อะเมซิ่งปักกิ่ง 2007 VS KM มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต


ประสบการณ์ดูงานปักกิ่ง 21-25 พฤษภาคม 2550

           นครปักกิ่งเป็นเมืองหลวงของจีน มีดอกโบตั๋นเป็นดอกไม้ประจำชาติ  ปักกิ่งถูกตั้งขึ้นเมื่อ คศ. 1949  มีพื้นที่ 16,808 ตารางกิโลเมตร ด้านหน้าเป็นแม่น้ำ หมายถึงความอุดมสมบูรณ์  ความร่ำรวย  ด้านหลังมีภูเขาเหลียงซาน เพื่อปกป้องศัตรูรุกราน  ซึ่งถือว่านครปักกิ่งมีฮวงจุ้ยดีมาก  เป็นรูปมังกร ซึ่งหัวมังกรคือพระราชวังต้องห้ามและจัตุรัสเทียนอันเหมิน  คอมังกรคือ หอชัยชนะ (ประตูชัยชนะ) หางมังกรคือ กำแพงเมืองจีน ( 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก) เล็บมังกรคือ หอฟ้าเทียนฐานและพระราชวังฤดูร้อนหรือพระราชวังพระนางชูสีไทเฮา           

          เมืองปักกิ่งมีประชากร 14 ล้านคนมี 4 ฤดู คือ ร้อน ใบไม้ร่วง ใบไม้ผลิ หนาว  อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปี 11.6 c°  เดือน กค.ร้อนที่สุด 40 c° เดือน มค. หนาวที่สุด - 17 c° ใช้เงินหยวน ( 1 หยวน= ~4.8 บาท)  คนจีนเชื่อเรื่องฮวงจุ้ยมาก  จะดูฮวงจุ้ยก่อนทำการค้าขาย  ถนนสองข้างทางปลูกต้นหยางแถวนอกและต้นหลิวแถวในเป็น หยิน หยาง  ถือเป็นฮวงจุ้ย  นิยมปลูกซ้อนกัน 2 แถว ในถนนวงแหวนรอบนอกปลูกต้นหยางตลอดสองข้างทางดูแล้วนึกถึงถนน ลำพูน เชียงใหม่  ที่ปลูกต้นยาง สวยงามมาก

            

 

                ปักกิ่งในยุค 2007 นี้มีแต่สิ่งก่อสร้างมากมายเกิดขึ้น  ซึ่งเป็นนโยบายเปิดประเทศของผู้นำและรองรับโอลิมปิกที่จะมาถึง  มี ถนนคนเดิน ซึ่งขนาบไปด้วยห้างสรรพสินค้าสองข้างทาง  กลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองปักกิ่ง  ถ้าใครมาก็ต้องมาเดินและถ่ายรูปที่ถนนนี้   มี “ถนนการเงิน ซึ่งเป็นที่ตั้งของธนาคารกว่า500  แห่ง จึงทำให้ปักกิ่งยุคนี้เปลี่ยนไป        

         วิถีชีวิตของคนจีนปักกิ่งรุ่นใหม่เปลี่ยนไป  แต่งตัวทันสมัย  กิน Fastfood  เดินห้าง  ขับรถเก๋ง (ฮุนได,ออดิ ไม่นิยมรถญี่ปุ่น)  แต่จักรยานสัญลักษณ์ของคนจีนยังคงเอกลักษณ์อยู่  บ้านจัดสรรเกิดขึ้นมากมาย  อยู่คอนโด  ไม่ทำนา ทำธุรกิจ  ค้าขาย  ถนนวงแหวนรอบนอกของนครปักกิ่งนั้นมีแต่ตึกใหญ่ๆมากมาย  เปรียบเหมือนย่านเมืองทองธานีของไทย

                 

                 

 

         คนจีนจะให้ความสำคัญกับสัตว์ 3 ชนิด คือ 1. สิงโต  ตั้งอยู่หน้าพระราชวังต้องห้าม (จะตั้งได้เฉพาะ วัด วัง หรือที่มีอำนาจสูงสุดจึงตั้งได้) 2.กิเลน  ตั้งอยู่ที่พระราชวังฤดูร้อน  3. ปีเซียะ ฮ่องเต้  ตั้งอยู่หอชัยชนะ (กรมศาสนา)  

        ปีเซียะนี้ได้รับความนิยมมากถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์  เกี่ยวกับฮวงจุ้ยด้านการเงิน  การค้าขาย ธุรกิจ  ร้านอาหาร  ดังนั้นจึงพบว่ามีปีเซียะตั้งอยู่หน้าอาคารต่างๆ

     

 

การดูงานเมืองปักกิ่งกับการจัดการความรู้นั้น จึงขอวิเคราะห์โดย

1.      การนำแนวคิดและมุมมองด้าน SWOT มาวิเคราะห์    

Strength = จุดแข็ง       ·       ผู้นำมีวิสัยทัศน์  ปลูกฝังความรักชาติและใช้นโยบายเปิดประเทศ   ·       มีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอันยาวนาน    ·       ความได้เปรียบด้านทรัพยากร    ·       ด้านเศรษฐกิจกำลังเฟื่องฟู   ·       มีมรดกล้ำค่าจำนวนมาก    ·       มีเอกลักษณ์ประจำชาติ   ·       สาธารณูปโภคเป็นของรัฐบาล

Weakness = จุดอ่อน          ·       ประชากรจำนวนมากทำให้แออัด  ·       ความเจริญสังคมเมืองรวดเร็ว ตึกใหม่ๆเกิดขึ้นมามาก  รถก็ติด  ·       เจริญเฉพาะเมืองหลวง ประชากรส่วนอื่นของประเทศยากจน    ·       ด้านภาษา  คนจีนใช้ภาษาอังกฤษน้อย  ทำให้ไม่สัมพันธ์กับนโยบายเปิดประเทศ

Opportunity = โอกาส                                                                                                                                     คนในปักกิ่งแออัดมากมีถึง 14 ล้านคน มีการจำกัดให้คุมกำเนิด มีลูกได้ครอบครัวละ 1 คนเท่านั้น  การบริหารจัดการด้านการศึกษา  การให้ความรู้และการเป็นอยู่ยังไม่ทั่วถึง  การคมนาคม  ที่อยู่อาศัย  อาหารซึ่งรัฐบาลต้องขอความร่วมมือจากหน่วยงานอื่นและต้องมีการวางแผนยุทธศาสตร์เพื่อรองรับการ  เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

    ·       มหาวิทยาลัยปักกิ่ง เป็นตัวอย่างและเป็นโอกาสในการพัฒนาของจีนในด้านการศึกษาไปสู่ Innovation  ด้านการค้นคว้าวิจัย  และโครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษากับประเทศต่างๆ รวมถึงทำงานร่วมทำการประดิษฐ์  วิเคราะห์วิจัยสิ่งใหม่ๆกับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก  ทำให้จีนป็นประเทศคู่แข่งที่น่าจับตามอง

  Threat  = อุปสรรค์หรือข้อจำกัด                                    

    ·       การเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วทำให้มีผลกระทบต่อการเป็นอยู่และวิถีชีวิตของคนปักกิ่ง  ต้องดิ้นรน  ค่าอาหาร  ค่าที่พัก  ค่ารถ  ค่าครองชีพแพง                                                                                         ·    บ้านโบราณโดนนายทุนกว้านซื้อทุบทิ้งกลายเป็นตึกสูงทำธุรกิจ  ทำให้วัฒนธรรมเดิมๆหายไป  กลายเป็นตึกระฟ้าเต็มไปหมด                  

 ·     จากการประชุม Eco  Summit 2007  นั้นมีการหวั่นวิตกเกี่ยวกับสภาพนิเวศวิทยาที่เปลี่ยนไปของ  น้ำ  ดิน  ต้นไม้  สัตว์  และแร่ธาตุต่างๆซึ่งเปลี่ยนไปและภาวะโลกร้อนที่แผ่มาทางทะเลทรายและแม่น้ำอะเมซอนประเทศบราซิล  มีการไหลของน้ำเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิส่งผลกระทบมาถึง ส่วนกลางของเอเชียแถบบนของจีน  ช่องทางการเดินของน้ำแปซิฟิกกระทบถึงจีน  อนาคตจีนอากาศจะร้อนขึ้น 2-3 c° ทำให้เกิด NEON และ NSF ( องค์กรที่ไม่แสวงหากำไร  ศึกษานิเวศวิทยาที่เปลี่ยนไปในอนาคต ที่มีผลกระทบต่อโลก)   การศึกษาระบบน้ำ  ดิน  ไม้  แร่ธาตุ  ไฟ  5  อย่างโดยเชื่อมโยงวัฒนธรรมอาศัยธาตุ 5 อย่าง   หยิน หยาง  จากปรัชญาโบราณให้เกิดความสมดุล

2.      การนำแนวคิด  เกลียวความรู้  SECI  มาวิเคราะห์จะเห็นว่า        

S = Socialization  การพบปะ              

                  กระบวนการสร้างความรู้โดย  การจัดให้คนมีการพบปะกันในรูปแบบต่างๆ เช่น คนจีนมักจับกลุ่มดื่มน้ำชาและพูดคุยกันเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์กันโดยเป็นธรรมชาติและการเป็นคนรักชาติ ไปอยู่ที่ไหนก็จะมีการรวมกลุ่มกัน เช่น ในไทยมีไชน่าทาวน์ (ย่านเยาวราช)   ในUSAก็มีไชน่าเทาวน์หรือในต่างประเทศก็จะพบคนจีนกระจายอยู่ทั่วไป  โดยจะมีย่านเฉพาะคนจีนเป็นเอกลักษณ์  การแลกเปลี่ยนความรู้จึงเกิดขึ้นในสังคมเหล่านี้ตลอดเวลา       

 E = Externalization  การถ่ายทอด

                    เป็นกระบวนการสื่อความรู้จากประสบการณ์การทำงานออกมาเป็นภาษาพูด ภาษาเขียน  เป็นการเปลี่ยนความรู้ฝังลึกและความรู้ชัดแจ้ง ให้แลกเปลี่ยนได้ง่าย  ผ่านวิธีการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ  คนจีนมีการสื่อสารโดยการบันทึกเรื่องราวต่างๆไว้มากมายทั้งประวัติศาสตร์  ตำรายา  กลยุทธ์  การค้าขายมาแต่โบราณ  ในปัจจุบันได้ใช้การผสมผสานของเดิมและมีการใช้เทคโนโลยีซึ่งเป็นนวัตกรรมด้านคอมพิวเตอร์และโลกไซเบอร์มาทำงานวิจัยและด้านการศึกษา เช่น มหาวิทยาลัยปักกิ่ง  ทำให้ย่อโลกมาไว้ได้ด้วยเทคโนโลยีนี้เอง

  C = Combination    การผสมผสาน

·       การผสมผสานกันของแพทย์แผนจีน  ซึ่งใช้ความรู้ด้านสมุนไพรในด้านการรักษาโรค  การวิเคราะห์วิจัย  จนสกัดสิ่งที่เป็นประโยชน์ออกมาใช้งาน  สกัดเอาสิ่งเป็นโทษออกไป  โดยการค้นคว้าวิจัยด้านยาที่มีมาแต่โบราณ  ที่ได้บันทึกไว้คนรุ่นหลังก็มาต่อยอดและพัฒนาให้เป็นรูปแบบที่ทันสมัย  เหมาะกับยุคปัจจุบัน  ทั้งรูปแบบและแพ็คเก็จ

·       ด้านการศึกษาก็เช่นกัน เช่นที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งจะมีสาขาวิชามากมายและเชื่อมโยงหลายๆประเทศ  มีนักศึกษาต่างชาตินิยมมาเรียนศาสตร์ต่างๆ  เนื่องจากจีนเป็นศูนย์รวมความรู้ต่างๆมากมายทั้งอดีตอันรุ่งเรืองและปัจจุบันที่ทันสมัย  จึงมีการรวมเอาความรู้แบบชัดแจ้งมารวมกันไว้ที่นี่เกิดเป็นความรู้แบบชัดแจ้งกว้างขวางและลึกซึ้งขึ้น  ทำให้การศึกษาจีนน่าจับตามอง

·       ส่วนในด้านอุตสาหกรรมของปักกิ่ง  จะเห็นว่ามีโรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมากในถนนวงแหวนรอบนอกออกไป  วงแหวนที่ 3 ,4, 5  ของเมืองปักกิ่งจะมีบ้านจัดสรรเต็มไปหมด  เนื่องจากแรงงานจีนถูก  ทำให้ต้นทุนต่ำจึงมีนักลงทุนต่างชาติมาลงทุนจำนวนมาก  ทำให้เกิดความรู้ในหลายแขนงมารวมกันอยู่ที่นี่  เป็นการบูรณาการความรู้ในด้านต่างๆมากมาย  เช่นที่ไปดูงานการผลิตรถยนต์ฮุนได ของประเทศเกาหลี  ใช้คอมพิวเตอร์ควบคุมการไหลของงาน  จะมีพนักงานคนจีนซึ่งคัดสรรมาจากโรงเรียนช่างเทคนิคโดยเฉพาะ  ในแต่ละสายความรู้ Tacit  Knowledge จากเดิมที่ถูกพัฒนาขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็น Explicit Knowledge ของแต่ละคนก็พัฒนาเป็นหัวหน้างานและควบคุมการทำงานที่เชี่ยวชาญต่อไป  เป็นสายการผลิตรถยนต์ครบวงจร        

   I = Internalization    การนำความรู้ไปปฏิบัติ

·       ประเทศจีนเป็นประเทศที่มีความรู้หลายแขนงเกิดขึ้นที่นี่แต่โบราณอีกทั้งเป็นประเทศที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติมาร่วมลงทุน  ทำให้เกิดความเจริญ  มีการผสมผสานนำความรู้ที่ได้มาประดิษฐ์เป็นนวัตกรรมใหม่ๆ  สินค้าแปลกๆใหม่ๆ  ก็มาจากประเทศจีนนี่เอง  กลายเป็นศูนย์รวมการผลิตสินค้ามากมาย  อีกทั้งราคาก็ถูกทำให้ได้รับความนิยม และมีการเลียนแบบสินค้าดังมาก  ซึ่งที่นี่ไม่ผิดกฎหมาย เนื่องจากจีนไม่ได้ทำสัญญากับชาติใด  จึงทำให้สินค้าแบรนดังๆถูกลอกเลียนแบบและเป็นที่นิยมซื้อจากคนต่างชาติเองรวมทั้งคนไทยด้วย  เช่นที่ตลาดรัสเซีย (คนรัสเซียนิยมมาซื้อของที่นี่จึงเรียกว่าตลาดรัสเซีย)

·       ไม่ว่าจะเป็นความรู้แขนงใดๆก็ตามในประเทศจีน  โดยเฉพาะที่เมืองปักกิ่งซึ่งเป็นเมืองหลวงเกิดเป็นเกลียวความรู้แบบ SECI เกิดขึ้นโดยการผสมผสานและต่อเนื่อง  โดยหาจุดเริ่มต้นและจุดสุดท้ายไม่พบมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของคนจีนไปแล้วในความรู้ด้านต่างๆที่เกิดขึ้น 

          ดังนั้นผู้นำจีนจึงมีส่วนสำคัญในการบริหารความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศมากที่สุด  ในขณะเดียวกันวัฒนธรรมเดิมๆอาจถูกวัฒนธรรมใหม่ๆกลืนไปตามสภาวะความก้าวหน้ายุคปัจจุบันหรือไม่?ก็อยู่ที่วิสัยทัศน์ของท่านผู้นำจีนนั่นเอง.

ความรู้จากนอกห้องเรียนมาใช้ในการทำงานและชีวิตประจำวัน

1. ความขยันในการทำงานของคนจีน   เนื่องจากอากาศที่นี่มืดช้าและสว่างเร็ว ทำให้คนจีน Active       ตลอดเวลาแม้ฝนตกก็ออกมาค้าขาย  เดินเที่ยวหรือทำกิจกรรมอื่นๆเต็มถนนไปหมด  มีความอดทนและก็ทำอะไรก็รวดเร็ว   อาจจะเพราะการที่มีพลเมืองจำนวนมาก  ทำให้ต้องมีความขยันในการทำมาหากินเพื่อ  ความอยู่รอดในสังคม   ซึ่งความดีจุดนี้เองเราสามารถนำมาเป็นตัวอย่างในชีวิตประจำวันและการทำงาน

2. การเป็นคนรักชาติ  เป็นสิ่งที่น่าเอามาเป็นแบบอย่าง  ซึ่งในปัจจุบันคนไทย เรียกร้องกันมาก  เพื่อต้องการความสมานฉันท์

3. การประหยัดทรัพยากร  ซึ่งจีนจะมีการรณรงค์ให้ประหยัดพลังงาน เช่นการเปิดแอร์ ซึ่งกินไฟจำนวนมาก     จึงห้ามเปิดแอร์ ถ้าอุณหภูมิไม่เกิน 26 °  ซึ่งประชาชนให้ความร่วมมืออย่างดี  ทั้งโรงแรม  ศูนย์ประชุมแห่งชาติ   และมหาวิทยาลัย  เป็นต้น  การใช้จักรยาน เพื่อลดพลังงานด้านน้ำมัน  และทำให้สุขภาพดี   มีการส่งเสริมการปลูกต้นไม้ในวันปลูกต้นไม้แห่งชาติ  ทำให้คืนความสมดุลที่ถูกทำลายไป

4. การแสวงหาความรู้   คนจีนชอบเรียนรู้ไม่หยุดนิ่ง  ตั้งแต่อดีตจะเห็นว่าจีนมีการค้นคิดสิ่งประดิษฐ์ต่างๆมากมายสิ่งก่อสร้างที่น่าทึ่งของโลก เช่น กำแพงเมืองจีนและมรดกโลกหลายๆแห่งในจีน  พระราชวัง  ตำรายาต่างๆ  และจะเห็นว่าคนจีนเมื่อไปอยู่ประเทศอื่นจะมีฐานะดี  เนื่องจากความขยันมีปรัชญาชีวิตและความไม่หยุดนิ่งทางความคิดความแสวงหาความรู้นั่นเอง <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; tab-stops: 392.0pt" class="MsoNormal">5. การรักสุขภาพ  คนจีนจะพูดถึง หยิน หยาง  ซึ่งเป็นความสมดุลของธรรมชาตินั่นเอง  การรักษาสมดุลทั้งภายนอก ( สภาพแวดล้อม ) และภายใน ( ร่างกายสุภาพ)  เป็นสิ่งที่น่าเอาแบบอย่าง.</p>

  <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; tab-stops: 392.0pt" class="MsoNormal">           จากการศึกษาดูงานจะพบเห็นอะไรมากมาย ทั้งข้อดีข้อเสีย  ไม่ว่าอะไรก็ตามเราสามารถเลือกนำมาปรับใช้กับชีวิตประจำวันได้ทุกอย่าง  อยู่ที่มุมมองของแต่ละคน  จะนำไปปรับใช้ให้เป็นประโยชน์ทั้งในแง่คิดและการปฏิบัติ.</p></span><p style="margin: 0cm 0cm 0pt; tab-stops: 392.0pt" class="MsoNormal"> </p>

หมายเลขบันทึก: 99779เขียนเมื่อ 31 พฤษภาคม 2007 02:31 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 มิถุนายน 2012 14:24 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (9)
เป็นรายงานที่ครบถ้วนและได้ประโยชน์ ดีมากเลยค่ะ ฮะแอ้ม...แต่ว่าคุณ ผึ้งงาน_SDU  อาจจะพิมพ์ตอนดึกไปหน่อย ก็เลยมีคำที่พิมพ์พลาดอยู่หลายๆคำ ลองพิสูจน์อักษรดูและแก้ไขอีกนิ้ด...จะ perfect นะคะ (เป็นโรคตาหาเรื่องค่ะ เห็นคำผิดแล้วต้องทัก อย่าเคืองกันนะคะ ถือว่าเป็นคนกันเอง...)

เก่งจังเลยครับ เก็บรายละเอียดต่าง ๆ ได้มากมายจริง ๆ ได้หลับได้นอนบ้างหรือเปล่าครับ

สวัสดีค่ะ อาจารย์โอ๋
        รู้สึกดีใจมากค่ะที่อาจารย์แวะมาแนะนำ และให้กำลังใจ ได้แก้ไขแล้วค่ะด้วยความขอบคุณอย่างยิ่ง
สวัสดีค่ะคุณปุ๋ย
ขอบคุณคุณปุ๋ยมากที่เป็นกัลยาณมิตรที่ดี ทั้งยังให้คำแนะนำที่ดีมีประโยชน์มากมาย  ทำให้ผลงานมีการพัฒนาที่ดีขึ้น ขอบคุณสำหรับคำติชมค่ะ
กำลังนั่งทำรายงานการไปจีนอยู่พอดีเลยค่ะ ยอดเยี่ยมมากๆ ค่ะพี่ผึ้ง

พี่ผึ้งเก่งมากเลยค่ะ เป็นรายงานที่สรุปแล้วได้แลกเปลี่ยนความรู้อย่างย่อได้ดี ทีเดียวเลย อ่านแล้วยังนึกถึงวันที่พวกเราไปทัศนศึกษาเลยนะคะ (อยากไปอีกเนอะ) และจะขออนุญาตนำไปเป็นแบบอย่างในการทำรายงานบ้างนะคะ (ข้อ4 กับ ข้อ5 ยังทำไม่ได้เลยค่ะ)ฮิฮิ

เป็นการเล่าเรื่องประสบการณ์จากสิ่งที่ไปศึกษาดูงานเก็บเกี่ยวประสบการณ์จริงมาเล่าขานให้บุคคลที่ไม่เคยไปเที่ยวประเทศจีนได้สัมผัสประสบการณ์โดยตรงซึ่งเป็นการสร้างองค์รวมความรู้ถ่ายทอดแนวคิดและประสบการณ์ที่หลากหลายซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์สำหรับผู้อื่นและเยาวชนของชาติที่เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติให้มีแรงบันดาลใจที่จะนำสิ่งดีดีมาพัฒนาประเทศชาติ  ขอชื่นชมในความตั้งใจและหลอมรวมแนวความคิดเก็บเกี่ยวประสบการณ์เรื่องเล่าในสิ่งที่ดีงามมาเผยแพร่ให้บุคคลอื่นๆได้รับรู้  ขอเป็นกำลังใจในการสร้างผลงานที่ดีเด่นเช่นนี้ไปตลอดกาลสุดท้ายนี้ขอชื่นชมว่าเก่งจริงๆ

 

สวัสดีค่ะคุณครูสุรางค์
     ขอบคุณค่ะสำหรับกำลังใจที่คุณครูมอบให้  จะตั้งใจทำทุกอย่างให้ดีที่สุดค่ะ ดีใจมากที่แวะมาเยี่ยมติชมค่ะ
  • ชอบอ่านมากเลยครับ
  • ได้ความรู้ครบถ้วน
  • เขียนเรื่องอื่นๆๆมาอีกนะครับ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท