ปัดฝุ่นหนทางใจ


เรื่องเล่าจากประสบการณ์ชีวิต

เรื่องเล่าจากประสบการณ์ชีวิต (หมออนามัยไทเลย)

 

                            ปัดฝุ่นหนทางใจ

                                         โดย : ปิติสุข  พันสอน

สำนักงานสาธารณสุขอำเภอเมืองเลย

 

แนวคิดจากการอบรม เพื่อถอดบทเรียนการดำเนินงานป้องกันควบคุมโรค (สคร.6 จ.ขอนแก่น)

                                                                                                           ณ โรงแรมอินเตอร์ รีสอร์ท จ.อุดรธานี

 

 

              

ชีวิต...คือ การเดินทางอันยาวไกล ซึ่งแต่ละขั้นตอนล้วนเผยให้เห็นถึงความหมายบางอย่าง

อันเรามนุษย์ได้เก็บเกี่ยวเอาไว้ แล้วหว่านเพาะลงในผืนดินใจอย่างลึกล้ำ  รอวันให้มันเติบโตขึ้นมาเป็นไม้ใหญ่ ซึ่งจะออกดอก ออกผลมาเป็นความหมายอันแท้จริงของชีวิต...

          ชีวิต...ของแต่ละคนต้องเผชิญกับความแปรเปลี่ยนในห้วงทะเลใจ อันสุดหยั่งถึงของตนและของคนอื่น  ภายในนั้นมีวันคืนแห่งทะเลบ้าและพายุร้าย  ทั้งยังมีวันคืนอันสงบราบเรียบ วันคืนอันแจ่มใส  นุ่มนวล  ความกราดเกรี้ยวและความสับสนยุ่งเหยิง  ทั้งยังเต็มไปด้วยวันเวลาอันสงบสุข  ราบรื่น ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นไปภายในนั้นอุบัติขึ้นแล้วสิ้นสุดลงหมุนเวียนแล้วเปลี่ยนไปดังฤดูกาลในธรรมชาติ...    ฤดูกาลอันอับชื้น  กำลังจะหลีกทางให้ฤดูกาลใหม่  อันเปี่ยมไปด้วยพลังและความหวัง  ในการเกิดขึ้นของสิ่งใหม่ ๆ  ซึ่งท้าทายและเปี่ยมไปด้วยคุณค่า  จากม่านหมอกอันหนาทึบ ซึ่งเดินหลงทางมาเนิ่นนาน มีแสงสว่างส่องลอดลงมา  เปิดเผยให้เห็นรายละเอียดของหนทางใจที่แท้จริง...การเดินทางกำลังจะสอนผมถึงอะไรบางอย่าง  ชีวิตกำลังจะมอบของขวัญบางอย่างให้ผม  ซึ่งมันล้ำค่ายิ่ง ผมจึงจำต้องมีความจริงใจ ที่จะน้อมรับ และเตรียมใจเผื่อรองรับสิ่งสูงค่ายิ่งขึ้นนี้ไว้ อย่างเต็มใจ

          ผม...ได้เดินทางเก็บความหมายของชีวิตมาตามหนทางใจที่ผมเลือก  บนเส้นทางสองสาย  คนรอบข้างเห็นว่า  ผมควรจะเดินทางใดทางหนึ่ง  ในทางที่คุณเองก็เห็นว่าดีสำหรับผม  ถ้าให้ทางเลือกนั้นเป็นทางไปนรกหรือสวรรค์  และเราต่างไม่รู้แน่ชัดว่ามันคือทางสายใด  คุณเองก็ไม่รู้เท่าเท่ากับผม  ได้แต่คาดเดาว่าควรจะเป็นทางนี้ทางนั้น  ให้เป็นสิทธิที่ผมจะเลือกเถิดนะ  เพราะเป็นชีวิตของผม  ผมเตรียมตัวและเตรียมใจไว้แล้ว และจะไม่นึกเสียใจเลยแม้สักนิด  ไม่ว่าจะผิดหรือถูก เพราะเป็นทางชีวิตที่ผมได้เลือกแล้วด้วยตัวเอง  ภาพแต่ละภาพผุดวูบขึ้นมา  เหมือนดังเมล็ดพันธุ์ไม้ป่าที่ปลิวมากับลม ดังละอองแสงแดดหรือดังเกสรดอกไม้ที่คละคลุ้งอยู่ในบรรยากาศ มิใช่ภาพที่เราแลเห็นด้วยตาในขณะนี้  แต่เป็นภาพที่แลเห็นด้วยใจ  และปรากฏขึ้นมาแต่ในอดีตของผม  ซึ่งมีบางสิ่งบางอย่างอยู่ในนั้นที่ไม่ปกติสามัญ  แต่ในขณะเดียวกัน  ก็คล้ายดังกับว่ามีฝุ่นมาเคลือบคลุม มันยังปกปิดอะไรบางอย่างเอาไว้บนหนทางใจของผมที่คุณอาจแลเห็นและเข้าใจ... แต่มันมีอะไรบางอย่างที่อยู่เหนือขึ้นไปกว่านั้น ที่ผมอยากให้คุณได้รับรู้เรื่องราวต่างๆที่มันเกิดขึ้น เผื่อว่าสักวันหนึ่งภาพและความหมายเหล่านี้อาจปะติดปะต่อกันเข้าเป็นการแลเห็นและเข้าใจตัวผม ที่กระจ่างชัดยิ่งกว่าที่ผมเป็นอยู่  ซึ่งไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรที่เหนือธรรมชาติได้... 

          เวลาที่ผมนึกถึงเรื่องสนุกสนานที่ผมมีมาตลอดชีวิต  ผมจะรู้สึกฉลาด  แต่แล้วทันทีที่ผมนึกถึงยามเจ็บป่วยและโศกเศร้า ผมจะรู้สึกเหมือนว่าตัวเองนั้น ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโลกนี้เลย แต่กลับเป็นเพียงมนุษย์โง่เง่าคนหนึ่งเท่านั้น มันเป็นด้านสองด้านของอะไรบางอย่างที่ผมไม่สามารถเข้าใจได้ และผมรู้ว่าผมจะต้องเจ็บปวดมากทีเดียว...  เมื่อจะต้องเรียบเรียงเรื่องราวเหล่านี้ออกมาเป็นตัวอักษร...

 

ลื ม ต า อ้ า ป า ก

 

ค่ำ คื น ไ ร้ เ ดี ย ง ส า   ด อ ก ไ ม้ สี ช ม พู

บ า น ไ ส ว ใ น ท้ อ ง ทุ่ ง สี เ ขี ย ว

 

                                       ใครว่าน้ำค้อนี้    บ้านไม่มีหลักกิโล ฯ

                                       พูดแล้วน่าโมโห    อยากร้องโฮ่ให้สะใจ

                                      หลักหนึ่งสองสามสี่ ตาไม่มีหรือไฉน

                                       หรือว่าไม่เคยไป    เราจะได้ทิ่มใส่ตา

 

มันเป็นด้านสองด้านที่ผมต้องทนกับเสียงพูดหยอกล้อเสียดสีจากเพื่อน ๆ อยู่เสมอ ตั้งแต่ตอนเรียนมัธยมต้น  บางเวลาก็โกรธ บางเวลาก็สุขใจ  กับคำหยอกล้อ   ใช่...ผมเป็นเด็กบ้านนอก  ผมเติบโตที่นี่  หมู่บ้านผมเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ในหุบเขาใหญ่  ซึ่งมีชื่อว่า ภูหลวง   ปัจจุบันถูกเปรียบให้เป็นดั่ง มรกตแห่งอีสาน และได้รับการประกาศให้เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ามาตั้งแต่ปี 2517 เพราะบนภูสูงแห่งนี้เป็นแหล่งรวมดอกไม้ป่านานาพรรณ ที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันผลิดอก ที่มีสีสันสวยงามเปลี่ยนไปตามฤดูกาล 

ท่ามกลางทิวทัศน์อันงดงามทั้งทุ่งหญ้าป่าสน โตรกผา สวนหินธรรมชาติ  ดอกไม้ที่โดดเด่นที่สุดของภูหลวงเห็นจะเป็นกล้วยไม้ ซึ่งบนภูหลวงมีกล้วยไม้สวย ๆ มากมาย ทั้งตามต้นไม้ โขดหิน และบนพื้นดิน  เรียกได้ว่าเพียงก้าวขาลงจากรถก็จะเห็นดอกไม้ชูช่อรอต้อนรับอยู่ทันที รองลงมาก็จะเห็นเป็นกุหลาบภูเขา ซึ่งมีทั้งดอกกุหลาบแดงและกุหลาบขาว ไปจนถึงพืชเล็กๆ อย่างไลเคนฟองหินและมอสต่างๆ แต่ที่พิเศษก็คือ หากไต่ชะง่อนผาลงสู่โคกหินเบื้องล่างจะได้พบกับรอยเท้าไดโนเสาร์ด้วย...ซึ่งเมื่อประมาณสามสิบปีก่อน หมู่บ้านของผมมีเพียงราว 30 หลังคาเรือนเท่านั้น  ผมยังไม่เคยเห็นแสงสว่างจากแสงนีออน  มีเพียงแสงสว่างจากไฟตะเกียง และแสงเทียนเท่านั้นที่ช่วยส่องสว่างความฝันของผมให้ผ่านคืนวัน ไปวันแล้ววันเล่า 

 

          ผมเกิดและเติบโต เรียนรู้ และใช้ชีวิตอยู่ที่หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้มาอย่างคุ้มค่า  ผมมีพี่น้อง 5 คน ขณะจำความได้ แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 4 คนเท่านั้น ส่วนพี่ชายคนโตเขาได้เสียชีวิตตั้งแต่ผมอายุได้เพียง 5 ขวบเท่านั้น  วันนี้ผมได้แต่นั่งรอคอยการกลับมาของพ่อซึ่งเขาไปทำหน้าที่อันสำคัญที่อำเภอ...พ่อผมเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านมาตั้งแต่ผมจำความได้เลยทีเดียว  ส่วนแม่ก็ทำไร่ทำนาตามปะสาคนบ้านป่าผาดอย ทั้งที่สุขภาพของแม่ไม่ค่อยแข็งแรงนักแม้กระทั่งวันนี้แม่ผมยังนอนอยู่บนบ้าน แม่ไม่สบายมาได้ประมาณ สองถึงสามวันแล้ว  บ้านผมเป็นบ้านไม้ทรงสูง  ใต้ถุนโล่ง อยู่บริเวณใจกลางของหมู่บ้าน  มีต้นมะขามใหญ่สามต้นที่คอยคุ้มแดดคุ้มฝนให้เมื่อยามที่ฟ้าสลาย

          มีบางครั้งที่แม่เคยบ่นให้พ่อว่าประชุมบ่อย  มีงานราชการและส่วนรวมมากจนไม่มีเวลาที่จะไปทำไร่-ทำนา จนบางปีทำให้ได้ผลผลิตที่ไม่พอเลี้ยงครอบครัว  ผมเคยไปเก็บพริกกับแม่เพื่อนำไปแลกข้าวสารของเพื่อนบ้านมากิน  แต่พ่อก็ไม่เคยบ่น พ่อเขายังคงทำหน้าที่อย่างเข้มแข็ง ซึ่งผมได้ซึมซับเอาความเสียสละและการอุทิศเวลาให้กับส่วนรวมมาจากเขาบ้างพอประมาณ...

 

 

พี่ ช า ย ที่ แ ส น ดี

         

          หลังจากพี่ชายผมเรียนจบชั้น ป.4 ซึ่งตอนนั้นเป็นระดับการศึกษาชั้นที่สูงที่สุดของโรงเรียนแล้วพี่ชายก็ได้ไปบวชเรียนที่วัดแห่งหนึ่งที่อำเภอนาด้วง(ปัจจุบัน) ส่วนพี่สาวสองคนเรียนอยู่ ป.1 กับ ป.3 ส่วนน้องชายผมนั้นพึ่งได้เพียง 1 ขวบเท่านั้น  ตอนเด็ก ๆ ผมได้มีโอกาสไปโรงเรียนกับพี่เป็นประจำ วันนี้ก็เช่นเคย  ผมได้ไปโรงเรียนกับพี่เขา  แต่ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะผมเอาแต่นอนหลับทั้งวันอยู่หลังห้องเรียน  จนกระทั่งเลิกเรียน หลังจากกินข้าวเย็นแล้วผมก็เข้านอน ผมรู้สึกตัวอีกครั้งกลางดึก  พ่อ-แม่และพี่สาวร้องไห้กันทั้งบ้าน  ผมจึงร้องตาม ปกแล้วติผมไม่เคยเห็นพ่อร้องไห้ พ่อเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ แม่เข้ามาปลอบผมอย่าร้องไห้ ไปนอนบ้านป้ากับพี่เขานะ  แล้วพ่อ-แม่ และน้องชาย ก็จากไปกับรถยนต์ที่วิ่งเข้ามายังหมู่บ้านในยามดึก ที่ผมรับรู้ได้ว่ามีไม่สักกี่คันที่ได้มาเหยียบที่หมู่บ้านเล็ก ๆแห่งนี้ 

          ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น   รู้เพียงว่าพ่อ-แม่ และน้องชายไปดูพี่ชายที่กำลังนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล  ผมไม่อาจหักห้ามใจได้  หากพี่ชายผมเป็นอะไรไป  เพราะตั้งแต่ผมจำความได้  ผมจะสนิทกับพี่ชายผมเป็นพิเศษ  หากพี่เขาไปเที่ยวที่ไหน  เล่นที่ไหน ผมได้ติดตามพี่เขาไปอยู่เสมอ วันนี้ก็เหมือนกัน  หลังเลิกเรียนแล้ว พี่ชายและเพื่อน ๆ อีกประมาณ 6 คน ได้ชวนกันไปยังป่าแห่งหนึ่งที่อยู่ท้ายหมู่บ้านเพื่อเอาแมลงชนิดหนึ่ง ที่บ้านเรียก แมงคราม ที่อยู่บนต้นมะข่า หรืออยู่บนปลายยอดของหน่อไม้   ผมก็ได้ตามพี่เขาไปเช่นเคย  ในขณะที่พากันวิ่งไล่จับแมลงอยู่นั้น  ผมได้ยินเสียงผู้หญิงแก่คนหนึ่งร้องตะโกนออกมาอย่างดัง เฮ้ยๆ พวกมึงไปทำอะไรอยู่ในป่านั่น ออกมาเดี๋ยวนี้นะ  พอสิ้นเสียงเท่านั้นแหละ ผมต้องตกใจแทบช๊อค กอไผ่ทั้งกอโอนเอนไหวไป-มา  ราวกับว่ามีคนไปเขย่าอย่างแรง  ทุกคนต่างวิ่งหนีกันอย่างอุดตะหลุด  มีผมและพี่ชายวิ่งรั้งท้ายขบวน พอวิ่งมาได้พักหนึ่ง พี่รองเท้าหลุดผมร้องตะโกนบอกพี่  เดี๋ยวพี่จะไปเอามาให้  รออยู่ที่นี่นะ พี่ชายพูดพรางวิ่งกลับไปเอารองเท้ามาสวมให้ผม  วิ่งต่อเร็ว พี่ชายจูงมือผมแล้วออกวิ่งต่อ  จนกระทั่งมาเจอเพื่อน ๆ ของพี่ บริเวณทางที่เป็นร่องน้ำและมีท่อนไม้ขนาดใหญ่ขวางอยู่  หากจะผ่านไปได้ต้องลอดใต้ท่อนไม้ทีละคน แล้วทุกคนก็ลอดผ่านท่อนไม้ใหญ่มาได้อย่างอกสั่นขวัญหาย  ผมบอกไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น  แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันทำให้ผมต้องนอนจับไข้หัวโกร๋นถึงสามวัน  ส่วนพี่ชายโดนพ่อ-แม่ ตี  พร้อมห้ามไม่ให้ผมไปไหนต่อไหนกับพี่เขา  แต่ผมก็แอบไปอยู่เสมอๆ

          พ่อ-แม่และน้องจากไปได้ประมาณสี่วัน  พอกลับมา  แม่ไม่ยอมรับประทานอาหาร และมีเพื่อนบ้านรวมทั้งญาติๆมาดูอาการของแม่กันเต็มบ้าน  พี่เราตายแล้ว พ่อบอกกับผมด้วยอาการที่เศร้าหมอง  ผมปล่อยโฮอย่างแรง... หยาดน้ำตาผมก็เอ่อขึ้นมา  พี่เขาไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว  พี่เขาไปอยู่บนสวรรค์ พ่อย้ำคำพูดเครือๆเสียงสะอื้นตามมาไม่ขาดสาย... ครอบครัวผมต้องเผชิญกับการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ ตั้งแต่ที่ผมจำความได้  วันนี้ผมไม่มีพี่ชายคอยพาไปไหนต่อไหนแล้ว  พี่ชายที่แสนดีจากไปอย่างไม่มีวันที่จะกลับมาหาผมอีกแล้ว แต่ผมก็ยังดีใจกับพี่ชาย  หากมีใครถามผมว่า พี่ชายไปไหน ผมก็จะบอกเขาว่าพี่ชายไปเที่ยวสวรรค์เดี๋ยวพี่เขาก็คงกลับมา

          แม่เริ่มอาการดีขึ้น  ซึ่งได้กำลังใจจากน้องชายผม ที่นับวันยิ่งเติบโตและมีนิสัยบางอย่างที่คล้ายกับพี่ชายตอนเด็กมาก  ไม่ว่าจะเป็นรูปร่าง หน้าตา หรือเสียงหัวเราะ  (แม่บอก) หากแต่ว่ามันโหดร้ายเกินไปที่ผมจะทำใจให้ลืมพี่ชายคนนี้ของผมได้ มิตรภาพและความผูกพันที่ดีงามระหว่างพี่น้องเป็นสิ่งสูงค่าและงดงาม  ที่สำคัญความผูกพันระหว่างเรา มิได้ถูกตีค่าด้วยราคา หากแต่มีค่าที่จิตใจ  จึงมีแต่คนที่เข้าใจคำว่าพี่ชายและน้องเท่านั้นที่สามารถจะมีได้  เรื่องราวของชีวิตอาจจะหม่นหมองและยากลำเค็ญ  คนส่วนใหญ่มีชีวิตอยู่และเลือกที่จะสู้ต่อไปเช่นเดียวกับผม...

 

 

น้ อ ง ช า ย ที่ แ ส น รั ก

          น้องชายพออายุแกได้ประมาณ 3 ขวบ  ครอบครัวของผมต้องเผชิญกับโชคร้ายอีกครั้ง เมื่อน้องชายถูกไฟไหม้ขาเกือบพิการ...หลังเลิกเรียนของเย็นวันหนึ่ง ผม กับพี่สาวและน้องได้ไปเก็บผลมะเกลือที่บ้านคุณปู่ล้ำ ที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านของผมเท่าไหร่  ขณะที่พวกเราต่างพากันเก็บผลมะเกลืออยู่นั้น  ปู่ล้ำได้อุ้มร่างน้องชายที่เปื้อนไปด้วยขี้เถ้าจากเตาไฟ จากที่ปู่แกได้ก่อไว้แต่ดับไม่หมด บนที่ขาซ้ายของน้องชายเต็มไปด้วยเศษหญ้าและขี้เถ้า น้องร้องไห้อย่างแรง...  ผมกับพี่สาวรีบวิ่งไปตามพ่อ-แม่ที่ไร่ซึ่งห่างจากหมู่บ้านประมาณ 5 กิโลเมตร  สภาพของน้องชายที่ได้รับผลจากขี้เถ้าร้อนครั้งนี้ทำให้ครอบครัวผมต้องรับภาระหนักเนื่องมาจากต้องพาน้องชายไปทำแผลที่สถานีอนามัยที่อยู่ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 10 กิโลฯ  สภาพถนนยังเป็นถนนลูกรังที่ลำบาก ฤดูฝนการเดินทางเข้า-ออกหมู่บ้านจะลำบากมาก  หากแต่ว่า น้องชายคนเล็กผมมีอะไรที่พิเศษทำให้เขาหายเร็วมากและไม่พิการเดินได้เป็นปกติดีทุกประการ...

 

 

ใ น รั้ ว แ ส ด -  เ ห ลื อ ง

โรงเรียนบ้านน้ำค้อ

 

          วันนี้พ่อไปประชุมประจำเดือนที่อำเภออีกครั้ง  ซึ่งวันนี้ก็ไม่ต่างจากครั้งก่อน ๆ คือต้องมีแม่และน้องชายเดินทางร่วมด้วย ส่วนผมและพี่สาวอีกคนได้ไปโรงเรียนตามปกติส่วนพี่สาวคนโตไปทำไร่ พอสิ้นเสียงระฆัง นักเรียนต่างทยอยเดินทางกลับบ้านเพื่อจะกลับไปรับประทานอาหารเที่ยงที่บ้าน  คอมมิวนิส  คอมมิวนิส   ผมได้ยินเสียงร้องตะโกนดังมาจากกลุ่มเพื่อน ๆ ที่เดินอยู่ข้างหน้ากลุ่มผม  วิ่งเข้าป่าไป...เร็วๆ   พี่สาวร้องบอกเมื่อสิ้นเสียงเมื่อสักครู่ลง มันทำให้ผมตกใจและวิ่งเข้าไปในป่าข้างถนนพร้อมกับพี่สาวและเพื่อน ๆ หลายคน   ขณะที่ซ่อนตัวอยู่นั้นผมมีความรู้สึกว่าผมได้เห็นภาพที่อยู่ข้างหน้าไกลๆ  มันคือภาพของทหาร หรือไม่ก็ตำรวจที่ผมเคยเห็นอยู่ในหนังสืออ่านเล่นที่มีคณะนักศึกษารุ่นพี่ที่เรียนอยู่ม.รามคำแหงมาออกค่ายและทำห้องสมุดประจำหมู่บ้านพร้อมทั้งได้บริจาคหนังสือประจำไว้ที่ห้องสมุด  ผมตัดสินใจอยู่พักหนึ่งจึงวิ่งออกมาจากที่หลบซ่อนตัว ภาพที่ผมเห็นอยู่ข้างหน้าห่างออกไปประมาณ 50 เมตร  มีผู้ชายแต่งตัวคล้ายทหาร  มีอาวุธปืน มีดและสะพายเป้ใบใหญ่ ทหาร ทหาร  ไม่ใช่คอมมิวนิส ผมร้องตะโกนออกไป  ออกมาได้แล้ว ทุกคนที่ซ่อนอยู่ต่างพากันเดินออกมา  และจับกลุ่มกันเพื่อเดินเข้าไปยังหมู่บ้านด้วยท่าทีที่เกรงกลัวพอกลุ่มพวกผมเดินมาถึงยังจุดที่ผู้ชายคนนั้นยืนอยู่   และกำลังจะเดินผ่านไป  ไอ้พวกเด็กเหล่านี้อยากตายหรือไง  รีบวิ่งกลับบ้านเร็วๆ เข้า  เสียงตะโกนบอกจากชายคนหนึ่งซึ่งเป็นชาวบ้านนั่นเอง   ทันใดนั้น ผู้ชายคนนั้นก็หันมองมายังกลุ่มผม  ผมและพี่สาวต่างจูงมือกันวิ่งหนีไปยังบ้านยายคนหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดนั้น และมีเด็กนักเรียนหลายคนวิ่งขึ้นไปอย่าขึ้นมาบ้านกู อย่าขึ้นมาบ้านกู  ยายปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใยแถมปิดประตูบ้าน  แล้วเสียงปืนก็รัวดังสนั่นหวั่นไหว  ผมกับพี่สาวจำเป็นต้องวิ่งต่อไปเพื่อที่จะให้ถึงบ้านให้เร็วที่สุด โดยไม่ยอมหันหลังกลับไปแม้เสี้ยวเดียว  กว่าจะถึงบ้านก็เหนื่อยแทบใจจะขาดเหมือนกัน    หลบเข้าไปในบ้านเร็วเข้า พี่สาวเปิดประตูบ้านและพูดด้วยน้ำเสียงสั่นซึ่งไม่ต่างกับผมที่อกสั่นขวัญหายรอดตายมาอย่างปาฏิหาริย์

          พอเวลาผ่านไปได้สักพัก  เสียงรถมอเตอร์ไซด์ดังมาใกล้และดับลง เด็กนักเรียนทุกคน ขอให้ขึ้นไปพร้อมกันที่โรงเรียนในตอนนี้  เสียงร้องตะโกนจากคุณครูท่านหนึ่ง  นักเรียนทุกคนได้กลับขึ้นไปยังโรงเรียนอีกครั้ง และได้ไปร่วมร้องเพลงกันที่ห้องเรียนชั้น ป.1 ซึ่งมีอาจารย์ใหญ่และอาจารย์นิโรจน์  วะรีฤทธิ์  เป็นผู้พานักเรียนทำกิจกรรม  จนถึงเวลาเลิกเรียน   ตอนเย็นนักเรียนทุกคนต่างพากันแยกย้ายกลับบ้าน ใครบ้านเรา  โดยไม่ได้ไปเที่ยวเล่นหยอกล้อกันดังเช่นวันอื่น ๆ ที่ผ่านมา  ส่วนผมกับพี่สาวเมื่อกลับมาถึงบ้าน ต่างก็ดีใจกับรองเท้าคู่ใหม่ที่แม่ซื้อมาให้คนละคู่  ในขณะที่พวกเรากำลังชื่นชมกับรองเท้าคู่ใหม่อยู่นั้น  ได้มีเครื่องบิน บินวนบนท้องฟ้าเหนือหมู่บ้านเสียงไซเลนดังขึ้นเป็นจังหวะ ครอบครัวผมต่างพากันวิ่งลงหลุมหลบภัยโดยมีพ่อถือปืนคอยเป็นยามเสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหว ยังกับในหนังสงครามที่ผมเคยดูยังไงยังงั้น   สักครู่ใหญ่ เสียงปืนก็สงบลง พร้อมกับมีเสียงรถถังบรรจุปืนใหญ่ พร้อมรถบรรทุกทหารจำนวนหนึ่งวิ่งเข้ามายังหมู่บ้านแทน พร้อมกับทำการตั้งค่ายประจำอยู่ที่โรงเรียน และทุกวันตอนเย็นค่ายทหารแห่งนี้ต้องยิงปืนใหญ่ไปยังภูหลวงเป็นประจำเรื่อยมา  คอมมิวนิสคือใคร พ่อ ผมถามพ่อด้วยท่าทีที่อยากรู้ แล้วต่างกับตำรวจหรือทหารอย่างไร ผมถามต่อในขณะที่ยังไม่ได้ฟังคำตอบจากพ่อ ในที่สุดผมก็ได้ฟังคำตอบซึ่งก็เป็นจริงอย่างที่พ่อบอก คอมมิวนิสคือโจรผู้ร้าย คือคนไม่ดี ส่วนทหารคือคนดีซึ่งคอยปกป้องบ้านเมืองและคุ้มครองภัยให้กับพวกเรา    ต่างกันที่การแต่งกายโดยมีดาวสีแดงติดที่หมวกหรือเสื้อซึ่งตอนแรกหากผมรู้ว่าชายคนที่เขาเข้ามายังหมู่บ้านเมื่อตอนกลางวันเขาเป็นคอมมิวนิส ผมคงไม่กล้าที่จะวิ่งออกมาจากที่ซ่อนและเดินผ่านไปอย่างแน่นอน

 

 

 

ก า ร ชุ ม นุ ม ป ร ะ ท้ ว 

 

หนังสือพิมพ์ลงข่าวหน้าหนึ่ง ไทยรัฐชาวบ้านน้ำค้อ 500 คนบุกชิงตัวแม่ชี ร่วมขบวนการค้าไม้เถื่อน  หนังสือพิมพ์เดลินิวส์  ชาวบ้านน้ำค้อกว่า 600 คน โดนจับคดีตัดไม้ในป่าสงวนแห่งชาติ  มันไม่ยุติธรรมกับพวกเราซึ่งเป็นชาวบ้านน้ำค้อเลย  สื่อหนังสือพิมพ์สอนให้ผมเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งมาแต่ครั้งที่เกิดเหตุการณ์นี้แล้ว  มันเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านของชีวิตผมที่มีเหตุการณ์สำคัญที่สอนให้ผมเลือกที่จะเรียนรู้สื่อประเภทหนังสือพิมพ์ที่ผม  ในบางครั้งจำเป็นที่จะต้องอ่านไม่ว่าจะเป็นในช่วงพักขณะไปประชุมหรือที่ทำงาน   เป็นช่วงเวลาตอนปิดเทอม ป.6  พ.ศ. 2528 มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในหมู่บ้านของผม โดยอยู่ ๆ ได้มีรถแทรกเตอ

หมายเลขบันทึก: 188804เขียนเมื่อ 18 มิถุนายน 2008 19:50 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 พฤษภาคม 2012 13:00 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (12)

มาให้กำลังใจครับ...

ผมคิดไม่ถึงเลยว่า เพียงแค่ช่วงไม่กี่ชั่วโมง จะมีงานเขียนดีๆ เริ่มต้นออกสู่สาธารณะเช่นนี้

วันนี้ผมเห็นศักยภาพของทุกคนแล้ว ผมเชื่อแน่ว่า "ความลุ่มลึก" และ "ประสบการณ์ที่มีคุณค่า" ของทุกท่าน หากมีพื้นที่และโอกาส จะมีพลังและช่วยให้สังคมหมุนวงของความรู้ไปข้างหน้า

และผมก็เชื่อว่า Voice จากพวกเรา...มีคุณค่าและเป็นผลึกความรู้ที่ช่วยเยียวยาสังคมวิกฤตเช่นนี้

ผมขอให้กำลังใจครับ

รักและศรัทธาครับ

--------------------------

จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร

๑๘ มิ.ย.๕๑

ผมนำภาพมาฝากครับ...
เรื่องราวของวันนี้

 

สวัสดีค่ะ...

เข้ามาทันการทันได้อ่านเรื่องราวดีดี ที่ออกมาจาก...ภายใน (จิตเป็นผู้ทำงานผ่านสมอง) เมื่อไรก็ตามที่เราเปิดเข้ามาดูภายในของเรา... ดูและพิจารณาไปเรื่อยด้วยใจที่เป็นกลาง...

กลางที่ไม่เอียงไปทางด้านชอบใจหรือไม่ชอบใจ... เราจะมองเห็นความชัดภายในเรามากขึ้น

อ่านแล้ว...ทำให้ได้เรียนรู้เรื่องราวของคนคนหนึ่ง...

ขอบคุณนะคะ...

_____________________________

กะปุ๋ม

มาชื่นชมบันทึกสร้างสรรบันทึกนี้ครับผม...

แต่ละช่วงแต่ละก้าวของชีวิตมีเรื่องราวให้เราได้เรียนรู้มากมาย ทุก ๆ เรื่องราวมีคุณค่าและมีความหมายต่อการมีชีวตของเราครับผม...

ขอบคุณครับ...

 

ขอบคุณครับ สำหรับคำชื่นชม

ผมเพียงฝึกทำ Weblog ครับ ! บังเอิญมีเรื่องราวชีวิตที่เขียนเล่าไว้เล่น ๆ

ลองตัดตอนมาลงนะครับ ต้องขอโทษด้วยเพราะงานเขียนยังไม่ได้รับการEdit

มีกำลังใจที่อยากจะศึกษาและมี Weblog ส่วนตัวมากเป็นสิบเท่าเลยครับ

ขอบคุณมากครับที่ช่วยจุดประกาศฝันให้ผม...

ขอบคุณนะครับ

Pitisuk

คุณปิติสุข

ลองตัดตอนเรื่องยาวๆลงเป็นเรื่องๆ ไม่ยาวมากดูนะครับ จะทำให้บันทึกอ่านง่าย มีภาพด้วยดีมั้ยครับ

ภาพวันนี้ "หมูสองตัว" ไงครับ

บันทึกน่าอ่านมาก ผมชื่นชมด้วยใจจริงครับ พรุ่งนี้เจอกันครับ คงได้พบกับนักเขียนตัวจริง คุณอรสม สุทธิสาคร
ขอให้กำลังใจครับผม

ผมเดินทางตามคำแนะนำของคุณเอก ...

ขออนุญาตแสดงความเห็นในภายหลัง ครับ

ขอบคุณครับ :)

ตามอาจารย์วสวัสเข้ามาค่ะ

บันทึกน่าอ่านมากค่ะ

  • เข้ามาอ่านบันทึก น่าอ่านมากค่ะ โอกาสหน้าเขียนเล่าเรื่องราวของการทำงานบ้างนะคะ อยากรู้ว่าหมออนามัยที่อื่นๆ มีเรื่องราว ประสบการณ์การทำงานเป็นไงกันบ้าง
  • ขอบคุณค่ะ

                                                  หมออนามัยทางใต้

กลับมาถึงบ้าน นครพนม ตอน 8 โมงเช้า ครับ

การเดินทางปลอดภัยดี แต่เหนื่อย

วันนี้คงต้องพักเอาแรงสักวันก่อนครับ

เข้ามาชื่นชมส่งดี ๆ ครับ

ภาพสวยดีจัง

หวัดดีค่ะ...

เข้ามาให้กำลังใจค่ะ...

บันทึกบรรยายได้ดีมากเลย

ทำให้มีอารมณ์ร่วม...

สู้ ๆ ค่ะ   ^_^

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท