นครปักกิ่งเป็นเมืองหลวงของจีน มีดอกโบตั๋นเป็นดอกไม้ประจำชาติ ปักกิ่งถูกตั้งขึ้นเมื่อ คศ. 1949 มีพื้นที่ 16,808 ตารางกิโลเมตร ด้านหน้าเป็นแม่น้ำ หมายถึงความอุดมสมบูรณ์ ความร่ำรวย ด้านหลังมีภูเขาเหลียงซาน เพื่อปกป้องศัตรูรุกราน ซึ่งถือว่านครปักกิ่งมีฮวงจุ้ยดีมาก เป็นรูปมังกร ซึ่งหัวมังกรคือพระราชวังต้องห้ามและจัตุรัสเทียนอันเหมิน คอมังกรคือ หอชัยชนะ (ประตูชัยชนะ) หางมังกรคือ กำแพงเมืองจีน ( 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก) เล็บมังกรคือ หอฟ้าเทียนฐานและพระราชวังฤดูร้อนหรือพระราชวังพระนางชูสีไทเฮา
เมืองปักกิ่งมีประชากร 14 ล้านคนมี 4 ฤดู คือ ร้อน ใบไม้ร่วง ใบไม้ผลิ หนาว อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปี 11.6 c° เดือน กค.ร้อนที่สุด 40 c° เดือน มค. หนาวที่สุด - 17 c° ใช้เงินหยวน ( 1 หยวน= ~4.8 บาท) คนจีนเชื่อเรื่องฮวงจุ้ยมาก จะดูฮวงจุ้ยก่อนทำการค้าขาย ถนนสองข้างทางปลูกต้นหยางแถวนอกและต้นหลิวแถวในเป็น หยิน – หยาง ถือเป็นฮวงจุ้ย นิยมปลูกซ้อนกัน 2 แถว ในถนนวงแหวนรอบนอกปลูกต้นหยางตลอดสองข้างทางดูแล้วนึกถึงถนน ลำพูน – เชียงใหม่ ที่ปลูกต้นยาง สวยงามมาก
ปักกิ่งในยุค 2007 นี้มีแต่สิ่งก่อสร้างมากมายเกิดขึ้น ซึ่งเป็นนโยบายเปิดประเทศของผู้นำและรองรับโอลิมปิกที่จะมาถึง มี “ ถนนคนเดิน” ซึ่งขนาบไปด้วยห้างสรรพสินค้าสองข้างทาง กลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองปักกิ่ง ถ้าใครมาก็ต้องมาเดินและถ่ายรูปที่ถนนนี้ มี “ถนนการเงิน” ซึ่งเป็นที่ตั้งของธนาคารกว่า500 แห่ง จึงทำให้ปักกิ่งยุคนี้เปลี่ยนไป
วิถีชีวิตของคนจีนปักกิ่งรุ่นใหม่เปลี่ยนไป แต่งตัวทันสมัย กิน Fastfood เดินห้าง ขับรถเก๋ง (ฮุนได,ออดิ ไม่นิยมรถญี่ปุ่น) แต่จักรยานสัญลักษณ์ของคนจีนยังคงเอกลักษณ์อยู่ บ้านจัดสรรเกิดขึ้นมากมาย อยู่คอนโด ไม่ทำนา ทำธุรกิจ ค้าขาย ถนนวงแหวนรอบนอกของนครปักกิ่งนั้นมีแต่ตึกใหญ่ๆมากมาย เปรียบเหมือนย่านเมืองทองธานีของไทย
คนจีนจะให้ความสำคัญกับสัตว์ 3 ชนิด คือ 1. สิงโต ตั้งอยู่หน้าพระราชวังต้องห้าม (จะตั้งได้เฉพาะ วัด วัง หรือที่มีอำนาจสูงสุดจึงตั้งได้) 2.กิเลน ตั้งอยู่ที่พระราชวังฤดูร้อน 3. ปีเซียะ ฮ่องเต้ ตั้งอยู่หอชัยชนะ (กรมศาสนา)
ปีเซียะนี้ได้รับความนิยมมากถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เกี่ยวกับฮวงจุ้ยด้านการเงิน การค้าขาย ธุรกิจ ร้านอาหาร ดังนั้นจึงพบว่ามีปีเซียะตั้งอยู่หน้าอาคารต่างๆ
การดูงานเมืองปักกิ่งกับการจัดการความรู้นั้น จึงขอวิเคราะห์โดย
1. การนำแนวคิดและมุมมองด้าน SWOT มาวิเคราะห์
Strength = จุดแข็ง · ผู้นำมีวิสัยทัศน์ ปลูกฝังความรักชาติและใช้นโยบายเปิดประเทศ · มีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอันยาวนาน · ความได้เปรียบด้านทรัพยากร · ด้านเศรษฐกิจกำลังเฟื่องฟู · มีมรดกล้ำค่าจำนวนมาก · มีเอกลักษณ์ประจำชาติ · สาธารณูปโภคเป็นของรัฐบาล
Weakness = จุดอ่อน · ประชากรจำนวนมากทำให้แออัด · ความเจริญสังคมเมืองรวดเร็ว ตึกใหม่ๆเกิดขึ้นมามาก รถก็ติด · เจริญเฉพาะเมืองหลวง ประชากรส่วนอื่นของประเทศยากจน · ด้านภาษา คนจีนใช้ภาษาอังกฤษน้อย ทำให้ไม่สัมพันธ์กับนโยบายเปิดประเทศ
Opportunity = โอกาส คนในปักกิ่งแออัดมากมีถึง 14 ล้านคน มีการจำกัดให้คุมกำเนิด มีลูกได้ครอบครัวละ 1 คนเท่านั้น การบริหารจัดการด้านการศึกษา การให้ความรู้และการเป็นอยู่ยังไม่ทั่วถึง การคมนาคม ที่อยู่อาศัย อาหารซึ่งรัฐบาลต้องขอความร่วมมือจากหน่วยงานอื่นและต้องมีการวางแผนยุทธศาสตร์เพื่อรองรับการ เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
· มหาวิทยาลัยปักกิ่ง เป็นตัวอย่างและเป็นโอกาสในการพัฒนาของจีนในด้านการศึกษาไปสู่ Innovation ด้านการค้นคว้าวิจัย และโครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษากับประเทศต่างๆ รวมถึงทำงานร่วมทำการประดิษฐ์ วิเคราะห์วิจัยสิ่งใหม่ๆกับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก ทำให้จีนป็นประเทศคู่แข่งที่น่าจับตามอง
Threat = อุปสรรค์หรือข้อจำกัด
· การเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วทำให้มีผลกระทบต่อการเป็นอยู่และวิถีชีวิตของคนปักกิ่ง ต้องดิ้นรน ค่าอาหาร ค่าที่พัก ค่ารถ ค่าครองชีพแพง · บ้านโบราณโดนนายทุนกว้านซื้อทุบทิ้งกลายเป็นตึกสูงทำธุรกิจ ทำให้วัฒนธรรมเดิมๆหายไป กลายเป็นตึกระฟ้าเต็มไปหมด
· จากการประชุม Eco Summit 2007 นั้นมีการหวั่นวิตกเกี่ยวกับสภาพนิเวศวิทยาที่เปลี่ยนไปของ น้ำ ดิน ต้นไม้ สัตว์ และแร่ธาตุต่างๆซึ่งเปลี่ยนไปและภาวะโลกร้อนที่แผ่มาทางทะเลทรายและแม่น้ำอะเมซอนประเทศบราซิล มีการไหลของน้ำเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิส่งผลกระทบมาถึง ส่วนกลางของเอเชียแถบบนของจีน ช่องทางการเดินของน้ำแปซิฟิกกระทบถึงจีน อนาคตจีนอากาศจะร้อนขึ้น 2-3 c° ทำให้เกิด NEON และ NSF ( องค์กรที่ไม่แสวงหากำไร ศึกษานิเวศวิทยาที่เปลี่ยนไปในอนาคต ที่มีผลกระทบต่อโลก) การศึกษาระบบน้ำ ดิน ไม้ แร่ธาตุ ไฟ 5 อย่างโดยเชื่อมโยงวัฒนธรรมอาศัยธาตุ 5 อย่าง หยิน –หยาง จากปรัชญาโบราณให้เกิดความสมดุล
2. การนำแนวคิด เกลียวความรู้ SECI มาวิเคราะห์จะเห็นว่า
S = Socialization การพบปะ
กระบวนการสร้างความรู้โดย การจัดให้คนมีการพบปะกันในรูปแบบต่างๆ เช่น คนจีนมักจับกลุ่มดื่มน้ำชาและพูดคุยกันเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์กันโดยเป็นธรรมชาติและการเป็นคนรักชาติ ไปอยู่ที่ไหนก็จะมีการรวมกลุ่มกัน เช่น ในไทยมีไชน่าทาวน์ (ย่านเยาวราช) ในUSAก็มีไชน่าเทาวน์หรือในต่างประเทศก็จะพบคนจีนกระจายอยู่ทั่วไป โดยจะมีย่านเฉพาะคนจีนเป็นเอกลักษณ์ การแลกเปลี่ยนความรู้จึงเกิดขึ้นในสังคมเหล่านี้ตลอดเวลา
E = Externalization การถ่ายทอด
เป็นกระบวนการสื่อความรู้จากประสบการณ์การทำงานออกมาเป็นภาษาพูด ภาษาเขียน เป็นการเปลี่ยนความรู้ฝังลึกและความรู้ชัดแจ้ง ให้แลกเปลี่ยนได้ง่าย ผ่านวิธีการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ คนจีนมีการสื่อสารโดยการบันทึกเรื่องราวต่างๆไว้มากมายทั้งประวัติศาสตร์ ตำรายา กลยุทธ์ การค้าขายมาแต่โบราณ ในปัจจุบันได้ใช้การผสมผสานของเดิมและมีการใช้เทคโนโลยีซึ่งเป็นนวัตกรรมด้านคอมพิวเตอร์และโลกไซเบอร์มาทำงานวิจัยและด้านการศึกษา เช่น มหาวิทยาลัยปักกิ่ง ทำให้ย่อโลกมาไว้ได้ด้วยเทคโนโลยีนี้เอง
C = Combination การผสมผสาน
· การผสมผสานกันของแพทย์แผนจีน ซึ่งใช้ความรู้ด้านสมุนไพรในด้านการรักษาโรค การวิเคราะห์วิจัย จนสกัดสิ่งที่เป็นประโยชน์ออกมาใช้งาน สกัดเอาสิ่งเป็นโทษออกไป โดยการค้นคว้าวิจัยด้านยาที่มีมาแต่โบราณ ที่ได้บันทึกไว้คนรุ่นหลังก็มาต่อยอดและพัฒนาให้เป็นรูปแบบที่ทันสมัย เหมาะกับยุคปัจจุบัน ทั้งรูปแบบและแพ็คเก็จ
· ด้านการศึกษาก็เช่นกัน เช่นที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งจะมีสาขาวิชามากมายและเชื่อมโยงหลายๆประเทศ มีนักศึกษาต่างชาตินิยมมาเรียนศาสตร์ต่างๆ เนื่องจากจีนเป็นศูนย์รวมความรู้ต่างๆมากมายทั้งอดีตอันรุ่งเรืองและปัจจุบันที่ทันสมัย จึงมีการรวมเอาความรู้แบบชัดแจ้งมารวมกันไว้ที่นี่เกิดเป็นความรู้แบบชัดแจ้งกว้างขวางและลึกซึ้งขึ้น ทำให้การศึกษาจีนน่าจับตามอง
· ส่วนในด้านอุตสาหกรรมของปักกิ่ง จะเห็นว่ามีโรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมากในถนนวงแหวนรอบนอกออกไป วงแหวนที่ 3 ,4, 5 ของเมืองปักกิ่งจะมีบ้านจัดสรรเต็มไปหมด เนื่องจากแรงงานจีนถูก ทำให้ต้นทุนต่ำจึงมีนักลงทุนต่างชาติมาลงทุนจำนวนมาก ทำให้เกิดความรู้ในหลายแขนงมารวมกันอยู่ที่นี่ เป็นการบูรณาการความรู้ในด้านต่างๆมากมาย เช่นที่ไปดูงานการผลิตรถยนต์ฮุนได ของประเทศเกาหลี ใช้คอมพิวเตอร์ควบคุมการไหลของงาน จะมีพนักงานคนจีนซึ่งคัดสรรมาจากโรงเรียนช่างเทคนิคโดยเฉพาะ ในแต่ละสายความรู้ Tacit Knowledge จากเดิมที่ถูกพัฒนาขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็น Explicit Knowledge ของแต่ละคนก็พัฒนาเป็นหัวหน้างานและควบคุมการทำงานที่เชี่ยวชาญต่อไป เป็นสายการผลิตรถยนต์ครบวงจร
I = Internalization การนำความรู้ไปปฏิบัติ
· ประเทศจีนเป็นประเทศที่มีความรู้หลายแขนงเกิดขึ้นที่นี่แต่โบราณอีกทั้งเป็นประเทศที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติมาร่วมลงทุน ทำให้เกิดความเจริญ มีการผสมผสานนำความรู้ที่ได้มาประดิษฐ์เป็นนวัตกรรมใหม่ๆ สินค้าแปลกๆใหม่ๆ ก็มาจากประเทศจีนนี่เอง กลายเป็นศูนย์รวมการผลิตสินค้ามากมาย อีกทั้งราคาก็ถูกทำให้ได้รับความนิยม และมีการเลียนแบบสินค้าดังมาก ซึ่งที่นี่ไม่ผิดกฎหมาย เนื่องจากจีนไม่ได้ทำสัญญากับชาติใด จึงทำให้สินค้าแบรนดังๆถูกลอกเลียนแบบและเป็นที่นิยมซื้อจากคนต่างชาติเองรวมทั้งคนไทยด้วย เช่นที่ตลาดรัสเซีย (คนรัสเซียนิยมมาซื้อของที่นี่จึงเรียกว่าตลาดรัสเซีย)
· ไม่ว่าจะเป็นความรู้แขนงใดๆก็ตามในประเทศจีน โดยเฉพาะที่เมืองปักกิ่งซึ่งเป็นเมืองหลวงเกิดเป็นเกลียวความรู้แบบ SECI เกิดขึ้นโดยการผสมผสานและต่อเนื่อง โดยหาจุดเริ่มต้นและจุดสุดท้ายไม่พบมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของคนจีนไปแล้วในความรู้ด้านต่างๆที่เกิดขึ้น
ดังนั้นผู้นำจีนจึงมีส่วนสำคัญในการบริหารความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศมากที่สุด ในขณะเดียวกันวัฒนธรรมเดิมๆอาจถูกวัฒนธรรมใหม่ๆกลืนไปตามสภาวะความก้าวหน้ายุคปัจจุบันหรือไม่?ก็อยู่ที่วิสัยทัศน์ของท่านผู้นำจีนนั่นเอง.
ความรู้จากนอกห้องเรียนมาใช้ในการทำงานและชีวิตประจำวัน
1. ความขยันในการทำงานของคนจีน เนื่องจากอากาศที่นี่มืดช้าและสว่างเร็ว ทำให้คนจีน Active ตลอดเวลาแม้ฝนตกก็ออกมาค้าขาย เดินเที่ยวหรือทำกิจกรรมอื่นๆเต็มถนนไปหมด มีความอดทนและก็ทำอะไรก็รวดเร็ว อาจจะเพราะการที่มีพลเมืองจำนวนมาก ทำให้ต้องมีความขยันในการทำมาหากินเพื่อ ความอยู่รอดในสังคม ซึ่งความดีจุดนี้เองเราสามารถนำมาเป็นตัวอย่างในชีวิตประจำวันและการทำงาน
2. การเป็นคนรักชาติ เป็นสิ่งที่น่าเอามาเป็นแบบอย่าง ซึ่งในปัจจุบันคนไทย เรียกร้องกันมาก เพื่อต้องการความสมานฉันท์
3. การประหยัดทรัพยากร ซึ่งจีนจะมีการรณรงค์ให้ประหยัดพลังงาน เช่นการเปิดแอร์ ซึ่งกินไฟจำนวนมาก จึงห้ามเปิดแอร์ ถ้าอุณหภูมิไม่เกิน 26 ° ซึ่งประชาชนให้ความร่วมมืออย่างดี ทั้งโรงแรม ศูนย์ประชุมแห่งชาติ และมหาวิทยาลัย เป็นต้น การใช้จักรยาน เพื่อลดพลังงานด้านน้ำมัน และทำให้สุขภาพดี มีการส่งเสริมการปลูกต้นไม้ในวันปลูกต้นไม้แห่งชาติ ทำให้คืนความสมดุลที่ถูกทำลายไป
4. การแสวงหาความรู้ คนจีนชอบเรียนรู้ไม่หยุดนิ่ง ตั้งแต่อดีตจะเห็นว่าจีนมีการค้นคิดสิ่งประดิษฐ์ต่างๆมากมายสิ่งก่อสร้างที่น่าทึ่งของโลก เช่น กำแพงเมืองจีนและมรดกโลกหลายๆแห่งในจีน พระราชวัง ตำรายาต่างๆ และจะเห็นว่าคนจีนเมื่อไปอยู่ประเทศอื่นจะมีฐานะดี เนื่องจากความขยันมีปรัชญาชีวิตและความไม่หยุดนิ่งทางความคิดความแสวงหาความรู้นั่นเอง <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; tab-stops: 392.0pt" class="MsoNormal">5. การรักสุขภาพ คนจีนจะพูดถึง หยิน –หยาง ซึ่งเป็นความสมดุลของธรรมชาตินั่นเอง การรักษาสมดุลทั้งภายนอก ( สภาพแวดล้อม ) และภายใน ( ร่างกายสุภาพ) เป็นสิ่งที่น่าเอาแบบอย่าง.</p>
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt; tab-stops: 392.0pt" class="MsoNormal"> จากการศึกษาดูงานจะพบเห็นอะไรมากมาย ทั้งข้อดีข้อเสีย ไม่ว่าอะไรก็ตามเราสามารถเลือกนำมาปรับใช้กับชีวิตประจำวันได้ทุกอย่าง อยู่ที่มุมมองของแต่ละคน จะนำไปปรับใช้ให้เป็นประโยชน์ทั้งในแง่คิดและการปฏิบัติ.</p></span><p style="margin: 0cm 0cm 0pt; tab-stops: 392.0pt" class="MsoNormal"> </p>
เก่งจังเลยครับ เก็บรายละเอียดต่าง ๆ ได้มากมายจริง ๆ ได้หลับได้นอนบ้างหรือเปล่าครับ
พี่ผึ้งเก่งมากเลยค่ะ เป็นรายงานที่สรุปแล้วได้แลกเปลี่ยนความรู้อย่างย่อได้ดี ทีเดียวเลย อ่านแล้วยังนึกถึงวันที่พวกเราไปทัศนศึกษาเลยนะคะ (อยากไปอีกเนอะ) และจะขออนุญาตนำไปเป็นแบบอย่างในการทำรายงานบ้างนะคะ (ข้อ4 กับ ข้อ5 ยังทำไม่ได้เลยค่ะ)ฮิฮิ
เป็นการเล่าเรื่องประสบการณ์จากสิ่งที่ไปศึกษาดูงานเก็บเกี่ยวประสบการณ์จริงมาเล่าขานให้บุคคลที่ไม่เคยไปเที่ยวประเทศจีนได้สัมผัสประสบการณ์โดยตรงซึ่งเป็นการสร้างองค์รวมความรู้ถ่ายทอดแนวคิดและประสบการณ์ที่หลากหลายซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์สำหรับผู้อื่นและเยาวชนของชาติที่เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติให้มีแรงบันดาลใจที่จะนำสิ่งดีดีมาพัฒนาประเทศชาติ ขอชื่นชมในความตั้งใจและหลอมรวมแนวความคิดเก็บเกี่ยวประสบการณ์เรื่องเล่าในสิ่งที่ดีงามมาเผยแพร่ให้บุคคลอื่นๆได้รับรู้ ขอเป็นกำลังใจในการสร้างผลงานที่ดีเด่นเช่นนี้ไปตลอดกาลสุดท้ายนี้ขอชื่นชมว่าเก่งจริงๆ