ผมขอเชิญชวนมาดูภาพเขียนสักภาพหนึ่ง
เป็นภาพสีน้ำมันของศิลปินอเมริกัน ชื่อ Andrew Wyeth คนคนเดียวกันกับผู้เขียนภาพ Spring ที่ผมลงให้ดูในคราวก่อน
Wyeth เป็นศิลปินคนโปรดของผมคนหนึ่งที่สไตล์เขียนภาพแบบ Realistic หรือแบบเหมือนจริง หรือที่บางครั้งก็เรียกว่า แบบธรรมชาตินิยม ที่มีรูปแบบและเนื้อหายึดเอาสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตในโลกมาแสดงออก เช่นเรื่องราวหรือสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตหรือกิจกรรมปกติธรรมดาในประจำวัน
บางครั้งก็เป็นเรื่องธรรมดาๆ สามัญ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา แต่อาจไม่เห็นความสำคัญหรือมองผ่านเลยไป
แต่พอศิลปินเอามาเขียนเป็นภาพ กลับดูน่าสนใจอย่างแปลกประหลาดและในความน่าสนใจนั้น เราเองก็มีประสบการณ์ร่วมเช่นนั้นด้วย เช่น ภาพทิวทัศน์ ภาพคนนั่งขายสินค้า ภาพคนรอรถเมล์ เป็นต้น
รูปแบบของงานศิลปะแบบธรรมชาตินิยมนี้ จะเคารพในธรรมชาติ คือไม่เปลี่ยนแปลงรูปทรง สีสันหรือสิ่งที่เห็นสิ่งที่เป็นจริงที่เกิดขึ้นในธรรมชาติเลย ตรงกันข้ามศิลปินพยายามถ่ายทอดความเป็นจริงนั้นออกมามากที่สุดเท่าที่ศิลปินจะมีฝีมือแสดงออกได้แต่ในบางครั้ง ภาพเขียนธรรมดา ธรรมชาติเช่นนี้ ในบางครั้งก็ดูออกยากเหมือนกัน หากศิลปินเป็นคนลึกซึ้งละเอียดอ่อน เนื้อหาที่เขาแสดงออกนั้นจึงลึกซึ้งไปตามสภาพจิตใจของการรับรู้ครั้งแรกนั้นไปด้วยอย่างเช่นภาพที่ชื่อ Adrift นี้
ดูจากชื่อแล้ว แปลว่า ไร้จุดหมาย หรือลอยไป เคว้งคว้าง อย่างไร้จุดหมายแต่บางที ชื่อ หรือป้ายชื่อที่เรามักนิยมติดป้ายให้กับสิ่งที่เราพบเห็นนั้น กลับเป็นตัวปิดกั้นการรับรู้ตามธรรมชาติ เพราะทำให้เรานึกว่าเพียงแค่เห็นชื่อ เราก็เข้าใจในสิ่งนั้นแล้ว
ทำให้เรามองผ่านเลย ความเป็นจริง (ที่ดีดี) หลายอย่างในชีวิตไป
ครั้งนี้ ผมขออนุญาตบังอาจแนะนำการดูภาพเขียนให้ได้อรรถรสทางสุนทรียภาพ ตามทฤษฏีจากภายนอกสู่ภายใน (Outside in) คือการดูภาพแบบมองจากสิ่งที่เห็นในภาพทุกอย่างจนลึกเข้าไปถึงสภาพความคิดของศิลปิน
ก่อนอื่นผมจะถามว่า คุณเห็นอะไรบ้างในภาพนี้ ?
เดี๋ยวก่อนครับ...อย่าเพิ่งรีบตอบ ผมอยากให้คุณตั้งสติ ปล่อยใจสบายๆ แต่มีสมาธิดูอย่างพินิจว่าคุณเห็น อะไรบ้าง
........................................................................................................................
..................................................................................
ผมเชื่อว่า สิ่งแรกที่คุณเห็นคือภาพของชายคนหนึ่ง นอนหงายอยู่ในเรือเล็กๆลำหนึ่ง ลอยอยู่ในน้ำทะเลผมขอถามต่อว่า เห็นอย่างนี้แล้ว เกิดความรู้สึกอะไรบ้าง?.
....................................................................................
หากยังตอบไม่ได้ ยังไม่ชัดเจน ผมขอแนะนำให้คุณกลับไปมองภาพเขียนนี้อีกครั้งหนึ่งคราวนี้ มองอย่างเก็บรายละเอียด เพราะครั้งแรกคุณได้เห็นในภาพรวมทั้งหมดแล้ว
.....................................................................................................................
......................................................................................................................
ผมเชื่อว่า รายละเอียดที่คุณมองเห็นได้เพิ่มเติม คือรายละเอียดของชายที่นอนอยู่ในภาพ เป็นชายชราอายุประมาณหกสิบ ใบหน้ามีร่องรอยผ่านโลกผ่านชีวิตมาพอควร ที่บางคนเรียกว่า wisdom line
......................................................................................
ถ้ายัง ไม่เป็นไรครับ แต่ต้องดูภาพเพิ่มเติม
ลองเลื่อนสายตามาดูรายละเอียดด้านล่างของภาพเพิ่มเติม เรียกว่าดูสิ่งที่เป็นองค์ประกอบรองขอภาพ เพราะประธานของภาพ คือภาพชายชราเราดูไปแล้ว
หากเลื่อนสายตาดูต่ำลงมาด้านล่าง จะเห็นได้ว่า ชายชราผู้นี้นอนอยู่บนเรือโบ็ตขนาดเล็กสีขาว ที่กราบเรือมีหูกรรเชียงอยู่สองข้าง หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่า ไม่มีพายวางอยู่ เพราะชายชราผู้นี้ เอาพายออกแล้ววางอย่างเรียบร้อยในเรือบริเวณด้านศีรษะของเขา จะเห็นได้ว่ามีสีน้ำตาลของใบพายไม้โผล่ขึ้นมาให้เห็นอยู่รำไรมองต่ำลงมาอีกนิด ที่ลำเรือจะเห็นแสงอาทิตย์สาดลงมาจับที่ตัวเรือที่เป็นเส้นไม้เป็นซี่ๆประมาณสิบนิ้ว ดูจากลักษณะองศาของแสงที่ส่องมาทางด้ายซ้ายของภาพ ประมาณสามสิบองศา ทำให้เราสามารถประมาณช่วงเวลาได้ว่า น่าจะอยู่ช่วงเวลาเช้าไม่เกินสิบโมงเช้า
ที่ลำเรือมีแสงสะท้อนจากพรายน้ำสีเงินแกมเขียว น่าจะเป็นสีจากน้ำทะเลในที่มีช่วงลึกพอดูมองดูที่ด้านบนของภาพ โน่นเห็นคลื่นระลอกใหญ่วิ่งเข้ามาแต่ไกล ทำให้รับรู้ถึงแรงกระแทกของคลื่นจะทำให้เรือน้อยนี้ กระเพื่อมเป็นระยะได้ หากคลื่นลูกใหญ่ขนาดนี้ คงทำให้ลำเรือโยนตัวสูงพอควร
ผมเชื่อว่า ขณะนี้คุณเห็นและเริ่มรู้สึก “อะไร” ขึ้นมาบ้างแล้ว
“อะไร” ที่ว่านี้ คืออารมณ์สุนทรียภาพ คือการรับรู้ในเรื่องความงาม ความดีงาม ที่เป็นอารมณ์ละเอียดอ่อนเกิดขึ้นในจิตใจตน จนเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในผู้อื่นและในสิ่งแวดล้อมรอบตัวของตัวอยู่
ลองให้ผมเล่าว่า “อะไร” เกิดขึ้นกับชายชราผู้นี้บ้างครับ และเขากำลังทำอะไรอยู่
ครั้งแรกที่ผมเห็นภาพนี้ จิตผมประหวัดถึงเรื่อง The Old man and The Sea ของแฮมมิงเวย์ ที่กำลังลอยเรือเข้าฝั่งหลักจากพิชิตปลาวาฬคู่แค้นได้
แต่ชายชราคนนี้มิใช่ชายคนเดียวกันกับเฒ่าทะเลคนนั้น เขามิได้ออกเรือเพื่อล่าปลา แต่เขาล่าความสุข ความสุขที่ได้จากการอยู่โดดเดี่ยวอย่างเงียบสงบท่ามกลางธรรมชาติที่เขารักเขาพายเรือออกทะเลแต่เช้า กรรเชียงเรือด้วยพลังจากสองแขนที่ชำนาญ
พอลอยเรือห่างออกมาจากฝั่งพอสมควร ไกลจากสายตาของผู้คน เขาก็ปลดพายออกจากหูกรรเชียง เอาไปวางไว้ในเรือทอดยาวไปตามลำเรืออย่างปราณีต แล้วล้มตัวลงนอน ยกมือขึ้นมาวางบนหน้าท้อง มือทั้งสองยังกำอยู่เล็กน้อย เป็นผลมาจากการกำด้ามพายมาเป็นช่วงเวลานาน เขาค่อยหลับตาลง ปิดเปลือกตาเบาๆ ไม่มีสิ่งใดที่ต้องรีบร้อนทำเมื่อหลับตาลงมาสักพักใหญ่ จิตของเขาก็รวมตัวนิ่ง รับรู้และซึมซับรายละเอียดของสิ่งที่เคลื่อนไหวอยู่รอบๆตัว
.................................................................................................
อะไรบ้างนะ ผมคิดว่าคุณคงอยากรู้
แรงกระเพื่อมของลำเรือที่ขึ้นลงตามกระแสคลื่น โยนตัวไปมา เดี๋ยวสูงเดี๋ยวต่ำ สักพักคุณจะรู้สึกเหมือนย้อนกลับไปในวัยเยาว์สมัยนอนเปลหูนั้นเล่าได้ยินแต่เสียงคลื่น ที่ไหลทำเสียงซู่ซ่า เหมือนกระซิบบ้าง บางครั้งก็เหมือนเสียงพูดพึมพัมมาแต่ไกลๆแล้วค่อยๆมาดังชัดที่ข้างหู คงเป็นตอนที่ยอดคลื่นวิ่งมากระทบกับลำเรือ พร้อมๆกับรู้สึกตัวลอยสูงขึ้นและยวบลงต่ำ เสียงนั้นก็กลายตัวเป็นเสียงที่เปรียบได้ยากค่อยๆกลายมลายไกลออกไป แล้วเสียงใหม่ก็วิ่งเข้ามาชัดเจนขึ้นอีกครั้งหนึ่งซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฟังได้ไม่รู้เบื่อ เพราะมีรายละเอียดที่ไม่เหมือนกัน หูของชายชรารายงานว่าอย่างนั้น
ที่ผิวหน้า รับรู้ถึงแสงแดดอุ่นๆที่ส่องมากระทบ บางครั้งก็อุ่นจนร้อนวูบวาบ บางครั้งรู้สึกเย็นวาบเมื่อมีแรงลมพัดวูบเข้ามา จนรู้สึกได้ตรงปลายหนวดและเคราที่ขนอ่อนลู่เข้ามากระทบกับเนื้ออ่อนๆที่ริมฝีปากล่าง จนบางครั้งต้องขยับริมฝีปากและแลบลิ้นออกมารับรสเค็มประแล่มของไอเกลือที่ลอยมากับหยดน้ำฝอยเล็กๆที่เป็นผลจากยอดคลื่นบางยอดที่มีกำลังแรง พอประทังไม่ให้ริมฝีปากแห้งเกินไปด้วยแรงลม
......................................................................................................
เขาจะรู้อะไรต่อไปอีก...ตอนนี้ผมจะละไว้ให้คุณดูและคิดต่อจากผมบ้าง
ผมจะได้พัก หลับตาลงลอยตัวไปกับชายชราผู้นี้
ล่องลอย...เคว้งคว้าง แต่ไม่ไร้จุดหมาย
ผมกับเขามีเป้าหมายเดียวกันและเข้าถึงสิ่งเดียวกัน
คุณละ?
อืมม....ถ้าอ่านจากที่อาจารย์เขียนเฉย ๆ โดยไม่ได้เห็นภาพ ก็คงจะตอบทัีนทีเลยมั้งคะ่ว่า น่าจะเป้าหมายเดียวกันน่ะนะคะ ในการดำเนินชีวิต
โดยเฉพาะวิธีการเข้าสู่เป้าหมายในชีวิต โดยผ่านประเด็นที่อาจารย์ทำตัวเข้มไว้ตอนต้น คือ ผ่าน "เรื่องธรรมดาๆ สามัญ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา " ที่บางทีเรามักจะ "ไม่เห็นความสำคัญหรือมองผ่านเลยไป"
แต่ถ้าดูรูปคุณลุงนอนในเรือเฉย ๆ โดยไม่มีัคำอธิบายจากอาจารย์แล้วกลัวน่ะค่ะ แหะ ๆ สงสัยจริตหนูจะเป็นพวกขี้กลัว วิตกจริต ภาพนี้แรก ๆ ตั้งแต่ก่อนอ่านคำแนะนำการดูภาพของอาจารย์หนูก็นู่นเลยเห็นคลื่นอยู่ในแบ็คกราวนด์มาแต่ไกล ไพล่ไปคิดถึงสึนามินู่น แถมเห็นคุณลุงนอนมือกำหลวม ๆ พายก็ไม่มี ก็เลยนึกว่าคุณลุงจากไปแล้วเรียบร้อย หรือไม่ก็เตรียมตัวลาจากโลก อะไรทำนองนี้ สุดยอดจะขี้กลัวเลยนะคะนี่ ท่าทางจะเอาดีด้านการศึกษาศิลปะกับเขาไม่ได้
โจทย์อาจารย์อันนี้ยากค่ะ ที่มาถามต่อตอนจบว่า แล้วคุณล่ะ ถ้าจะให้คิดต่อนั้นว่าชายชราจะรู้อะไรต่อไปอีก หนูขอยกธงขาว โจทย์ยาก ๆ อย่างนี้ ทำให้นึกถึงตอนที่หนูไปเรียนนั่งสมาธิแบบเซนที่นี่กับหลวงพ่อใจดีท่านหนึ่ง หนูก็ฟังไม่ค่อยออกหรอกค่ะอาศัยธรรมะจัดสรรได้คนญี่ปุ่นที่เขาพูดภาษาไทยได้ปร๋อท่านหนึ่งมาอาสาแปลให้ เขาพูดภาษาคนปฏิบัติธรรมได้คล่องเพราะเขาเคยบวชอยู่วัดของครูบาอยู่เดือนหนึ่งค่ะ และตอนนี้ทำวิทยานิพนธ์เรื่องครูบาศรีวิชัยอยู่ ในประเ้็ด็นเรื่องพระนักพัฒนา หนูล่ะขนลุกจริง ๆ ครูบาตามมาช่วยถึงที่นี่ ฝากเล่าให้อาจารย์ศิริพรฟังด้วยนะคะ (อาจารย์ศิริพรคงจะส่ายศีรษะแล้วบอกว่าเอาอีกแล้วหนูณัชรเชื่อเรื่องอภินิหาร ฮิ ๆ)
ที่อาจารย์่ทำให้หนูนึกถึงหลวงพ่อท่านนั้นก็เพราะว่า
ท่านถามมายากเหลือเกินค่ะ ตอนไปส่งอารมณ์ ท่านยกไม้ขัดมันแท่้งหนึ่งขึ้นมา หน้าตาโบราณมาก หนูก็ไม่ทราบว่าท่านเอาไว้ทำอะไร แต่เล็กกว่าไม้เรียวที่ไว้ตีโยคีนั่งหลับน่ะค่ะ แหะ ๆท่านถามว่า แท่งไม้นี่น่ะ มี หรือว่า ไม่มี โห.....
หนูคงจะทำหน้ายู่ยี่เลย ท่านก็เลยหัวเราะฮ่า ๆ ๆ (พระเซนท่านหัวเราะเหมือนในหนังสือนิทานเซนจริง ๆ นะคะ) แล้วก็บอกว่า แต่คำถามนี้ง่ายเกินไป
หนูเกือบจะหงายหลังผึ่งไปแล้ว แต่กลัวเสียชื่อมูลนิธิศูนย์วิปัสสนาเชียงใหม่ ก็เลยได้แต่ันั่งพนมมือกระพริบตาปริบ ๆ แล้วกำหนดไปด้วย ฟังท่านต่อ
ท่านบอกว่า พระเซนเราไม่ถามกันแค่นี้หรอก ว่ามี หรือไม่มี แต่เราจะถามว่า ถ้ามี ทำไมถึงมี และถ้าไม่มี ทำไมถึงไม่มี
ทีนี้ล่ะค่ะ หนูชักจะเริ่มอยากร้องไห้จริง ๆ หลวงพ่อก็คงจะทราบแล้วโดยไม่ต้องอ่านวาระจิต ท่านก็เลยเปลี่ยนสายตาจากดุ ๆ มาเป็นอ่อนโยนมาก แล้วพูดผ่านคุณโอซามุ คนญี่ปุ่นที่เคยมาบวชที่เชียงใหม่ว่า ให้หนูไปนั่้งสมาธิต่อแล้วก็ลองทำตัวให้เหมือนแท่งไม้แท่งนี้ ถ้าสามารถทำตัวให้คนอื่นมองเราเหมือนแท่งไม้แท่งนั้นได้เมื่อไหร่ ก็จะตอบคำถามข้อนั้นได้
สรุปว่า นั่นคือ โจทย์ หรือ โคอัน ที่ท่านให้หนูมาค่ะ สำหรับเซน นั้น มีหลายนิกาย แต่นิกายที่เป็นของซามูไรสมัยโบราณคือ รินไซ นั้น นิยมใช้โคอัน หรือ การถามตอบประกอบการนั่งสมาธิและเจริญสติในอิริยาบถต่าง ๆ ด้วย แต่น่าเสียดายว่า หลังจากนั้น หนูก็ติดหลายภาระกิจเหลือเกินของทั้งทางมหาวิทยาลัยและรับใช้ชาติ คือ ไปแข่งรายการต่าง ๆ ของดาบซามูไรนี่ รวมทั้งชิงแชมป์โลกด้วย ก็เลยไม่ได้ไปหาท่านอีกเลย
แต่จะว่าไปแล้ว หนูก็ยังคิดไม่ออกอยู่ดีน่ะค่ะว่า ตกลงแท่งไม้นั้นมีหรือว่าไม่มี และถ้ามี ทำไมถึงไม่มี และถ้าไม่มี ทำไมถึงไม่มี ยังนึกอยู่เลยค่ะว่า จะไปพลิกตำราสายเถรวาทไปตอบดีไหมนี่ เพราะยังไงไม่มีทางเกิดภาวนามยปัญญาไปตอบหลวงพ่อทันในอาทิตย์สองอาทิตย์แน่ ๆ แหะ ๆ อย่างนี้เรียกว่าโกงข้อสอบหรือเปล่าคะอาจารย์ ก็ท่านไม่ได้ห้ามนี่คะว่า ห้ามไปหาคำตอบด้วยวิธีอื่น แหะ ๆ แต่นี่หนูก็ใกล้จะกลับอยู่แล้ว ไม่ทราบจะทันได้ไปเจอท่านอีกหรือเปล่า (ว่าแต่ว่า จริง ๆ มันต้องตอบว่าอะไรคะอาจารย์ แหะ ๆ)
สรุปว่าหนูเลยไม่ได้ตอบเรื่องชายชรากับทะเลเท่าไหร่เลย ขอโทษด้วยค่ะ ยากจริง ๆ ถ้านึกออกจะมาเติมทีหลังก็แล้วกันนะคะ
สวัสดีค่ะ,
ณัชร
ป.ล. หนูไม่ทำอาจารย์เสียชื่อนะคะที่วัดเซน เพราะหนูนั่งสมาธิไม่มีหลับเลย เนื่องจากหนูกลัวโดนไม้เรียวค่ะ อ้อ, และเขามีตีระฆัีงเสียงใส ๆ อยู่บ่อย ๆ ด้วยค่ะ เป็นการเรียกโยคีคนถัดไปออกไปส่งอารมณ์น่ะค่ะ เลยไม่ทันได้หลับ เอ๊ย ไม่ทันได้เกิดสมาธิรวมเป็นอารมณ์เดียวมากนัก ทั้ง ๆ ที่ไม่มีการให้กำหนดดูอะไรเลยนอกจากลมหายใจ และไม่มีคำบริกรรมด้วย และนั่งตั้งสองชม. เบาะก็สบายและขยับได้ เอื้ออำนวยต่อการหลับได้อย่างยิ่งค่ะ ความจริงอาจารย์ศิริพรน่าจะแกล้งลองถือไม้เรียวอันยักษ์เดินไปเดินมาเล่นดูเหมือนกันนะคะ หนูว่าคงจะเป็นกุศโลบายที่ดี รับรองโยคีไม่มีทางหลับเลยค่ะ
ว่าแล้วก็เอารูปสวนหินปริศนาธรรมวัดเซนมาฝากอาจารย์ให้ขบคิดเล่นค่ะ จริง ๆ แล้วมีคำสอนอยู่ในนั้นด้วยน่ะนะคะ แต่หนูไม่แน่ใจว่ารูปนี้เป็นของวัดไหน
อาจารย์เคยเล่าให้หนูฟังแล้ว
ถึงปริศนาธรรมของท่านอาจารย์ชา วัดหนองป่าพง
ปริศนาของท่านคือ
"มี...ไม่มี...มี" ต้องแยกออกเป็นสามคำ
ตามประสบการณ์ปฏิบัติธรรม
ก่อนมาปฏิบัติธรรม ทุกๆอย่างล้วนมีตัวตน
พอปฏิบัติไปได้สักหน่อย ผยองตัวว่ารู้ธรรมขั้นสูง
ปากบอกผู้อื่นว่า ไม่มีตัวตน
พอบารมีแก่กล้ามาอีกหน่อย...จึงรู้ว่า
แท้จริงนั้น เป็นเหตุปัจจัย
จะมี ก็เพราะมีเหตุ ...จะไม่มีก็เพราะเหตุนั้นดับไป
ดังนั้น จึง "มี...ไม่มี... มี"
ได้คำตอบแล้วหรือยัง
ขอก้มลงกราบอาจารย์ทีนึงค่ะด้วยความขอบพระคุณและเคารพอย่างยิ่งในธรรมของอาจารย์
หนูลืมธรรมะหลวงพ่อชาไปได้อย่างไร?
คงเพราะยังไม่ได้เข้าไปใน "ใจ" หนูนั่นเอง
ทุกอย่างเป็นไปเพราะเหตุปัจจัยจริง ๆ ด้วยค่ะอาจารย์
หนูไม่ทราบจะได้เจอหลวงพ่อท่านนั้นอีกหรือเปล่า
แต่ถ้าได้เจอ หนูจะพยายามตอบตามที่หนูเข้าใจอย่างที่ได้ฟังจากอาจารย์นี้นะคะ
ว่าแต่ว่าจะแปลเป็นภาษาญี่ปุ่นยังไงดีหนอ....คุณโอซามุยังอยู่หรือเปล่านี่ แหะ ๆ ไม่อย่างนั้นต้องหาทางสื่อสารอย่างเซนอีกแล้ว ซึ่งเซนเขาอ้างเอาว่าพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมครั้งแรกอย่างเซนด้วยการยกดอกไม้ขึ้นมาดอกหนึ่ง แล้วมีพระมหากัสสปะเข้าใจอยู่รูปเดียว โอ้โห...
หนูว่าอาจารย์มาเป็นอาจารย์แลกเปลี่ยนที่นี่ได้สบายเลยค่ะ เพราะอาจารย์เป็นอาจารย์เซนเหมือนกัน อาจารย์มีสื่อการสอนเพียบและมีอุปมาอุปไมยเยอะดีเหลือเกิน โดยไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดสื่อ
อืมม.....มี...ไม่มี...มี
สวัสดีค่ะ อาจารย์
ณัชร
ครับ
ตอนนี้ "ไม่มี" คำตอบ แล้ว
อาจารย์คะ
หลังจากที่เรียนถามวิธีดูภาพและลองกลับมาดูตามคำแนะนำของอาจารย์แล้ว ดูรูป..รู้สึกเหมือนชายชรายิ้มเล็กน้อยแบบคนที่มีความสงบในใจค่ะ และพอค่อยๆเลื่อนอ่านคำอธิบายของอาจารย์ จะรู้สึกถึงความละเอียดอ่อนของภาพอย่างกับมีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นไปพร้อมๆกัน คือรู้สึกเหมือนมีคลื่นโยนตัว มีแสงแดดที่เริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ
ขอเรียนถามอาจารย์ค่ะ ว่า จะถูกต้องไหมคะ ถ้าจะสรุปว่า การดูภาพหนึ่งภาพจนได้ความหมายนั้น หากเรามีจิตที่นิ่งพอ รูปนั้นก็จะโดดเด่นความหมายที่จิตรกรต้องการ และถ้ามีผู้รู้นำทางอย่างที่อาจารย์กรุณาแนะนำ จินตนาการถึงจะก่อตัวเด่นขึ้น
อาจารย์อินทรรัตน์ครับ
การเข้าถึงธรรม หรือสาระ ในธรรมชาตินั้น ต้องอาศัยจิตที่นิ่งสงบ อย่างที่อาจารย์เข้าใจถูกต้องแล้วครับ
จิตตั้งมั่น หมายถึงสมาธิ
ปราศจากสิ่งรบกวน คือไม่ว่อกแว่ก จิตจะเป็นหนึ่งเดียวกับอารมณ์ที่เรารับและรู้ในขณะนั้น
สมาธิ คือจิตตั้งมั่นในแต่ละขณะ สั้นๆ ครับ แต่ติดต่อกัน
ผมรู้สึกว่าอาจารย์มีสมาธิเพิ่มและสงบนิ่งมากขึ้นครับ