Collective Karma, I in it, I in You


Collective Karma, I in it, I in you

อ่านหัวข้อเรื่องแล้ว อาจจะบ่งชี้ถึง mental state ตอนที่เขียนบทความนี้ได้พอสมควร คือ มีเรื่องของ chaos เรื่องของ Theory U เรื่องของการพยายามจะ make sense กับสิ่งที่พบ สิ่งที่ได้ยิน สิ่งที่กำลังจะประสบ และกำลัง summon เรียกสติสัมปชัญญะทั้งหมดมาช่วย เพื่อไม่ให้ตนเองพลาดจะอะไรที่กำลังจะได้เรียน ได้รู้ และซึมซับเป็นส่วนหนึ่งของตัวเองต่อๆไป

We cannot solve any problem with the same mental state as that creates it in the first place อัลเบิร์ต ไอสไตน์ กล่าวไว้

เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ดูเหมือนมี subplots แห่งความบังเอิญจำนวนมาก แม้กระทั่งเหตุการณ์ "จุดชะนวน" เช่น การลอบปลงพระชนม์ Prince of Austria ที่จุดชะนวนสงครามโลก มีคนตายนับล้านคน ดูจะเป็นเหตุการณ์ชิ้นเล็กๆ แต่ในอีกมุมหนึ่งนั้น subplots ต่างๆที่เข้ามาพัวพันสอดประสาน จนเกิดเป็นแรงที่ไม่สามารถจะหยุดยั้งได้อีกต่อไป

เรื่องบางเรื่อง อาจจะเร่ิมจากการที่ "อุปนิสัยเล็กๆ" สะสมเป็นความเคยชิน การดุด่าเด็กๆที่พูดจาสอดแทรกผู้ใหญ่ การ "ปราม" ผู้น้อยที่บังอาจพูดแทรกแซง การให้รางวัลผู้ติดตามที่เชื่อฟัง การโต้วาทีที่ให้รางวัลคนที่ "ปราบ" ความคิดคนอื่นลงไปอย่างราบคาบ concept การแข่งขันที่เน้นผลปลาย มากกว่าการเรียนรู้ขณะที่กำลังแข่ง เน้นชนะแพ้ มากกว่านำ้ใจนักกีฬาและการเคารพกฏกติกาการแข่งขัน ความดูเหมือนจะ "เท่ห์" ของ Last Man Standing ที่ได้กำราบคู่แข่งอื่นๆจนหมด กลายเป็น "อุปนิสัยใหญ่ๆ" คือ Intolerance to differences

และการที่ "อุปนิสัยใหญ่ๆ" ที่ว่านี้ ไม่ใช่จำกัดอยู่เพียงแค่ "ปัจเจก" แต่กระจายไปเป็นของ "สมุหะ" ซึ่งกฏแห่งกรรมนั่้น ไม่ได้จำกัดว่าจะเกิดวิบากปัจเจกเท่านั้น แต่ก็มี "สมุหะกรรม สมุหะวิบาก" ได้เช่นกัน อันความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยง หรือผลกระทบของปััจเจกต่อสิ่งแวดล้อมนั้น มีตั้งแต่ระดับหยาบ จนไปถึงระดับละเอียดอ่อน แต่ข้อสำคัญคือ "มันเกี่ยวเนื่องกัน" และเมื่อเรากำลังอยู่ในเหตุการณ์ระดับ "สมุหะ" นั้น เราอาจจะได้สังเกตเห็นความเล็กน้อยจ้อยกระจิดริดของตัวเราในคลื่นแห่งสังคม คลื่นแห่งองค์รวมที่กำลังพัดพาโหมกระหน่ำอยู่ แม้เราจะปลอบใจตัวเองใน "ห่วงชูชีพ" เล็กๆที่คาดพุงเราอยู่ แต่ถ้าเหลือบไปเห็น "สีนามิ" ที่กำลังใกล้เข้ามา สิ่งเดียวที่เราจะทำได้ก็คือ เปิดตา เปิดหู ให้กว้างๆ มองให้ละเอียด จดจำ ศึกษา และทำจิตใจให้บริสุทธิ์ที่สุด เท่าที่เป็นไปได้ เพื่อให้ภพภูมิใหม่หลังจากสึนามิแห่งวิบากนั้นเป็นภพภูมิอันเป็นสิริมงคล

