ฟังเสียงภายในให้ได้ยิน


VOICES

เคยรู้สึกอย่างนี้ไหมครับ รู้สึกว่าพอจะทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ตัดสินใจไปแล้ว ก้เหมือนกับมีเสียงกระซิบ หรือความรู้สึกข้างในที่ไหนสักแห่งบอกว่า "ไม่อยากทำเลย" "เอ.... จะดีหรือนี่" แล้วเราก็อาจจะสลัดความคิดนั้นทิ้งไป หรืออาจจะยัลยั้งการตัดสินใจ ไม่ทำดีกว่า ตามเสียงนั้นแทน

 บางคนก็บอกว่านี่ก็เป็นแค่ "ความไม่มั่นใจ" ธรรมดาๆ เกิดขึ้นได้ทั่วๆไป แล้วพวกเราเคยรู้สึกไหมครับว่า เวลาเลื่อนตำแหน่งการงาน หรือจะเปลี่ยนงาน ตัวเราเองเหมอืนกับจะแตกออกเป็นส่วนๆ มองเห็นทั้งบกว ทั้งลบ ทั้งไม่แน่ใจ ทั้งอยากจะเลิกคิด เลิกตัดสินใจมันเสียเลย

ตั้งแต่เราเติบโตมา เรามีการเรียนรู้มากมายหลากหลาย และเกิดขึ้นตลอดเวลา การเรียนรู้เหล่านี้จะมีการ ให้คุณค่า ของสิ่งต่างๆ ของพฤติกรรมต่างๆตลอดเวลา อย่างนี้ดี อย่างนี้ไม่ดี อะไรที่ไม่ดีก็จะมี signals หลายๆอย่าง เช่น พ่อแม่ดุ ไม่ให้ทำ หรือให้เหตุผลต่างๆนานาว่าไม่ดีอย่างไร เป็นทั้งคุณค่าทั่วๆไป เช่น การไม่โกหก การเอื้อเฟื้อเผิ่อแผ่ ไปจนถึงคุณค่าเฉพาะเช่น การเอารัดเอาเปรียบ การเห็นแก่ตัว ของที่เรา จัด ว่าไม่ดี เราก็จะไม่เอามาใช้อีก ของที่เรา จัด ว่าดี เราก็นำมาใช้บ่อยๆ กลายเป็นบุคลิกนำของเราเอง

คุณสมบัติบางประการที่เราได้จัดว่าไม่ดีไปแล้ว เวลามีคนเอาไปใช้ เราก็จะรู้สึกไม่พอใจ และรู้สึกคุกคามเมื่อคนที่ใช้บุคลิกนั้นๆต้องมาอยู่ใกล้ๆเรา หรือมีปฏิสัมพันธ์กับเรายิ่งก่อให้เกิดความไม่สบายใจมากขึ้นอีก

แต่เราเคยพิจารณาหรือไม่ว่า บุคลิกบางอย่าง ของบางอย่างที่เราได้ ปฏิเสธ ไปนั้น อาจจะมีคุณค่าของมันเองอยู่บ้างก็ได้ และเมื่อคนอื่นใช้ในลักษณะของคุณค่านั้นๆ เขาก็จะสามารถทำอะไรต่อมิอะไรได้มากกว่าเรา ทั้งๆที่เราเองถ้ายอมใช้คุณค่านั้นๆ เราก็อาจจะทำได้เช่นเดียวกัน

แน่นอน เราคงจะไม่ใช้วิธีการที่ผิดคุณธรรม ศีลธรรม ที่เราได้ จัดว่าไม่ดี เพียงเพื่อจะได้ประโยชน์เข้าตัวเอง แต่ของบางอย่างมันไม่ได้เป็น absolute bad หรือ absolute immoral และจริงๆแล้วของส่วนใหญ่ต้องอาศัย บริบท จึงจะบอก moral value นั้นได้

ถ้าเราสามารถพัฒนากระบวนคิด โดยไม่มีอะไรที่เป็น automatic label ไปว่านี่ดีแน่ๆ อันนี้เลวแน่ๆ เราจะพบว่าพฤติกรรมหลายๆอย่างของเราอาจจะมีการตอบสนองที่หลากหลายมากขึ้น ในตันตระวชิรญาณ มีการพูดถึง dualism หรือทวิสภาวะ ของสิ่งต่างๆ

บางทีเสียงกระซิบที่เกิดขึ้นมานั้นคือ voice ของ self เก่าดั้งเดิมที่เรา disowned ไปนานแล้ว อยากจะส่งเสียงว่า เราอยู่นี่ๆ ใช้เราด้วย ก็เป็นไปได้ ศักยภาพของคนเราก็อาจจะเพิ่มมากกว่าเดิมได้อีก

ใช่หรือไม่?

คำสำคัญ (Tags): #dialogue#dualism#voices
หมายเลขบันทึก: 89069เขียนเมื่อ 8 เมษายน 2007 00:42 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 18:06 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)
อยากแบ่งปันประสบการณ์ของตัวเอง เพราะเป็นคนชอบทำบุญ เนื่องจากวันหนึ่งได้ไปแถวท่าน้ำศิริราช และบังเอิญผ่านไปพบกับ ชายพิการขาลีบ คนหนึ่ง ใส่เสื้อเหลือง (เราจะทำความดีเพื่อในหลวง) แขวนป้ายบอกว่าเป็นคนพิการ ยืนอยู่ที่ประตูทางเข้า ร.พ.ศิริราช ใกล้กับท่าน้ำ ขาของเขาเดินไม่สะดวก ต้องใช้ไม้เท้าคอยค้ำยันพยุงร่างเวลาเดิน เขาบอกกับเราว่า "มาโรงพยาบาลมีเงินติดตัวมานิดหน่อยและจ่ายค่ายาไปหมดแล้ว ตอนนี้หิวข้าวแต่ไม่มีเงินจะซื้อข้าวกิน ขอเงินซื้อข้าวกินได้ไหมครับ" เราบอกว่า "ได้ เดี๋ยวจะพาไปกินข้าวที่ร้านอยากกินอะไรล่ะจะซื้อให้" ชายพิการกลับปฏิเสธความปรารถนาดีของเรา เราก็เลยงง?? ก็ไหนว่าหิวข้าวแต่ไม่มีเงินซื้อข้าวกิน พอเราจะซื้อให้กลับปฏิเสธเฉยเลย ทำให้เรารู้ว่าเขาไม่ได้ลำบากจริง แต่เขาอาศัยความพิการและนิสัยขี้สงสารของชาวบ้านมาหากินหลอกขอเงิน
ต่อมาอีกหลายวันเราไปเดินแถวท่าน้ำศิริราชอีก เราก็ได้พบกับชายพิการคนนี้ กำลังคุยกับเจ้าของร้านโทรศัพท์แถวท่าน้ำ เขาเอาโทรศัพท์ออกมาอวด เราเห็นแล้วโอ้โห! ใช้โทรศัพท์มือถือหรูและแพงกว่าของเราอีก เราทราบภายหลังว่าชายพิการคนนี้ยังคงทำมาหากินอยู่แถว ๆ โรงพยายาบาลศิริราชทุกวันด้วยการโกหกว่าไม่มีเงินซื้อข้าวบ้าง ไม่มีเงินค่ารถกลับบ้านบ้าง ดังนั้น จึงขอเตือนเพื่อน ๆ ว่าบางทีความสงสารคนพิการของเราซึ่งเป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องเลือกพิจารณาในการช่วยเหลือเขาสำหรับคนที่ลำบากจริง ๆ การให้เงินไม่ควรให้เพื่อตัดความรำคาญหรือเห็นว่าสะดวกไม่ต้องเสียเวลา แต่ควรให้ในสิ่งที่เขาต้องการจริงๆ เช่น หิวข้าวก็ซื้อข้าวให้กินเลยจะดีกว่า

โลกยุคนี้ลำบากจริงๆเลยนะครับ อย่างที่คุณ gg ว่า เราพอจะมีทาง "เยียวยา" หรือจะ "สร้างภูมิคุ้มกัน" จิตเมตตา จิตกรุณา ของเราแบบนั้นได้หรือไม่ และอย่างไร?

ตั้งแต่สมัยอริสโตเติล (ที่ได้มีบันทึกถ่ายทอด) ก็มีคนพยายามค้นหาว่า "goodness" นั้น คืออะไร และเป็นสากล (universal) ไหม ถ้ามีความดีสากล สิ่งนั้นคืออะไร เป็นคำถามที่ยิ่งใหญ่ สำหรับบางคนถึงกับใช้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ให้ความหมายของชีวิตเลยทีเดียว

Immanuel Kant นักคิด นักปรัชญาชาวเยอรมันอีกท่านก็พยายามวิเคราะห์ จัดหาความหมาย เรื่องของความดี เรื่องของหน้าที่ ไว้ลึกซึ้ง

บางทีก็มีคนแนะไว้อย่างนี้ครับ

การทำความดี นั้นไม่ได้อยู่ที่ผลลัพธ์เสียทีเดียว แต่อยู่ที่ จิตตอนกระทำ ตอนนั้นที่เราจะ ได้ มากที่สุด จิตที่บริสุทธิ์ จิตที่มีเมตตากรุณา หวังดีอยากให้คนอื่นพ้นทุกข์ จิตตอนนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรก็ตาม ตัวเราเองจะได้อานิสงค์มาเรียบร้อยแล้วทันที ถ้าในศาสนาพุทธ เราก็ได้บ่มเพาะ หว่านเมล็ด สร้างบารมีขึ้นมาแล้ว ตอนกระทำนั่นเอง

ส่วนทำไปแล้ว เช่น บริจาคเงินเข้าวัด สร้างโรงเรียน ให้โรงพยาบาล ฯลฯ แล้วคนรับเงินเอาไปแทงหวยเล่นพนันบ้าง วัดโกงไปบ้าง โรงเรียนไม่ได้เอาไปพัฒนาการเรียนการสอน ไปทำกิจกรรมอื่นๆบ้างนั้น เป็น ผลที่คาดหวัง และมีโอกาสที่จะผิดหวังได้เสมอ แม้ว่าเราจะพยายามสืบเสาะ หาข้อมูลเป็นอย่างดี แต่นั่นก็แปลว่าเราจะต้องเจียดเวลาของเราก่อนทำบุญทุกครั้ง และผลที่ได้ก็ยังไม่การันตีอยู่ดี เพราะเรื่องแบบนี้บางทีมันซ่อนอยู่ภายหลังใบหน้า ซึ่งไม่มีมาตรวัดความคิด

ย้อนกลับมาเพื่อเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกับหัวข้อของเรา เสียงภายใน คือ self ของเรา คือ aware ego ของเรานี้ที่ปราถนาจะให้เรา ได้ยิน และให้ความสำคัญ ในเรื่องทำบุญนี้ก็เหมือนกัน การเป็นห่วงกังวลว่าจะถูกหลอก ถูกโกงหรือไม่ เป็น operating self กำลังทำงานอยู่อย่างเต็มที่ จิตที่ประสงค์จะทำดี (dualistic self ของการกลัวถูกโกง) ก็จะถูก take over หรือมองข้ามไป ถ้าฝ่ายกลัวถูกโกงลงเอยได้รับความสำคัญมากกว่า เราก็จะพัฒนาไปในทางที่พยายามป้องกันการถูกหลอกถูกโกง มากกว่าพยายามทำบุญทำทาน

อันนี้คงจะเอาไว้ใช้ในกรณีที่เราทำแล้ว เกิดตะหงิดๆ แล้วมันไม่มีทางพิสูจน์ได้ อาจจะมีประโยชน์นำมาดัดแปลงเพื่อที่จะช่วยให้เราสามารถทะนุถนอมจิตเมตตากรุณาอันบริสุทธิ์ตอนทำบุญนั้น ไม่ให้เศร้าหมอง หรืออย่างน้อยให้เกิดจิตกุศลเต็มที่ ก็ได้ครับ ที่ตรวจสอบได้ก็คงจะตรวจสอบไปด้วย ตรวจไม่ได้ก็ขอให้มีความอิ่มเอมในจิตกุศลของเราเองไปเถิด

เขียนเสร็จก็ได้อ่านเจอตัวอย่างมหัศจรรย์ล้ำลึกทันที

การสื่อสารที่เราทราบๆกันอยู่นี้ คือ รูป รส เสียง สัมผัส กลิ่นนั้น มีข้อจำกัดเยอะครับ ไม่เพียงแต่เพียงเท่านั้นทั้งๆที่มีข้อจำกัดเยอะ เรายังไม่ได้ใช้อย่างเต็มที่ด้วย

ในบทความนี้ คุณพยาบาลเกิดการ สนทนา ภายใน เป็น voices ที่มีความเห็นแตกต่างกัน สิ่งเหล่านี้เกิดกับทุกคนนะครับ บางคนเรียกเป็นการคิดใคร่ครวญ บางคนเรียกเป็นการสนทนา บางคนเรียกเป็นสุนทรียสนทนากับตนเอง (voice dialogue) ซึ่งมีคนศึกษา ค้นคว้า และทดลองใช้จนกลายเป็นหลักสูตรมีที่ใช้หลากหลาย คืออะไรก็ได้ที่เป็นการพัฒนาตนเอง รู้จักตนเอง เพิ่มศักยภาพให้ตนเอง หรือใช้เป็นเครื่องมือหนึ่งของการทำจิตบำบัด สมาธิบำบัด หรืออะไรทำนองเดียวกัน คิดค้นออกมาโดย Dr Hal Stones และ Dr Sidra Stones เป็นสายจิตวิทยาของ Carl Jung (ใครเป็นฝั่ง Freudian อาจจะเริ่มไม่ชอบแล้วก็ได้นะครับ ไม่เป็นไร) มี workshop การทำ voice dialogue มากมายหลายๆประเทศ หรือเป็นหลักสูตรของภาควิชาประเภทจิตวิทยาก็มี

การสื่อสารกับ "เสียงภายใน" บางครั้งก็มีค่าควรที่เราจะรับฟังไว้เหมือนกัน บางเรื่องราวเป็นสิ่งที่เราเก็บกดโดย operating self มานาน เพราะไม่ชอบ เพราะเกลียด ก็เปรียบเสมือนไพ่เต็มสำรับแต่เราทิ้งบางใบไป เพราะไม่ชอบ เราก็จะเล่นไพ่สำรับชำรุดนี้ไม่ได้ทุกแบบ ไม่ได้ทุกสถานการณ์ ทำให้เกิดข้อจำกัดของศักยภาพที่แท้จริงของมนษย์ไป เสียงภายในที่ถูกกดเก็บไว้นี้ จะโหยหาเราเป็นพักๆ เมื่อมีช่องทาง

แค่ฟังไว้บ้าง คงไม่เสียหายกระมัง?

  • น่าสนใจสิ่งที่คุณหมอบันทึก ผมไม่ทราบว่าคุณหมอเขียนมาจากรากฐานของวิชาการแพทย์(ซึ่งไม่ค่อยได้ยินคุณหมอท่านไหนกล่าวเรื่องเหล่านี้) หรือทางศาสนาปฏิบัติ หรือจากทางใดครับ  แต่ไม่สำคัญเท่ากับว่าเรายอมรับว่ามันมี Voices นี้หรือเปล่า
  • ผมเคยผ่านการปฏิบัติธรรมสายหนึ่งซึ่งตระหนักในเรื่อง Voice dialogue นี้มาก เป็น Inner voices ของเรา
  • นอกจาก voices แล้วยังมี light อีกด้วยครับ หากท่านใดปฏิบัติจนพบสองส่วนนี้นับได้ว่าสัมผัสความจริงด้วยตัวเอง  ผมเองชอบการปฏิบัติธรรมสายนี้มากครับ ท่านสอนว่าเมื่อพบแล้วสัมผัวแล้วก็ไม่ควรไปคุยโอ้อวดให้ใครต่อใครทราบ ให้เห็นเองรู้เองตระหนักเอง มันเป็นสิ่งวิเศษจริงๆครับ
  • ผมไม่ทราบว่าทางการแพทย์ค้นคว้าเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน และมีคำอธิบายอย่างไร นอกเหนือจากที่คุณหมอได้กรุณาอธิบายมาแล้วครับ

อาจารย์บางทรายครับ

เท่าที่ผมทราบ voice dialogue เป็น course subspecialist ของสาขาจิตวิทยา และจิตเวชศาสตร์ และบางคนนำไป apply กับการทำ psychoanalysis และ psychotherapy ครับ

ผมนำมาดัดแปลงการสอนเรื่อง principle of autonomy และการ respect autonomy ของผู้ป่วย ในวิชาจริยศาสตร์ และ palliative care เพราะรู้สึกว่าไปด้วยกันได้อย่างแนบเนียนไร้ตะเข็บ (seamlessly) ครับ

ยังไม่ได้ปฏิบัติจนบรรลุธรรมแต่อย่างใดครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท