สวัสดีปีใหม่ ครับ
ปีนี้ พ.ศ. 2550 หรือเป็น คศ. 2007 หากดูตามตัวเลขของ คศ.ที่ลงท้ายด้วยตัวเลขของพยัคฆ์ร้าย 007 แล้ว เห็นท่าชะตาโลกปีนี้จะไม่เบาเหมือนเรื่องวุ่นวายในหนังเช่นกัน
ตามประเพณีของหนังสือพิมพ์ เมื่อขึ้นรอบปีใหม่ ก็จะเอาคำพยากรณ์จากโหรดังต่างๆมาลงไว้ในหนังสือของตน เป็นคำพยากรณ์ของโลกในรอบปีใหม่ที่จะมาถึง
ผมเปิดอ่านการทำนายชะตาโลกในหนังสือนิตยสารหลายฉบับแล้ว ค่อนข้างมีความเห็นตรงกันในเรื่องจะมีเหตุการณ์ไม่สู้จะดีหลายเรื่องเช่น
เรื่องพิษของเศรษฐกิจ ที่เป็นฐานอำนาจอันดับหนึ่งของโลกปัจจุบันนี้ ที่ทำให้เกิดความวุ่นวายระดับโลก คือเรื่องของราคาน้ำมัน ที่จะพุ่งขึ้นสูงมาก จะก่อให้เกิดความวุ่นวายจนอาจแปรเป็นสงครามโลกครั้งที่สามได้ เพราะดันไปเกี่ยวพันกับเรื่องของอำนาจทางศาสนาและเป็นเหตุของการก่อการร้ายทั่วโลก
อีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องของภัยธรรมชาติ ปีคศ.ใหม่นี้ จะทวีความรุนแรงขึ้นในหลายพื้นที่ ทั้งเรื่องของอุทกภัย วาตภัยที่มีเหตุมาจากแผ่นดินไหว เห็นทำนายไว้น่ากลัว โดยเฉพาะประเทศอินโดนีเชียและประเทศชายฝั่งทะเลอันดามัน
สุดท้ายเป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ที่ประเทศไทยจะมีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง สร้างความปั่นป่วนและวุ่นวายในสังคมไทย
อ่านๆดูแล้ว ผมเชื่อว่าผู้อ่านหลายท่านคงไม่สบายใจนัก เพราะในชีวิตจริงเราคงไม่อยากให้เหมือนหนังแอ็คชั่น ที่ยิ่งรุนแรง ตื่นเต้น และน่ากลัวดู ยิ่งดูสนุก
แต่ในชีวิตจริง เราท่านคงปรารถนาความสุขสงบ
ยิ่งคนในวัยปูนอย่างผมที่ใกล้เกษียณเข้าไปทุกวัน คงคร้านที่จะต้องมาวิ่งกระโดดไล่หรือหนีผู้ร้ายเหมือนอย่างพยัคฆ์ร้ายดับเบิ้ลโอเซเว็น
อย่างเก่ง ผมก็แค่วิ่งหลบเมียไปซื้อของที่ร้านเซเว็นอีเลเว็นเท่านั้น
มีข้อคิดอะไรบ้าง สำหรับข่าวที่เราอ่านเจอ
หนึ่ง ทำใจสบายๆ อ่านแล้วเป็นแค่ข้อมูลชิ้นหนึ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ไม่ต้องเชื่อทั้งหมดที่อ่าน บอกกับตัวเองว่า เป็นแค่คำทำนาย เป็นแค่สิ่งที่คาดหมายว่าอาจจะเกิดขึ้นในอนาคตแค่อาจจะ จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่เกิด ไม่มีการรับรอง ไม่มีการฟันธง!
ถึงอย่างนี้ก็ตาม ผมเชื่อว่าในใจของคนหลายคนที่อ่านข่าวอย่างนี้ ใจมันตกวูบไปแล้ว ถึงหากไม่ตกแต่ก็หวั่นไหวและปลิวตามสิ่งที่อ่านไปแล้ว
ผลที่เกิดขึ้น คือ พาลไม่มีความสุข เครียด วิตกกังวล ไปตลอดปี จนจะพ้นคำทำนาย
ผมรู้สึกตลก ตรงที่ขณะเปิดอ่านหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารเหล่านั้น ตรงหน้าปกจะบรรจงออกแบบอุตส่าห์ คิดซะเริ่ดหรูพร้อมคำอวยพรปีใหม่ให้ผู้อ่านเกิดความสุขอย่างไรบ้าง
เห็นหน้าปกยิ้มแย้มมีความสุข แต่พอเปิดอ่านข้างในเกิดความทุกข์ขึ้นมาทันที
สอง หากยังทำใจให้สบายๆไม่ได้ แสดงว่าใจยังไม่มีหลักยึด ต้องหาหลักมาให้ใจยึดจึงสงบนิ่งได้ครับ และหลักที่ว่านั้น ต้องเป็นหลักที่มั่นคงแน่นหนา ชนิดที่ใจเกาะแล้วอยู่เลย เช่นหลักธรรมและคำสอนของพระพุทธองค์ ที่ว่าด้วยการเจริญสติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีสติอยู่กับปัจจุบันขณะ มีธรรมบทบทหนึ่งที่อยากให้คุณอ่านและคิดตาม
บุคคลไม่ควรตามคิดถึง…
สิ่งที่ล่วงไปแล้ว ด้วยอาลัย
และไม่พึงพะวงถึงสิ่งที่ยังไม่มาถึง
สิ่งเป็นอดีตก็ละไปแล้ว
สิ่งเป็นอนาคตก็ยังไม่มาถึง
ผู้ใดเห็นธรรมเกิดขึ้นเฉพาะหน้าในที่นั้น ๆ
อย่างแจ่มแจ้ง ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน
เขาควรพอกพูนอาการเช่นนั้นไว้
ความเพียรเป็นกิจที่ต้องทำวันนี้
ใครจะรู้ความตายแม้วันพรุ่งนี้
เพราะการผัดเพี้ยนต่อมัจจุราช
ซึ่งมีเสนามาก ย่อมไม่มีสำหรับเรา
มุนีผู้สงบ ย่อมกล่าวเรียก
ผู้มีความเพียรอยู่เช่นนั้น
ไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันกลางคืนว่า
ผู้เป็นอยู่แม้เพียงราตรีเดียว ก็น่าชม
บทหนึ่งจากธรรมวัตร
คำว่าปัจจุบันขณะ จึงสำคัญยิ่งในการดำรงชีพในปัจจุบันนี้ ที่เต็มไปด้วยสิ่งที่เย้ายวนใจและข้อมูลข่าวสารที่มีปริมาณมากมายกว่าคุณภาพ
คำว่าปัจจุบันขณะ จึงหมายถึง ขณะปัจจุบันของจิตที่เกิดขึ้นในแต่ละขณะ
แต่ละขณะของจิต...สั้น และเร็วมาก เช่น ในขณะจิตที่คุณกำลังคิด กำลังพูด และกำลังทำอะไรอยู่ก็ตาม
คุณมีสติ คือรู้ตัวอยู่ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ให้สังเกตใจของคุณ จะอยู่กับสิ่งที่กำลังทำเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป
ที่นี่และเดี๋ยวนี้ !
การที่มีจิตเข้าไปตั้งระลึกในปัจจุบันขณะอยู่เสมอๆนี้ เรียกว่า การเจริญสติให้อยู่ในปัจจุบันขณะ บุคคลผู้กระทำอย่างนี้ อยู่เนืองๆ จะค้นพบความจริงอันประเสริฐว่า
ในช่วงเวลาของปัจจุบันขณะนั้นไม่มีทุกข์ใดใด อาศัยอยู่ได้เลย
แม้แต่ความรุ้สึกว่ามีตัวตน!
เป็นแค่ตัวรู้(จิต) กับอารมณ์ที่ถูกรู้เท่านั้นเอง
เขียนบันทึกนี้ ยังไม่ทันจบ มีข่าวการวางระเบิดในกรุงเทพและเชียงใหม่ทดสอบสติ และการรับรู้ดูยิ่งเกิดสถานการณ์ไม่ดี อย่าซ้ำเติมให้เหตุการณ์เลวร้ายไปอีก ด้วยคำว่า กูว่าแล้ว แล้วตามด้วยคำบ่น ก่นด่า รำพึงรำพัน สาปแช่ง
แต่ขอให้นิ่ง และคอยดูเหตุการณ์ทำในสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตนเองและครอบครัว ไม่ประมาทและไม่ตระหนกเหมือนก้อนหิน ท่ามกลางกระแสน้ำอันเชี่ยวกราก
Learn to be still
ทุกอย่างมีเหตุและปัจจัยทำให้เกิดเรามิได้เป็นเหตุ
แต่อาจเป็นปัจจัยหนึ่งได้หากพลังเผลอสติ
ขอให้นิ่งและมีสติ สังวร ในทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นในชีวิตเรา ทั้งดีและไม่ดี
เพื่อจะได้เกิดปัญญา จัดการกับสิ่งไม่ดีเหล่านั้นได้
จะได้เป็นปัจจัยหนึ่งที่สร้างสิ่งดี
จนกลายเป็นเหตุ ที่สร้างความสงบสุขให้แก่สังคมไทย
ขอขอบคุณอาจารย์พิชัยมากค่ะ สำหรับเรื่องเจริญสติสำหรับปีใหม่นี้ ที่มีตัวทดสอบคือการวางระเบิดกรุงเทพ
หนูเป็นคนนึงที่ข่าวการวางระเบิดทำให้จิตตก รู้สึกสงสารผู้เสียหายและญาติเขาจับใจ
เกิดความรู้สึกว่า จิตใจของคนเราทำไมจึงคิดจะเอาชีวิตผู้อื่นที่ตนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เหตุสึนามิยังเป็นภัยธรรมชาติ ไม่ได้เกิดจากคนเอาชีวิตกันเอง
สวัสดีปีใหม่อาจารย์ค่ะ
ขอบพระคุณอาจารย์สำหรับหัวข้อนี้ค่ะ
หนูชอบคำว่า Learn to be still. ของอาจารย์ เลยนำภาพที่หนูว่าเข้ากับบรรยากาศมาฝากด้วย รูปนี้ถ่ายเองค่ะ เลยอาจจะยังไม่ค่อยลงตัวเท่าไหร่ เป็นวัดไก่เงิน วัดหลานของวัดไก่ทองนั่นเอง (เรียกแบบไทย ๆ แล้วคุ้นเคยดีค่ะ) คือข้างล่างดูเหมือนจะมีกระแสน้ำหลากลงมาจากภูเขาที่มีน้ำตกแรงไหลเชี่ยว แต่เมื่อเจอก้อนหินข้างล่างที่นิ่งสงบแล้ว น้ำก็เรียนรู้ที่จะนิ่งไปได้ด้วยน่ะค่ะ เหมือนตอนที่มันรวมตัวกันใสแจ๋วอยู่ในบ่อด้านหน้า ที่มีปลาคาร์พว่ายร่าเริงไปมาอย่างสบายใจ
ซึ่งภาพที่เห็นข้างหน้านี้ มันก็คงเป็นอย่างนี้มาหลายร้อยปีแล้วล่ะค่ะ พอได้เห็นคำหลักของอาจารย์สำหรับบล็อกอันนี้ว่า อดีต ปัจจุบัน อนาคต หนูก็เลยนึกถึงภาพนี้ อาจจะเป็นภาพแทนสายตาท่านโชกุนที่พอเกษียณอายุตัวเองจากการการว่าราชการแล้วก็มาบวชเป็นพระเซนอยู่ที่นี่จนถึงวาระสุดท้าย ท่านอาจจะกำลังเดินไปให้อาหารปลาก็ได้ ด้วยใจที่สงบนิ่งไม่เป็นทุกข์ร้อนแม้นว่าตอนนั้นบ้านเมืองญี่ปุ่นเขาก็ยังมีการรบราฆ่าฟันระหว่างแคว้นกันอย่างหนักหนาสาหัสอยู่ก็ตาม วัดนี้ก็เลยมีชื่อว่าสวยอย่างเศร้า ๆ อย่างที่ว่านี่ล่ะค่ะ เพราะสร้างในยุคที่รบกันหนักที่สุดในประวัติศาสตร์ของเขา คือยุคปลายมูโรมาจิ
หนูคงจะนับว่ามีบุญหน่อยที่มีเหตุให้มาอยู่ไกลบ้าน เมื่อมีเหตุระเบิด เมื่อได้ข่าว ความรู้สึกแรกจึงเป็นเพียงการรับรู้เฉย ๆ ไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนเท่าไหร่ เพราะจะว่าไปแล้วหนูก็มักจะเชื่อเรื่องเหตุปัจจัยอยู่แล้วว่า เรื่องที่เกิดมันก็เพราะมีเหตุ มันจึงเกิด แล้วก็ผู้ก่อเหตุก็คงจะได้รับผลกรรมที่ตนเองก่อไว้อย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแต่จะช้า หรือเร็ว ก็เท่านั้นเอง
แต่ถ้าสมมติตัวเองอยู่กรุงเทพตอนนี้ด้วยก็คงจะต้องได้รับความไม่ สะดวกไปด้วยเหมือนคนอื่น ๆ ในแง่ที่ว่าจะไปไหนทีก็ต้องเสียเวลาคิดขึ้นมานานอีกหน่อยว่าตกลงไปได้หรือเปล่าเพราะเขาจะเปิดบริการไหม หรือว่าปลอดภัยหรือเปล่า อะไรทำนองนี้ แต่ก็เป็นการเสียเวลาในแง่ logistic น่ะค่ะ ก็แก้ไขกันไปแล้วแต่ว่าจะต้องทำอะไร เฉพาะหน้า ขณะนั้น
อยู่ที่นี่ก็ได้ยินรุ่นน้องบ่นเหมือนกันค่ะว่า จิตตก อะไรทำนองนี้ หนูก็พยายามอธิบายให้เขาฟังไปบ้างเหมือนกันว่าเหตุมันจะต้องเกิด มันก็ต้องเกิด แต่หนูคิดว่าเขาก็คงยังไม่เข้าใจเท่าไหร่ เรื่องอย่างนี้ก็คงจะอธิบายลำบากเหมือนกัน เพราะหนูก็นึกถึงตอนที่หนูอยู่เมืองไทยตอนมีสึนามิแล้วหนูจิตตกไปพักหนึ่งเหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่ก็รู้ดีอยู่แล้วว่ามันเป็นเรื่องของเหตุปัจจัย แต่ตอนนั้นมันรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน คงเป็นเพราะตอนเกิดเหตุหนู(นอนตื่นสาย แหะ ๆ)ฝันเห็นภาพเหตุการณ์ดังกล่าวในเวลาพอดีกับที่เกิดเหตุพอดีไงคะ มันก็เลยใจคอไม่ค่อยจะดีพิกล ๆ ไปพักหนึ่ง พอได้สติกลับมาใหม่ก็ค่อยยังชั่ว แต่จำความรู้สึกจิตตกตอนนั้นได้
แต่ตอนนี้มันเป็นอะไรไปก็ไม่ทราบ มันกลับเฉย ๆ ไม่ได้รู้สึกอะไรเลย แต่กลับรู้สึกลำบากใจที่ตนเองไม่สามารถอธิบายให้คนอื่นรู้สึกสบายใจขึ้น หายจิตตก และมองเห็นความจริงอย่างที่มันเป็น อย่างที่อาจารย์สามารถเล่าได้ดีแล้ว ณ ที่นี้ น่ะค่ะ
ว ่าแล้วก็ขออนุโมทนา
สวัสดีค่ะ อาจารย์
ณัชร
ขอบคุณทั้งหนูกันยามาสและหนูณัชร
จิตตกเป็นภาวะปกติของจิตเมื่อกระทบกับอารมณ์เศร้าหมอง หรือสิ่งที่เราไมอยากให้เกิด ให้มี ให้เป็น
แต่หากรู้ตัวเร็ว คือเกิดสติก็ให้ยกจิต(ที่ตกลงเพราะอำนาจอกุศล) ขึ้นสู่ภาวะกุศล คือจิตดีงามไม่เศร้าหมอง เป็นเจริญเมตตา แผ่เมตตาให้กับผู้บาดเจ็บและผู้ที่ได้ผลกระทบเบียดเบียนเหล่านั้น รวมทั้งผู้คิดร้ายที่เห็นผิดไป ขอให้อำนาจกุศลนี้จงช่วยดลให้เขาเหล่านั้นเป็นสุข กลับใจไม่คิดร้ายอีกต่อไป เพราะจะได้รับผลของกรรมมาตกที่ครอบครัวเขาและบุคคลที่เขารักอย่างแน่นอน
ขอบคุณหนูณัชรสำหรับภาพวัดไก่เงินแม้มิใช่ทอง ก็สวยงามมาก จนอาจารย์ตะลึง
มุมมองที่หนูถ่าย สวยมาก ดูแล้วลงตัว นิ่งสงบและมีมิติลึกเข้าไป มีรายละเอียดของภาพชัดเจน และสีสรรสวยงามมีสีสดเขียวและตัดกับสีตรงกันข้ามนิดหน่อย ทำให้วรรณะของภาพโดยรวมอุ่นขึ้นมา
ขอบใจสำหรับภาพที่สวยและมีคุณค่าเช่นนี้ครับ
พิชัย