ในเหตุการณ์ใหญ่ๆนั้น เป็นโอกาสที่เราจะได้ "ทดสอบ" สติ การควบคุมตนเองของเรา เพราะตอนอื่นๆนั้นมันง่ายมากที่เราจะคุม เช่น ตอนลูกทำแก้วหล่นแตก ตอนน้องแย่งดินสอ ตอนภรรยาแย่งดูรายการทีวี เรากระหยิ่มใจที่จิตยังนิ่ง ยังสงบ นั่นคือ สงบในระดับปัจเจก

แต่ในสภาวะสงคราม ภาวะบ้านเมืองไม่สงบ ภาวะ unrest ในสังคม ตอนนี้ที่อารมณ์เราจะเป็นเช่นไร เป็นเรื่องอีกเรื่องหนึ่ง เราจะ "กล้า" ปลดปล่อยผัสสะ และสฬานตนะของเราไปรับรู้เพื่อจะทดสอบสติ ความคิด การใคร่ครวญของเรา หรือจะหด recoil กลับเข้าสู่ "ไข่แดง" หรือ safe zone ของเราเอง ยอมไปหมกมุ่นกับอะไรบางอย่างในโลกส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวข้องกับ "โลกีย์" เป็น sanctuary ส่วนตัวชั่วคราว

ใน step แรกที่เราจะหลุดจากความคุ้นชินเดิม เจออะไรก็ download มาทุกอย่าง (I in Me) ก็คือการพัฒนา non-judgemental attitude ก็คือการ OPEN MIND หรือ I in It การมองเห็นโลก และสิ่งแวดล้อม "อย่างที่มันเป็น" โดยปราศจากอคติ

เราอาจจะเริ่มถามตัวเองด้วยคำถามง่ายๆคือ "เราจี๊ดไหม" เมื่อได้ยินเรื่องอะไร คำว่าอะไร ชื่อใคร ขึ้นมา โดยยังไม่ต้องคิดอะไรต่อ อาการ "จี๊ด" นี้แปลว่า short-cut ของ judgmental attitude ยังทำงานอย่างเข้มข้น และ voice of judgement นี้เอง เป็นกำแพงสำคัญของการทำ open mind ถ้ายังจี๊ด ยังตะครั่นตะครอ สะอิดสะเอียน คลื่นเหียน ขนลุกอยู่ ก็จะตระหนักไว้เถิดว่า ณ ขณะนั้น เราอาจจะกำลังไปอยู่ใน Inverted U ขาขึ้น คือ One Us/ One Them ไม่พวกกู ก็พวกมึง ไม่มีดินแดนปลอดภัยหลงเหลืออยู่เลย

อย่าว่าแต่การ open mind นี เป็นแค่ "ด่านแรก" ซึ่งไม่ง่าย เพราะเราเติบโตมากับ "อุปนิสัย" ชอบตัดสินเรื่องราวต่างๆ เราชอบ "มั่นใจ" มากกว่า "ไม่มั่นใจ" เราชอบ "รู้แนวทาง" มากกว่าการ "ไม่แน่ใจ" จนแม้กระทั่งตอนที่เราไม่มั่นใจหรือไม่แน่ใจ แทนที่จะยอมรับเราจะยอมแม้แต่หลอกตัวเองว่าเรามั่นใจและรู้แนวทางว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น

ยิ่งด่านต่อไปที่เราจะต้องใช้เผชิญกับ "สมุหะวิบาก" คือ I in you หรือ state of Open Heart

ในระยะหนึ่ง เราอาจจะพบตัวเองในสถานการณ์ที่น่ากลัวก็คือ พบว่า เราไม่สามารถหาหนทางที่จะไว้วางใจใครได้เลย เป็นอะไรที่มืดมน เป็นอะไรที่ "ใจเราปิด" อย่างสิ้นเชิง 100% และการ "หาทางออก" นั้นก็เป็นไปไม่ได้เลยในสถานการณ์ที่ว่านี้ สิ่งที่เราจะใคร่ครวญได้ในขณะนี้ก็คือ มัน "ไม่มีทางเลือก" จริงๆหรือ หรือว่าทางเลือกนั้นมันอยู่ใน blindspot ของเราเอง?

ดูเป็นกลไกที่ต่อเนื่องมาจากอุปสรรคแรก คือ การด่วนตัดสิน การจี๊ด แต่อันนี้จะผสมกำแพงที่สอง คือ Voice of Cynicism มาด้วย ความคลางแคลงใจ ไม่ไว้วางใจ ปิดใจ

Collective Karma & Collective Vipaka

ทฤษฎีควอนตัมพูดถึง "ความสัมพันธ์" ของอนุภาคพื้นฐานที่ค่อนข้างมหัศจรรย์พันลึก เมื่อไรก็ตามที่อนุภาคหนึ่งไปมี relationship กับอีกอนุภาคหนึ่ง หลังจากนั้น bonding ที่ว่านี้จะเสมือนอะไรที่โยงใยไปตลอด ไม่เกี่ยวกับระยะทางหรือเวลา เหมือนมี superstring มาเชื่อมโยง เกิด flow เกิดการไหลของเหตุการณ์ต่่างๆ อันสอดคล้องกลมกลืน

ลองพิจารณาคำ "What if........." สำหรับเหตุการณ์ใหญ่ๆ เหตุการณ์ไหนก็ได้ ปรากฏว่า turn of events ต่างๆนั้น เต็มไปด้วย "วาระที่สุกงอม" ของเหตุการณ์เล็กๆจำนวนมาก จนเราบางครั้งต้องอุทานอย่างไม่เชื่อว่า ลมปีกผีเสื้อจะเกิดเป็นพายุเฮอริเคนในภายหลัง

เหตุการณ์ประเภท

การตัดบทสนทนาไม่ฟังของพ่อกับแม่

การได้รางวัลโต้วาที

ความเสียใจจากการพ่ายแพ้การถกเถียง

การเกิดสถานะในสังคม

การกลัวการสูญเสีย

ฯลฯ

เกิด "เกลียวพลวัตร" ที่กำลัง "สุกงอม" ต่อหน้า ต่อตา

หมายเลขบันทึก: 204468เขียนเมื่อ 30 สิงหาคม 2008 20:33 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 01:49 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

ขอคารวะเจ้าค่ะอาจารย์หมอสกล

อ่านแล้วยิ่งเห็นความสำคัญในการแก้นิสัยแย่ ๆ ที่กลายเป็นความเคยชินของตัวเอง

ขอบคุณจริง ๆ ค่ะ สำหรับบันทึกนี้ที่ให้สติอย่างดียิ่ง..^__^..

ถ้ามีการเขียนอีกเวอร์ชั่นที่ใช้ภาษาที่ทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจง่าย ๆ แล้วเผยแพร่ออกไป น่าจะเป็นประโยชน์นะคะ

สวัสดีครับ คุณใบไม้ย้อนแสง  P

อืม... เขียนได้ version เดียวแหละครับ ผมว่าเดี๋ยวนี้ประชาชนเข้าใจอะไรง่ายอยู่นา เห็นการบริโภคข่าวสารเป็นไปอย่างเข้มข้น ผมเองยังบริโภคไม่ทันเขาเลย

ยินดีที่ได้เจอกันบนเครื่อง TG. นะครับหมายถึงว่ามีวาสนาต่อกันแล้วนะครับ

19651  
ขอบคุณมากครับ

 

มาอีกรอบค่ะอาจารย์หมอสกล..

ใบไม้ย้อนแสงอาจเอาตัวเองเป็นเกณฑ์มากไปก็ได้ค่ะ คือตัวเองไม่ค่อยมีความรู้มากนัก และภาษาอังกฤษก็ไม่ค่อยแข็งแรง รู้สึกว่าต้องใช้ความพยายามทำความเข้าใจบันทึกนี้อยู่บ้าง แต่เมื่อผ่านความพยายามไปได้ ก็ได้รับเนื้อหาที่มีคุณค่ามาก

ไม่กดดันค่ะ ไม่กดดัน เขียน version เดียวก็ได้ค่ะ แค่นี้ก็ยอดเยี่ยมมากแล้วค่ะ ..^__^..

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท