พุทธะปัญญาจึงสำคัญยิ่ง มองมุมนี้อาจจะสำคัญที่สุด (รึเปล่า?) เพราะเป็น safety value ที่ทำให้มนุษย์ลองผิด ลองถูก กล้ากระทำ ไว้วางใจได้ ต่อเมื่อเราพัฒนาสภาวะจิตอันรุ่มรวยความเป็นไปได้ (prosperity mentality) ไม่ได้ติดขัดอยู่ในสภาวะจิตขัดสน (poverty mentality) เมื่อนั้นชีวิตอันมีความหมาย เมื่อนั้นจินตนาการ intuition หรือญาณทัศนะ จึงมีพื้นที่ที่ผุดบังเกิดได้ กล้าออกจากไข่แดงไปได้ ขยายวงไข่แดงให้ใหญ่ขึ้นๆ ไม่เกรงกลัวต่อความเป็นไปได้
อาจารย์ครับ ของจริงไม่ต้องปั่นครับ ถ้าอ่านแล้วไม่รู้ว่าเป็นของจริง ก็ต้องเรียกว่าไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายนะครับ
ว่าแล้วผมก็ลิงก์ "ห่วยได้ ไม่ยี่หระ" ทั้งสองตอนไปแล้ว ไม่ได้เข้ากันกับบันทึกของผมได้ตรงๆ หรอกครับ เพียงแต่อยากลิงก์เฉยๆ อ่านแล้วสะใจดี
ลูกสาวผมเขาชอบน้ำป้่นทุกชนิดครับ ไปไหนก็ต้อง "ขอลอง" ไม่งั้นไม่นับว่า "ถึง"
ดีใจครับที่คุณ conductor ให้เกียรติ ยินดีที่่ร่วมสังฆกรรม "ห่วยได้ ไม่ยี่หระ" กำลังรณรงค์เรื่องนี้อยู่ครับ
ชีวิตคนเราจะอะไรกันนักหนา จะสมบูรณ์ถูกต้อง เก่งไปเสียหมดได้อย่างไรครับ แต่ที่น่ากลัวที่สุดคือการหลอกตนเอง พยายามจะเป็นในสิ่งที่ไม่ได้เป็น พยายามจะให้คนอื่นเชื่อในสิ่งที่ไม่จริง สร้างภาพ ประชาสัมพันธ์ในสิ่งที่ไม่ใช่ ผมคิดว่าเสียเวลาเปล่าครับ
ผมเห็นด้วยกับอาจารย์มากเลยครับ อ่านแล้วจึงสะใจมาก ขอบคุณสำหรับบันทึกประเทืองปัญญาตลอดมาเลยนะครับ
บันทีกใดๆ จะมีค่าก็ต่อเมื่อมีคนอ่าน และคนอ่านช่วยกันรับและมอบสิ่งที่มีความหมายให้กันและกัน
ขอบคุณครับ
สวัสดีค่ะอาจารย์คะ
อ่านบันทึกของอาจารย์มาตลอด แต่บางทีไม่ได้ฝากรอยไว้
สำหรับบันทึกนี้ อ่านแล้ว ขออนุญาต แสดงความเห็นส่วนตัวเล็กน้อย หากจะต่างจากอาจารย์บ้าง ขออภัยนะคะ
ปกติ ดิฉันเป็นคนจริงใจกับตัวเองมาก จนเกือบจะเรียกว่า มากไปด้วย นั่นคือความเป็นตัวตนแท้ๆ
แต่ ถ้าดิฉันต้องอยู่ในฐานะที่ต้องรับผิดชอบ ต่อคนอื่นๆมากหลายๆคน ดิฉันอาจต้องแสดงบทบาท ที่ต่างจากตัวตนแท้ๆออกไปค่ะ เพื่อคนอื่นๆ ที่เขาฝากชีวิตไว้กับเรา แม้บางทีไม่ชอบบทบาทใหม่เท่าไร ก็ต้องทำ และต้องทำให้ได้
ในขณะเดียวกัน ตัวเองก็มีเวลา และมุมของตัวเองอยู่แล้ว ที่จะเป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริง
บางครั้ง เป้าหมายชีวิตที่เรา ตั้งไว้ ทำให้เราต้องทำอะไรๆที่บางที ไม่ใช่ตัวตนของเราจริงๆด้วยซ้ำ แต่ความต้องการให้บรรลุเป้าหมายนั้นๆ เป็นแรงผลักอย่างสำคัญ ที่ทำให้ดิฉัน ซ่อนตัวตนจริงๆเอาไว้ภายในได้อย่างไม่ยากเย็นค่ะ และไม่เกิดทุกข์เลย เพราะ
เมื่อมีความสำเร็จส่วนตัวเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเรื่องอะไร ดิฉันจะปลื้มมาก
แล้วดิฉัน จะกลับมาที่ตัวตนของดิฉันใหม่ อย่างสบายใจขึ้นด้วยซ้ำ
แต่การเสแสร้งหรือ fakeอย่างที่ว่า ดิฉันใช้กับธุรกิจเท่านั้นนะคะ เฉพาะในบางสถานการณ์ เพื่อประโยชน์ทางธุรกิจจริงๆ
จะไม่มีการเสแสร้ง กับคนในครอบครัว ญาติๆ ผู้ร่วมงาน หรือเพื่อนๆในทุกวงการโดยเด็ดขาด และจะรังเกียจคนที่เสแสร้งด้วย จะหนีห่างไปไกลๆเลย
เพราะจริงๆแล้ว ดิฉันเป็นคนจริงใจมากๆ จนสมัยเมื่อเรียนจบใหม่ๆ....มีคนว่าหลายคน ว่าดิฉันเป็นคนไม่มีศิลปะ ในการเข้าสังคม
ในความเป็นจริงของดิฉัน ตัวเราก็คือตัวเรา เราก็ยังคงเป็นตามที่เราเป็น ยากที่จะเปลี่ยนเช่นเดิมค่ะ
สวัสดีครับ คุณ sasinanda
ยินดีทุกครั้งที่ได้อ่านคำคิดเห็นครับ สำหรับเรื่องแบบนี้ ความแตกต่างนำพาเอาความรุ่มรวยมาให้ ดีกว่ามีสภาวะจิตขัดสน
คำ "ตัวตนที่แท้" อาจจะเป็นแค่ semantic รึเปล่า? และ "อย่างไร" จึงจะเป็นแท้? ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องมีสัญญา เวทนา จึงเกิดชุมนุมเป็นจำได้หมายรู้ และมีสัญญาอะไรที่เป็น absolute authentic? เมื่อเราเรียกตนเองเป็น พ่อ พี่ น้อง ฉัน ลูก ที่บ้าน หรือ นาย ผม กระผม อั๊ว ที่ทำงาน ที่พักผ่อน? ตอนไหน และคำไหน ที่เป็น authentic?
ประเด็นที่น่าสนใจผมคิดว่า ไม่ว่าจะในบทบาทใดก็ตาม ทุกๆ volitional deeds จะก่อให้เกิด vipaka หรือวิบากกรรม สิ่งที่เราคิด สิ่งที่เราทำ ณ ต่างกรรม ต่างวาระ เป็นเมล็ดแห่งกฏแห่งกรรม ที่จะส่งผลต่อเราและคนรอบข้างในภายภาคหน้า เป็นแน่แท้ ประเด็นอยู่ที่ว่า เราจะกำลังเสแสร้ง หรือกำลังทำจริงก็ตาม กรรมดี กรรมไม่ดี มงคล หรืออัปมงคล ไม่ได้มีข้อยกเว้นในผลที่จะทำให้เราเป็นคนอย่างไรในอนาคตเลย
เราเป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้ทำไป ก็คงเท่านั้นกระมัง ที่ไม่เปลี่ยนแน่่ๆ ก็คือ "กฏแห่งกรรม" กระมังครับ?