HHC ใส่หัวใจให้ระบบสุขภาพ


อีกก้าว....กับการขับเคลื่อนเพื่อผลิตแพทย์รุ่นใหม่ที่มีหัวใจความเป็นมนุษย์

สองสามบันทึกก่อนได้นำข่าว และบทความตัวอย่างดี ๆ การทำดีของบุคลากรในระบบสุขภาพ บันทึกนี้ขอเก็บตก ข่าวความเคลื่อนไหวจากเวที ที่ ม.นเรศวรเมื่อคราวที่แล้ว และทีมสื่อสาร ได้นำเสนอเผยแพร่สื่อมวลชนสู่สาธารณะ  ดังนี้

 
คสม.ขับเคลื่อนแนวทางผลิตแพทย์รุ่นใหม่ที่มีหัวใจความเป็นมนุษย์

               เมื่อเร็วๆ นี้   แผนงานพัฒนาจิตเพื่อสุขภาพ มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์ (มสส.) ร่วมกับ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร จัดเวทีขับเคลื่อนเครือข่ายการพัฒนาสุขภาพที่มีหัวใจความเป็นมนุษย์ (คสม.) เรื่อง “Humanized Health Care  ใส่หัวใจให้ระบบสุขภาพ” ขึ้น ณ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก
               นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์  ผู้จัดการแผนงานพัฒนาจิตเพื่อสุขภาพ มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์  กล่าวว่า  เครือข่ายการพัฒนาสุขภาพที่มีหัวใจความเป็นมนุษย์ (คสม.) ซึ่งประกอบด้วยคณะแพทยศาสตร์หรือโรงเรียนแพทย์ที่เคยร่วมแสดงผลงาน 6 แห่ง ได้แก่ จุฬาฯ  รามาฯ  ศิริราช  ม.สงขลานครินทร์  ม.ขอนแก่น และ ม.นเรศวร ร่วมด้วย วิทยาลัยพยาบาล วิทยาลัยการสาธารณสุข และโรงพยาบาลชุมชนอีก 4 แห่ง คือ รพ.พระนั่งเกล้า รพ.เทพา จ.สงขลา รพ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น  รพ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร เป็นต้น ซึ่งเห็นตรงกันว่าการขับเคลื่อนเรื่อง แพทย์ไทยหัวใจพระโพธิสัตว์ เป็นประเด็นที่จะสามารถมีผลกระทบต่อระบบอื่น ๆ ได้นั้น ควรเริ่มดำเนินการในกลุ่มนักศึกษาแพทย์ก่อนเพราะสัมผัสทุกข์ของผู้ป่วยได้ง่ายกว่า  และพบว่าในโรงเรียนแพทย์หลาย ๆ แห่งดำเนินการเรื่องนี้อยู่แล้วในรูปแบบแตกต่างกันไป  ดังนั้นการนำประสบการณ์และองค์ความรู้ของแต่ละแห่งมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันจะสามารถพัฒนาแนวทางการผลิตแพทย์ที่มีหัวใจความเป็นมนุษย์แพร่หลายมากขึ้น และขอเชิญชวนโรงเรียนแพทย์และสถาบันการแพทย์ต่าง ๆ เข้าร่วมเป็นเครือข่ายเพื่อขับเคลื่อนการเติมหัวใจให้ระบบสุขภาพสู่สังคมไทย 
 
 ศ.นพ.ดร.ศุภสิทธิ์  พรรณารุโณทัย คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร กล่าวนำการเสวนา HHC กับการเรียนการสอนแพทยศาสตร์ศึกษาว่า คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวรเห็นด้วยกับการใส่หัวใจให้ระบบสุขภาพ โดยใช้หลักสูตรการผลิตแพทย์เป็นตัวผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และมีการเน้นย้ำให้ในแต่ละปีมีลักษณะเป็น Spiral curriculum ทั้งนี้ในปี 2549 ได้ให้นิสิตแพทย์ปี 1 ไปโรงพยาบาลชุมชนใกล้บ้าน 1 สัปดาห์ เพื่อศึกษาสภาพความเป็นจริงของผู้ป่วยในแง่มุมต่าง ๆ  แล้วให้ประเมินตนเองว่าบรรลุเป้าหมายข้อไหนบ้าง สิ่งที่คณะคาดหวังคือ นิสิตแพทย์เหล่านั้น เข้าใจความเป็นมนุษย์   ซึ่งเป็น 2 ใน 7 ข้อ ของ Outcome-based curricule หรือเป้าหมายการผลิตแพทย์ที่มีคุณสมบัติพึงประสงค์ทั้งความรู้ความเชี่ยวชาญในการรักษาโรค ยังได้เน้นคุณสมบัติที่จะช่วยให้แพทย์ เข้าใจความเป็นมนุษย์ของคนไข้ยิ่งขึ้น นั่นคือ แพทย์ต้องสามารถใช้ทักษะเพื่อการสื่อสารอย่างได้ผล มีเจตคติที่ดีและปฏิบัติตนถูกต้องตามหลักเวชจริยศาสตร์และกฎหมาย และสามารถดำรงตนในฐานะแพทย์และสมาชิกในสังคมได้อย่างเหมาะสม
 
                  ด้าน นพ.โกมาตร  จึงเสถียรทรัพย์ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยสังคมและสุขภาพ (สวสส.) ก.สาธารณสุข  กล่าวถึง แนวคิด HHC ในระบบการเรียนการสอนแพทยศาสตร์ศึกษา ว่า ในอดีตนักศึกษาแพทย์ต้องคร่ำเคร่งกับการท่องตำรา จนอาจหลงลืมไปว่ายังมีมิติทางจิตใจและมิติทางสังคมของตัวผู้ป่วยเองหรือของญาติผู้ป่วย ทำให้การแพทย์เหมือนขาดหัวใจไปส่วนหนึ่งซึ่งสุขภาวะดีหรือสุขภาพดีเป็นศีลธรรมพื้นฐานของทุกคน  เมื่อการแพทย์ถูกลดทอนลงไปจนเหลือเฉพาะมิติทางด้านเทคนิคการรักษาโรค เรียนเพื่อจะรักษาโรคเป็น แต่ไม่เคยรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วเราเรียนแพทย์ไปทำไม บางคนมอง แพทย์ เป็นเพียงอาชีพหนึ่ง  
              ปัจจุบันการแพทย์ทั้งระบบถูกทำให้กลายเป็นความรู้ทางเทคนิคไม่ได้แตกต่างกับการซ่อมเครื่องยนต์ ทั้งที่แต่เดิมการแพทย์คือศาสตร์ในการเยียวยามนุษย์เป็นอุดมการณ์อันหนึ่งเพื่อที่จะมีชีวิตที่ดีร่วมกันรวมทั้งมีความรู้สึกที่ดี สิ่งเหล่านี้สำคัญมากกว่าการรักษาเยียวยาให้คนหนึ่งคนหลุดพ้นจากความทุกข์ที่ได้รับจากความเจ็บป่วยทางกาย เป็นคำถามในระบบการแพทย์และระบบการศึกษาของแพทย์ว่าทำอย่างไรจะทำให้การแพทย์กลับมาเป็นอุดมการณ์ทางสังคมที่ดีได้ เพราะหากขาดมิติทางอุดมการณ์การแพทย์จะถูกลดทอนคุณค่าเหลือแค่ช่างเทคนิคการเย็บ การผ่าตัด การจ่ายยา เท่านั้น  เมื่อแพทย์กลายเป็นเครื่องมือของระบบ การทำงานจึงกลายเป็นความทุกข์ สิ่งต่างๆ เหล่านี้นำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงทั้งในจิตใจและสังคม ที่สำคัญคือหมดศรัทธา
                 นพ.โกมาตร กล่าวว่า การผลักดันศีลธรรมพื้นฐานของการแพทย์ที่มีหัวใจความเป็นมนุษย์ต้องให้พัฒนาควบคู่กันไปทั้งเทคโนโลยีและอุดมการณ์ การทำให้สองสิ่งนี้เท่าเทียมกันอย่างได้ผล นั่นคือ ควรมองความเป็นมนุษย์ในมุมมองที่ว่าถ้าเราปฏิบัติต่อเขาให้กลายเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์  และก้าวพ้นไปจากความเป็นห่วงเรื่องความมั่นคง การมีอยู่มีกิน โดยมีชีวิตในทางอุดมคติ มีความใฝ่ฝันมีอุดมการณ์ และอยู่ในความเป็นจริง นั่นคือ 1)ให้ได้ค้นพบสิ่งที่ตัวเองอยากทุ่มเทให้  2) มีโอกาสได้ทำ 3) ทำแล้วประสบความสำเร็จ 4) หากได้รับเงินทองชื่อเสียงตอบแทนด้วยก็เป็นสิ่งที่ทุกคนใฝ่หา จึงจะถือว่าเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
             ทั้งนี้  ในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ การเรียนการสอนที่ ใส่หัวใจความเป็นมนุษย์ ของคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์  ซึ่งได้ทำกิจกรรมในการลงไปสัมผัสด้วยการดูแล พูดคุย ซักถาม ความคิด ความรู้สึกของผู้ป่วยโรคเรื้อรังและผู้ป่วยระยะสุดท้าย  ทำให้นักศึกษาแพทย์ได้เรียนรู้ว่า สิ่งที่แพทย์คิดว่าดีแล้วสำหรับอาจไม่ใช่สิ่งที่ผู้ป่วยต้องการ การดูแลผู้ป่วยต้องอาศัยทักษะในการพูดคุย ซักถามอย่างห่วงใยและจริงใจ  ไม่ใช่การทำเพราะ หน้าที่  และได้เรียนรู้ว่า อาสาสมัครแบบสมัครใจแตกต่างจากภาคบังคับอย่างไร  ได้ตระหนักว่าการจะเป็นแพทย์ที่ดีไม่ใช่เพียงรักษาโรคแต่ต้องคำนึงถึงภาวะจิตใจของผู้ป่วยด้วย  ดังนั้น การเรียนการสอนแพทยศาสตร์ที่เน้นการให้นักศึกษาแพทย์ได้เรียนรู้จากผู้ป่วยให้มากและรอบด้านอย่างเป็นองค์รวมทั้งทางกายและจิตใจ จึงน่าจะเป็นแนวทางที่ต้องเพิ่มความเข้มข้นมากขึ้น เพื่อสร้างแพทย์ที่เก่งและดีให้เพิ่มขึ้นในระบบบริการสุขภาพของสังคมไทย
             นศพ.อนุวัตร พลาสนธิ์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) กล่าวว่า การได้ร่วมกิจกรรมโครงการเพื่อนวันอาทิตย์ที่คณะฯจัดขึ้นโดยให้นักศึกษาแพทย์ตั้งแต่แรกเข้าศึกษาได้ไปสัมผัสผู้ป่วยด้วยการสร้างสัมพันธภาพที่ดี เช่น การพูดคุย ซักถาม ทำกิจกรรมที่ผู้ป่วยต้องการ  ทำให้เห็นอีกมุมหนึ่งของผู้ป่วยว่านอกเหนือจากความเจ็บป่วยด้านร่างกายแล้ว มีสิ่งใดที่อยู่ภายในจิตใจ  ทำให้เข้าใจว่าไม่ควรดูผู้ป่วยแค่เบื้องเท่านั้น แต่ควรมองไปที่เบื้องหลังด้วยว่าผู้ป่วยเป็นอย่างไร มีความลำบากมากแค่ไหน ที่ต้องมารอพบแพทย์ตั้งแต่เช้า เราควรใส่ใจปัญหาอื่นที่นอกเหนือจากความเจ็บป่วยด้วย   ตนเองหลังจากเข้าโครงการ ก็ได้พัฒนาปรับตัวในเรื่องการรับฟังคนอื่นมากขึ้น  ไม่เอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ และพบว่าบางสิ่งที่เราคิดอาจจะไม่ถูกเสมอไป
 
นศพ.สิริกุล  สุขทะเล  คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ อาสาสมัครข้างเตียงผู้ป่วยเรื้อรังและผู้ป่วยระยะสุดท้าย ว่า ได้รับมอบหมายให้ดูแลผู้ป่วยชาวสวิตเซอร์แลนด์รายหนึ่ง  วันแรกที่ไปเยี่ยมพบว่าผู้ป่วยมีภาวะเครียดมากเนื่องจากสื่อสารกับใครไม่ได้  อีกทั้งยังอยู่ในช่วง 7 ชั่วโมงแรกหลังจากได้รับการผ่าตัด และอีกหลาย ๆ อย่าง  ตอนแรกตั้งใจแค่ไปแนะนำตัว สุดท้ายพูดคุยกันประมาณ 3-4 ชั่วโมง วันต่อมาพยาบาลแจ้งให้ทราบว่าวันนั้นหลังจากที่ผู้ป่วยได้พูดคุยกับ นศพ.แล้วดูเขามีความสุขมาก ไม่เครียด  ทำให้ตัวเองรู้สึกดีเช่นกัน  หลังจากไปเยี่ยมอีกหลายครั้ง พูดคุยกันมากขึ้น ทราบว่าภรรยาผู้ป่วยก็เครียดเช่นกัน จากที่เคยอ่านหนังสืออยู่ห่าง ๆ ก็ขยับมานั่งคุยด้วย ทำให้บรรยากาศคลายความตึงเครียด ต่อมาผู้ป่วยเปรยให้ฟังว่า ไม่กังวลเรื่องมะเร็งแล้ว แต่อยากกินข้าว ทำกับข้าว ไปเที่ยว ฯลฯ วันที่ผู้ป่วยได้รับประทานอาหารทางปาก เป็นวันที่  ตัวเองได้เรียนรู้ว่า ความสุขอยู่ใกล้ ๆ หาได้ไม่ยาก.
 
หมายเลขบันทึก: 106537เขียนเมื่อ 26 มิถุนายน 2007 17:41 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 มิถุนายน 2012 13:43 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)
เครือข่ายพัฒนาระบบสุขภาพที่มีหัวใจความเป็นมนุษย์เป็นการรวมตัวกันอย่างไม่เป็นทางการของกลุ่มบุคลากรทางสุขภาพที่มีโอกาสติดตามท่านอาจารย์ประเวศและอาจารย์วิจารณ์ไปศึกษาดูงานที่ รพ.พุทธฉือจี้ ไต้หวัน หลังจากนั้นยังคงมีการพบปะพูดคุยสม่ำเสมอ   ยินดีอย่างยิ่งหากจะมีคนเข้ามาร่วมพูดคุยกันครับ  เราอยากเห็นการแพทย์แบบง่ายๆ  ใจดี  มีความสุข  คงต้องช่วยกันคิด ช่วยกันพูดและช่วยกันลองทำครับ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท