue และ Music Meditation กินพื้นที่ในหเองประชุมทั้งหมด (จริงๆแล้วที่กินพื้นที่ไม่ใช่คน แต่เป็นเสียงของทั้งสองกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่ม อ. ประสาท เนี่ย จริงๆเลย) ผมยังติดใจ voice dialogue เลยตามมานั่งฟังพี่วิธานอีกครั้งหนึ่ง

ปรากฏว่าเป็นพลพรรคของสวรรค์ประชารักษ์และปัวนี่เองที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ รวมทั้งเจี๊ยบจากลับแลด้วย เราก็ช่วยกันทำ 4 ช่อง ไปทีละช่องๆ จนจบช่องหนึ่งเหลือช่องสี่ ผมเสนอให้ break ก่อนทำช่องสี่ เพราะทราบว่าทำช่องสี่เสร็จอาจจะมีคนกินอะไรไม่ลง !!

เราทำ voice dialogue กันมาราธอนทีเดียว มีสองกลุ่ม (เอ... หรือสามหว่า?? จำบ่ได้แล้ว) ความสนุกเหมือนเดิม แต่เค้าของความหย่อนความสมบูรณ์ในกิจกรรม intro นี้ชัดเจนขึ้น

ปัญหาของการทำ voice dialogue แบบสี่ช่อง และ informal ก็คือ เราอาจจะไม่ได้ "ลงลึก" ในแต่ละช่องให้เพียงพอ แล้วการไม่ลงลึกนี่เอง ทำให้บางทีเราติดกับ "รูปแบบของกิจกรรมที่จี๊ด" มากกว่า "สาเหตุของตัวจี๊ด" ผลที่ได้ก็คือ remedy รักษาตัวจี๊ด แต่ไม่ได้ทำ health promotion อย่างแท้จริง โอกาส recurrence ก็ยังมีสูง

เช่น เราให้ช่องสองเป็น "ไม่ชอบคนมาสาย" แล้วเราให้เหตุผลช่องหนึ่งว่าเป็น "ความจำเป็น" เป็น "คนง่ายๆ ไม่ serious" ฯลฯ ถ้าเราปล่อยให้แต่ละข้อ ผ่านช่องหนึ่งไปง่ายๆ บางทีเรายังสามารถ sense ถึงความไม่แน่ใจ ไม่ยินยอมพร้อมใจของเจ้าของช่องสอง ว่า เออ ปล่อยไปก็ได้ฟะ จะได้จบๆ

รูปแบบของกิจกรรมที่ค้อนข้าง casual นี้ เหมาะสำหรับการ "แนะนำ" voice dialogue แต่การที่จะเข้าถึง ศักยภาพของ voice dialogue ยังต้องการ แบบฝึกหัดต่อเนื่อง อีกมากพอสมควร เพราะ voice dialogue นั้น ผมว่าเป็น ปัญญาเชิงปฏิบัติอย่างแท้จริง Mirium Dyak คนเขียนคู่มือ voice dialogue facilitator กล่าวไว้ชัดเจนว่า กระบวนกร หรือ therapist หรือใครก็ตามที่จะไปช่วยคนอื่นในการทำงานกับเงาตนเอง ตัวกระบวนกร หรือ facilitator นั้น ต้องหมั่นทำ voice dialogue กับตัวเองให้มากที่สุดก่อน จีงจะสามารถไปช่วยคนอื่นได้เต็มที่

นอกจากนี้ พื้นที่ปลอดภัยอย่างแท้จริงเป็นสิ่งจำเป็น ประเด็นปัญหาที่ยิ่งสำคัญ น่าจะคาดว่าฝังลึก และอาจจะไม่ออกมาในคำตอบแรกของการเริ่ม explore กับเสียงภายใน ถ้าเราสามารถบรรยายความจี๊ดได้เรียบเฉยๆ สิ่งที่ออกมา อาจจะจริง หรืออาจจะไม่ลงลึกไปถึงรากของการเกิดจี๊ดก็ได้

เราทำกลุ่มของตนเองเสร็จ ที่เหลือก็แห่กันไปช่วยกลุ่ม สปร.ต่อ หมออภิชาติกำลังรวบรวมข้อมูลอย่างขะมักเขม้น กลุ่มนี้เก๋มาก ทำเป็นขนานไปเลยสี่ช่องของแต่ละคน (ปรากฏว่าเป็นวิธีที่พี่สมพลแนะนำในวันต่อมาว่าเป็นวิธีที่ดี)

กว่าจะเสร็จกลุ่มอีกกลุ่ม ก็ปรากฏว่าเกือบ 6 โมงเย็นไปแล้ว แต่ละคนเดินโสลเสลกลับห้อง เตรียมตัวมากินข้าว ผมมองไปเห็นกลุ่ม music meditation ของ อ.ประสาท ยังเสียงดังดี สีไม่ตกอยู่เลย เลยเกร่ๆไปเมียงมอง เอ๊ะ อะไรกัน มีเต้นร้ง เต้นแร้บกันด้วย คุณณาเต้นยงโยยงหยก ตรงกันข้ามก็มีหมอชาย (ซึ่งตอนนี้ไม่เหมือน ผอ. โรงพยาบาลไหนๆทั้งสิ้น) โต้ตอบมาด้วยแร้บที่รุนแรงปานเดียวกัน

อ๊ะ อ้า นั่นแต่งเพลงกันนี่หว่า มองไป มองมา อ๋อ นี่พวกนี้วางแผนจัด music meditation จริงๆแล้วมี hidden agenda นี่หว่า มาซุ่มซ้อมทำ surprise ตรงนี้นี่เอง

กลุ่มนี้กำลังแต่งเพลงเพื่อไปร้องงานวันเกิดโยดาคืนพร่งนี้ที่ Le Petit นั่นเอง มีทั้ง slow มีทั้ง voice dialogue และมี rap ด้วย มีเวลาซ้อมและจำเนื้อเพลงอยู่ 1 วัน 1 คืน รวมท่าเต้นทั้งหลายแหล่ (ดูๆแล้ว ท่าเต้นนี่แต่ละคนจะวางแผนไว้จะ "สด" คืนนั้นมากกว่า)

อ.ประสาทมากระซิบผมบอกว่า "หมอๆ หมอช่วยไปประชาสัมพันธ์อย่างลับๆให้หน่อยนะครับ"

อืม......................................

อืม....................

อืม.........

ตกลง แกบอกให้ผมป่าวประกาศ หรือเก็บเป็นความลับกันแน่ละหว่า?

หมายเลขบันทึก: 105957เขียนเมื่อ 24 มิถุนายน 2007 17:54 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 19:10 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท