เมื่อไรก็ตามที่ผมได้มีโอกาสไปร่วมกิจกรรมกับคนในโรงพยาบาลต่างๆ จะมีสิ่งที่หนึ่งที่ตั้งอกตั้งใจมองหาตลอดก็คือ "กลุ่มจิตอาสา" ของโรงพยาบาลนั้นๆ และไม่เคยผิดหวัง เพราะทุกที่มีหมด และที่มีก็คล้ายๆกับที่คาดหวังไว้่เสมอก็คือ "เจอเมื่อไรก็เป็นสิริมงคลต่อชีวิตเมื่อนั้น"
จิตอาสานั้น ไม่ได้สำคัญเพียงแค่ "กิจกรรม" หรือการกระทำ แต่เป็นการเชื่อมโยงทั้งการกระทำกับ "จิต" เข้าด้วยกัน เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะในยุคนี้ มันอยู่ในยุคกำ้กึ่งระหว่าง marketing 2.0 กับ marketing 3.0 (ส่วนใหญ่จะอยู่ในอันแรก) อยู่ในยุคที่บางคนบอกว่า "ปลาเร็วกินปลาช้า" คนเรานับวันจะยิ่งลุกๆลนๆยุกๆยิกๆ น่ิงไม่เป็น ปากเร็ว ไม่สะท้อนแต่โพล่ง (not respond but react) จิตอาสาจึงเป็นการ "ภาวนา" แบบหนึ่ง และเมื่อเป็นการภาวนา เราจึงต้องหา "สัปปายะ" (ปัจจัยอันอุดมเอื้อต่อการภาวนา) และผมคิดต่อไปอีกว่า แค่นี้อาจจะไม่พอ เราอาจจะต้องมองหาและระแวดระวัง "ปัจจัยอันไม่เอื้อต่อการภาวนา" ด้วย เพราะลำพังเราอยู่ในที่สัปปายะก็จริง ทว่าเต็มไปด้วยปัจจัยอันเป็นอุปสรรค มันก็จะถ่วงกัน ดึงกัน
สิ่งที่พึงตระหนักก็คือ เหล่านี้เป็น "ปััจจัยที่เอื้อ" ต้องมี "สารตั้งต้น (substrate)" ในที่นี้คือ "จิต" ที่จะเป็นผู้ภาวนาด้วย ไม่เพียงเท่านั้น มีจิตก็แล้ว มีปัจจัยก็แล้ว ยังต้องมี "intention" เจตจำนงที่จะภาวนา จึงจะเชื่อมจิตเข้ากับบริบทและออกมาเป็นการกระทำ
สองปีที่แล้ว ผมได้รับเชิญไปเข้าร่วมกิจกรรมสร้างสรรค์และส่งเสริมมิตรภาพบำบัดในหลากหลายที่ คำถามยอดฮิตข้อหนึ่งก็คือ "ทำอย่างไรเราจะมีอาสาสมัครเยอะๆ" บางทีก็ไปเปรียบเทียบกับที่อื่นๆ ที่มากกว่าบ้าง ดีกว่าบ้าง หรูหรา มีประสิทธิภาพ มีผลงานมากกว่าบ้าง ผลงานโด่งดังออกโทรทัศน์วิทยุบ้าง ฯลฯ และเป็นไปตามความคาดหมาย ก็คือการเปรียบเทียบเป็นอะไรที่ทำให้จิตตกได้ง่ายและรวดเร็วที่สุด
ผมเคยคุยกับ Dr Sureth Kumar ผู้เป็นหัวหน้ากลุ่ม palliative care ในรัฐคาเรรา ประเทศอินเดีย แกมีโปรแกรม COPP (Community-owned palliative care programme) หรือการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่ทำโดยชุมชนเองในพื้นที่ของแก (ประชากรไม่มาก ไม่น้อย แค่ 35 ล้านคนเท่านั้น!) โปรแกรมนี้ทำโดยคนในพื้นที่ที่เป็นอาสาสมัครเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ประหยัดงบประมาณ และเกิดชุุมชนที่มีความรู้ ทักษะ และเหนืออื่นใดคือ "ใจ" ที่จะดูแลซึ่งกันและกัน อาสาสมัครทุกคนมีงานมีการประจำทำ บางคนอาจจะว่างอาทิตย์ละชั่วโมง บางคนก็เดือนละวันสองวัน แกเอาหมด อายุมีตั้งแต่หนุ่มๆสาวๆไปจนถึงคนอายุมาก แต่ส่วนใหญ่จะเป็นวัยทำงานทั้งนั้น
"จิตอาสา" นั้นสำคัญที่เขาอาสามาแล้ว นั่นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
คนเรามี "วาระ" ไม่เท่าเทียมกัน วาระในที่นี้หมายถึง "หน้าที่" งานประจำหรือต่อตนเองและครอบครัว แต่สำคัญที่ถ้า "พอว่างแล้ว" ทำอะไร ในกลุ่มจิตอาสา เขาว่างแล้วไปช่วยเหลือคนอื่น
จิตอาสาเป็นการภาวนา เป็นการให้ความหมายของชีวิตของปัจเจก ดังนั้นจึงเปรียบเทียบไม่ได้ จิตที่เจริญจากการเป็นอาสาสมัครนั้น จะเจริญแค่ไหน มีแต่เจ้าของจิตที่รับทราบ รับรู้ ให้่ความหมาย และเรียนไปกับสิ่งที่เกิดขึ้นเท่านั้น
คนอื่นๆไม่ต้องไปพยายามวัด เปรียบเทียบ คำนวณ เพื่อจะ rank เพื่อจะให้คะแนน เพื่อจะอะไรทั้งสิ้น
แน่นอน ถ้าเราได้ไปเห็นชุมชน หรือสังฆะที่มีจิตอาสาอันอุดม ใครๆที่มีนัยน์ตา ก็จะอยากมีบ้าง อยากจะให้ชุมชนของเรามีแบบนั้นบ้าง เป็นกุศลทิฎฐิ สิ่งที่เราพึงทำก็คือมองหาว่า "ปัจจัยเอื้อต่อการภาวนา" ในชุมชนของเรานั้นมีอะไร ขาดอะไร หรือในทำนองกลับกัน "ปัจจัยอุปสรรคต่อการภาวนา" ในชุมชนของเรานั้นมีอะไร หรือขาดอะไร
ในการฝึกอบรมแพทย์นั้น ผมว่านำเอาเรื่องนี้มาใช้ได้
บรรยากาศการเรียน การสอน การแสวงหาความรู้สำหรับนักเรียนแพทย์นั้นเอื้อต่อการภาวนามากน้อยเพียงไร?
ดินอันอุดมแห่งการเพาะปลูกต้นจิตตปัญญานั้น ไม่เพียงแต่เราจะต้องทะนุถนอมสัปปายะ แต่เราต้องมองหา "วัชพืช" ที่จะขวางกั้นการงอกงามของต้นจิตตปัญญาให้ดี มิเช่นนั้น จะใส่ปุ๋ย จะติดตา ต่อต้น ปักชำ เอาต้นงามๆมาปลูกเพียงไร แต่มลภาวะเป็นพิษ วัชพืชก็มาก ก็คงจะงอกยาก ไม่ว่าเราจะอยากให้งามเพียงไร แต่มันก็จะขึ้นกับ internal conditions ของคนปลูก ของสถานที่ปลูก ของสิ่งแวดล้อม เหมือนๆกับสวนทั่วๆไปด้วย
เชื่อในเรื่อง"สัปปายะ" ที่อาจารย์กล่าวมา
ในการ round หากอาจารย์เมตตา ต่อแพทย์ประจำบ้าน
แพทย์ประจำบ้าน มีเมตตาต่อ Extern
Extern มีเมตตา ต่อนักศึกษาแพทย์
บรรยากาศเช่นนี้..
ว่าที่แพทย์รุ่นใหม่น่าจะมีแนวโน้ม เมตตา ต่อผู้ป่วย มากกว่า
บรรยากาศ รับประทานหัวกันเป็นทอดๆ คะ :-)