จากหัวข้อการบรรยาย “สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการจัดการอาชีวศึกษาและฝึกอบรมวิชาชีพ” (อ้างถึง ไพฑูรย์ นันตะสุคนธ์ 23 มิถุนายน 2553) ผู้เขียนลองวิเคราะห์ถึงสภาพปัจจุบันของการจัดอาชีวศึกษา ความน่าจะเป็นหรือเป็นไปได้ เพื่อให้บรรลุตามข้อเสนอดังกล่าวข้างต้น เป็นการมองจากอีกหนึ่งมุมและแค่เพียงคนหนึ่งคนที่อยู่ในแวดวงอาชีวศึกษา มีเรื่องใดบ้าง ลองอ่านกันลำดับข้อดังนี้
*การมีเอกภาพด้านนโยบายและมีความหลากหลายในทางปฏิบัติ
โดยมีการกระจายอำนาจจากส่วนกลางไปสู่สถานศึกษาและสถาบัน
เพื่อให้สอดรับกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
(ฉบับที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๓๙)
ระบุไว้ว่า ให้กระทรวงกระจายอำนาจการบริหารและการจัดการศึกษา
ทั้งด้านวิชาการ งบประมาณ การบริหารงานบุคคล
และการบริหารทั่วไปไปยังคณะกรรมการ และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
และสถานศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษาโดยตรง
อาชีวศึกษาได้มีประกาศจัดตั้งสถาบันและเริ่มปรับหลักสูตร
ทำกรอบหลักสูตรเพื่อรองรับในระดับสูงขึ้น
นักศึกษาแผนกวิชาการท่องเที่ยว วิทยาลัยอาชีวศึกษาภูเก็ต
*การศึกษาในด้านวิชาชีพสำหรับประชาชนวัยเรียนและวัยทำงานตามความถนัดและความสนใจอย่างทั่วถึงและต่อเนื่องจนถึงระดับปริญญาตรี
สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษามีหลักสูตรที่หลากหลายเจาะจงถึงลักษณะของสาขางานเฉพาะ
โดยใช้วิธีการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีเข้ามาช่วยในการจัดการ
แต่ก็พบว่า
ประชาชนวัยเรียนและวัยทำงานก็ยังมองสาขาเป็นที่นิยมของตลาดผู้เรียน
ไม่ได้มองตลาดของอาชีพ ฉะนั้น สาขายอดนิยมทั้งหลายก็เป็นยานยนต์ บัญชี
คอมพิวเตอร์ เป็นต้น
ความต่อเนื่องจะสู่ระดับที่สูงขึ้นมีการประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจที่ยังสับสนกับผู้เรียนและผู้ปกครองที่มีบทบาทสำคัญ
โดยเฉพาะตอนนี้
สถาบันการศึกษาซึ่งเคยรับนักศึกษาจากอาชีวศึกษาในระดับปริญญาตรี
ก็ปรับเปลี่ยนบทบาทด้วยใช้วิธีการเทียบโอนผลการเรียน แทนคำว่า
“หลักสูตรต่อเนื่อง” เป็นจุดขายเช่นแต่ก่อน
*การมีส่วนร่วมของชุมชน
สังคมและสถานประกอบการ ในการกำหนดนโยบายการผลิตและพัฒนากำลังคน
รวมทั้งการกำหนดมาตรฐานการอาชีวศึกษา ต้องยอมรับความจริงว่า
สภาพปัจจุบันอาชีวศึกษาผลิตกำลังคน
สวนทิศทางความต้องการของสถานประกอบการ
หรือผลิตตรงกับสาขาที่สถานประกอบการต้องการ
แต่คุณสมบัติของสิ่งที่ผลิตกลับต้องถูก Reject หรือ complain อยู่เสมอ
ข้อสังเกตแรก ๆ ที่สถานศึกษาหันมามองคือ หลักสูตร
มีการปรับเปลี่ยนให้ทันต่อเหตุการณ์
หรือหลักสูตรได้ปรับเปลี่ยนครอบคลุมสถานการณ์ในปัจจุบันแล้ว
แต่ผู้สอนยังยึดติดกับการสอนเนื้อหา รูปแบบการสอนเดิม ๆ
จะด้วยไม่ได้รับการพัฒนาหรือติดตามนิเทศการจัดการเรียนการสอน
อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือปัจจัยอื่น ๆ
ยังไม่นับรวมถึงนโยบายของสถานประกอบการที่ยังมุ่งรับเฉพาะกลุ่มที่จบ
ปริญญาตรี โดยมองข้ามระดับ ปวส.
ที่อาชีวศึกษาได้ผลิตแล้วแต่ไม่เป็นที่ต้องการหรือยอมรับในตลาดแรงงาน
จึงเป็นการทำงานที่สวนทางกัน
นักศึกษาสาขาวิชาท่องเที่ยว วิทยาลัยอาชีวศึกษาภูเก็ต
*การศึกษาที่มีความยืดหยุ่น
หลากหลายและมีระบบเทียบโอนผลการเรียนและระบบเทียบประสบการณ์การทำงานของบุคคลเพื่อเข้ารับการศึกษาและการฝึกอบรมวิชาชีพอย่างต่อเนื่อง
การเทียบโอนผลการเรียนและระบบเทียบประสบการณ์มีระบุไว้ในระเบียบฯ
ว่าด้วยการประเมินผลการเรียนฯ
เกี่ยวกับหลักเกณฑ์การประเมินเทียบโอนความรู้และประสบการณ์
มาเป็นเวลานานพอสมควร
แต่ให้ทางปฏิบัติกับพบข้อจำกัดบางประการบางสถานศึกษาที่มีการโฆษณากลายเป็นจุดขายให้เกิดภาพ
“เรียนง่าย จ่ายครบ จบไว”
แข่งขันกันระหว่างสถานศึกษาอาชีวศึกษาในพื้นที่กับอาชีวศึกษาที่ข้ามห้วยข้ามดอยมาจากจังหวัดอื่น
โดยใช้วิธีการจัดการอย่างเป็นระบบหรือได้คุณภาพตามจริงหรือไม่
ก็ยากที่จะพิสูจน์ได้หรือขาดผู้ดูแลติดตามเรื่องนี้อย่างจริงจัง
ทั้งนี้ พบว่า
หลายหน่วยงานก็เล็งเห็นความสำคัญของการเทียบโอนประสบการณ์เพื่อจะได้วุฒิเทียบเคียงทางด้านวิชาชีพ
เพียงแต่ว่า หน่วยงานใดของ สอศ.
จะทำให้แนวทางนี้ชัดเจนและมีกรอบระเบียบกำหนดไว้เพื่อให้เกิดคุณภาพตามที่ควรจะเป็น
*การมีระบบจูงใจให้สถานประกอบการมีส่วนร่วมในการจัดการอาชีวศึกษาและฝึกอบรมวิชาชีพ
สถานประกอบการหลายแห่งเห็นว่า
ระบบการจัดการศึกษาที่เป็นการสร้างคนให้กับอาชีพหรืองานของสถานประกอบการ
จนหลายแห่งที่เคยร่วมงานกับอาชีวศึกษา
ก็จัดการศึกษาขึ้นเองหรือเบนเข็มจากอาชีวศึกษาภาครัฐไปร่วมมือกับสถานศึกษาอาชีวศึกษาเอกชน
เนื่องจากความคล่องตัวในการจัดการได้ดีกว่า
ในบางเรื่องมีข้อจำกัดของสถานศึกษาภาครัฐ
ไม่ว่าจะเป็นบุคลากรหรือเวลาในการจัดการเรียนการสอน
ไม่นับในเรื่องครุภัณฑ์บางประเภท
ที่สถานประกอบการทันสมัยกว่า
หลายครั้งพบว่า
การสำรวจความพึงพอใจของสถานประกอบการในการรับนักศึกษาเข้าไปฝึกงานหรือฝึกประสบการณ์
และได้ข้อปัญหาซ้ำ ๆ
แต่สถานศึกษาไม่ได้พยายามจะแก้หรือแก้เรื่องเหล่านั้น
ไม่ถูกทางหรือหาทางไม่เจอในทางแก้ปัญหาร่วมกัน
กลายเป็นทางตีบตันทั้งสองฝ่ายที่ร่วมมือกันโดยผู้เซ็นสัญญาระดับสูงก็มองภาพที่สวยหรูในขณะผู้ปฏิบัติทั้งสองฝ่ายกับพบเรื่องเล็กที่นับวันจะกลายเป็นปมที่จะสางไม่ออก
การมีระบบจูงใจที่ไม่นับเป็นราคาค่างวดที่เคยใช้
มาก่อนเช่น
อบรมให้ความรู้กับสถานประกอบการในเรื่องเทคนิคบางประการที่เรามีต้นทุนอยู่แล้ว
ได้แก่ วิธีการสอน เทคนิคการสอน การทำแผนการฝึก
การพบปะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างครูกับครูฝึกของสถานประกอบการ
ถูกละเลยในระยะหลัง
*การระดมทรัพยากรทั้งจากภาครัฐและเอกชนในการจัดการอาชีวศึกษาและการฝึกอบรมวิชาชีพ
โดยคำนึงถึงการประสานประโยชน์อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม
ความตั้งใจจริงของผู้บริหารระดับสูงในการพัฒนาอาชีวศึกษา
ไม่ว่าจะเป็น MOU (Memorandum of Understanding) กับหน่วยงานต่าง ๆ
เป็นลู่ทางทำให้การปฏิบัติงานในระดับล่าง ๆ คล่องตัวขึ้น นั้นคือ
แนวทางที่ปฏิบัติได้จริงกับสถานศึกษาขนาดใหญ่ทั้งหลายที่ประจำในตัวจังหวัด
แต่สถานศึกษาที่ประจำอยู่อำเภอรอบนอก ต้องดิ้นรนหาทางออกเอง
หากผู้บริหารที่มี “วิสัยทัศน์ดีเป็นนักประสานได้”
ก็จะมีเครือข่ายเพิ่มเติมทั้งคน งานและงบประมาณ
มาช่วยในการบริหาร สร้างความน่าเชื่อถือและศรัทธาในชุมชนและท้องถิ่น
กลับกันหากเป็นผู้บริหารที่ตรงกันข้ามที่กล่าวมา
นึกภาพเอากันเองก็แล้วกันว่า
สถานศึกษาแห่งนั้นจะมีสภาพเป็นเช่นไร
นักศึกษาสาขาวิชาการท่องเที่ยว วิทยาลัยอาชีวศึกษาภูเก็ต
*การมีระบบการพัฒนาครูและคณาจารย์ของการอาชีวศึกษาอย่างต่อเนื่อง
เพื่อให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี
เป็นเงื่อนไขที่ถูกกำหนดด้วยตัวบ่งชี้ของการประกันคุณภาพภายในที่ว่า
จำนวนครูและบุคลากรสายสนับสนุนของสาขาวิชา/สาขางาน
ที่ได้รับการพัฒนาในวิชาชีพที่สอน ไม่น้อยกว่า 20 ชั่วโมงต่อคนต่อปี
สถานศึกษาได้นำข้อมูลต่าง ๆ
มาพิจารณาเพื่อกำหนดแผนหรือไม่อย่างไร เช่น
หัวข้อของการพัฒนาตรงกับสาขาอาชีพ
ความถี่และค่าเฉลี่ยของครูที่ได้รับการพัฒนาต่อคนต่อปี
จำนวนงบประมาณค่าใช้จ่ายสำหรับการพัฒนา
ปัจจุบัน พบว่า แต่ละสถาบันได้วางแผนเรื่องคน
โดยการให้ทุนในการศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น โดย MOU
กับสถาบันการศึกษาที่เปิดสอนในสาขาวิชาชีพที่ตรงกับความต้องการ
ทั้งนี้
ก็อย่าลืมมองเผื่อสำหรับสถาบันที่อยู่ใกล้ตัวบุคลากรในภูมิภาคต่าง ๆ
ร่วมด้วยแทนที่จะกระจุกตัวเฉพาะสถาบันในเขตหรือใกล้เคียง กทม.
เท่านั้น เนื่องด้วยจะส่งผลต่อปัจจัยหลายอย่างประกอบ
ไม่ว่าความสะดวกในการเดินทาง ภาระค่าใช้จ่ายอื่น ๆ
ที่เพิ่มขึ้นนอกเหนือจากที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ
การละทิ้งหรือการสอนไม่เต็มศักยภาพในเวลา
หากเป็นการไปศึกษาต่อในวันเสาร์-อาทิตย์ เป็นต้น
ทั้งหมดเป็นเพียงข้อคิดเห็นมุมมองของคนเพียงคนเดียวดังที่ระบุไว้ข้างต้น
ไม่ได้เป็นตัวแทนของเสียงส่วนใหญ่ใด ๆ ทั้งสิ้น
ที่ต้องการส่งเสริมและสนับสนุน ไปเช่นเดียวกันกับหลาย ๆ
คนที่ไม่ได้เพียงแต่คิดเท่านั้น
ยังลงทุนลงแรงทั้งกายและใจให้อาชีวศึกษาของเราก้าวต่อไป...
เอกสารอ้างอิงประกอบการเขียน:
1.
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕.
2. ไพฑูรย์ นันตะสุคนธ์,
สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการจัดการอาชีวศึกษาและฝึกอบรมวิชาชีพ,
2553.
3. สนอง อิ่มเอม, ข้อเสนอ 10
ประการด้านอาชีวศึกษาที่เสนอต่อสภาการศึกษาฯ, 2553.
4. สำนักมาตรฐานการอาชีวศึกษาและวิชาชีพ,
มาตรฐานการประกันคุณภาพภายในสำหรับวิทยาลัยเทคนิคและวิทยาลัยการอาชีพ,
2553.
5. สำนักมาตรฐานการอาชีวศึกษาและวิชาชีพ,
เอกสารประกอบการใช้หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ พุทธศักราช
2545 และหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง พุทธศักราช
2546, 2547.
พิมพร ศะริจันทร์ ศึกษานิเทศก์ เขียนวันที่ 29
มิถุนายน 2553
จากการเข้าร่วมประชุมปฏิบัติการโครงการพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะ ระดับ
ปวช. ปวส. ตามกลุ่มสาขาวิชาการบัญชี การตลาด
เลขานุการและคอมพิวเตอร์ธุรกิจ ครั้งที่ 3 21-26
มิถุนายน 2553
การจัดการศึกษา ขาดการมองภาพองค์รวมของทั้งประเทศทั้งรัฐและเอกชนต้องไปด้วยกัน และต้องตอบโจทย์ความต้องการกำลังพลของประเทศได้
ภาครัฐมีงบประมาณมากมีกำลังประสานสถานประกอบการใหญ่ๆ ควรทำเรื่องที่เอกชนทำไม่ไม่ได้ เช่น น้ำมันไบโอฯ ปิโตรเคมี อุตสาหกรรมยาง ฯลฯ
ควรเน้นทำเรื่องคุณภาพมิใช่ไปเน้นเรื่องปริมาณ เรื่องเปิดรับหลายๆรอบในสาขาที่เอกชนเปิดอยู่เพื่อไปเน้นเรื่องเงินอุดหนุนรายหัวที่จะเข้าวิทยาลัย
จนกลายเป็นธุรกิจศึกษาไปแล้วทั่วประเทศ เช่นวิทยาลัยเกษตร วิทยาลัยศิลปหัตกรรม ที่ลืมวัตถุประสงค์การจัดการศึกษาไป
น่าสงสารเด็กไทยที่ตกเป็นเหยี่อของนักจัดการศึกษาระดับ ดร.หัวขาวๆทั้งหลาย
และที่ทยอยปิดตัวไปแล้วหลายสถานศึกษาเอกชน ที่ไม่มีทุนสามารถแข่งขันกับภาครัฐได้ถึงจะผ่านการประเมินจาก สมศ. หรือเป็นโรงเรียนรางวัลพระราชทานก็ตาม (จริงควรจะบอกเขาให้ขายโรงเรียนไปเถอะ เพราะภาครัฐจะทำเองทั้งหมด)
ลองศึกษาประวัติ ดูนะครับว่าใครไปขอร้องเอกชนให้มาช่วยรัฐจักการศึกษาด้วยเหตุผลใด??