ทุกข์...มันเกิดเมื่อไหร่นะ


ที่เราทุกข์ เราสุข เรากังวล ต่างๆ นาๆ นั้น เป็นเพราะเรา ไปสัมผัส ไปเห็น ไปได้ยิน ไปได้กลิ่น ไปได้รส แล้วก็เอามาแบกไว้เป็นทุกข์ เป็นสุข เป็นอยาก เป็นกิเลส ..

วันนี้ถอดเทปธรรมของหลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง มาฝากอีกครั้งค่ะ จากเทปเรื่อง ปัจจุบันธรรม ที่โหลดมาจากเว็บเดิมที่ได้เคยแนะนำไปในบันทึกเรื่องจิต..กับแมงมุม เพราะฟังแล้วรู้สึก ปิ๊ง.. เกิดปัญญาขึ้นอีกหน่อย เลยอยากเล่าให้เพื่อนพ้องฟังค่ะ

หลวงพ่อท่านเทศน์ว่า....

บางคนน่ะ เห็นว่าทุกข์น่ะ มันประจำอยู่ในใจมานานแล้ว...

โยม..มันไม่ได้นอนเนื่องอยู่ในนี้หรอก มันเพิ่งเกิดเดี๋ยวนี้..

เหมือนมะนาว น่ะ ผลมะนาวนั่นแน่ะ ทิ้งไปตรงโน้นน่ะ มันเปรี้ยวไม๊ หืมม?

หรือมะขามเปียกน่ะ เอาทิ้งไปตรงนั้นน่ะ มันเปรี้ยวไม๊?

...มันก็ไม่เปรี้ยว... ลองเอาแตะลิ้นซิ มันก็เปรี้ยวขึ้นเดี๋ยวนี้เอง...

นี่แหละปัจจุบันธรรม มันเป็นอย่างนี้แหละ..

ไม่ใช่ว่าความเปรี้ยวมันนอนเนื่องอยู่ในมะขามเปียกหรอก...มันไม่รู้เรื่อง..

เอามะขามเปียกแตะลิ้น ก็เกิดความไม่ชอบ ก็เกิดกิเลสเดี๋ยวนี้

กิเลสก็ไม่ได้นอนเนื่องอยู่ในใจเราหรอก มันเกิดเดี๋ยวนี้แหละ

ความรู้ความเข้าใจเรื่องปัจจุบันธรรมจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่หลวงปู่พยายามจะสอนให้พวกเราเข้าใจว่า ที่เราทุกข์ เราสุข เรากังวล ต่างๆ นาๆ นั้น เป็นเพราะเรา ไปสัมผัส ไปเห็น ไปได้ยิน ไปได้กลิ่น ไปได้รส แล้วก็เอามาแบกไว้เป็นทุกข์ เป็นสุข เป็นอยาก เป็นกิเลส ฯลฯ ดิฉันตีความจากที่ท่านเทศน์ว่าท่านพยายามจะสอนให้เราเข้าใจสมุทัยนั่นเอง

ในตอนกลางๆ ของเทป มีอีกตอนหนึ่งที่ท่านเทศน์ว่า..

อันความเป็นจริงสิ่งทั้งหลายมันไม่ได้มายุ่ง..

อย่างที่ว่าก้อนหินก้อนนั้นมันไม่มายุ่งกับเราหรอก..

มันจะยุ่งกับเราก็เมื่อเราอยากได้ก้อนหินก้อนนั้น..

ไอ้ตัวก้อนหินก้อนนั้นมันก็ไม่ได้มีอะไร มันก็อยู่ตามธรรมชาติ..

เมื่อความคิดอยากได้ก้อนหินก้อนนั้นจึงได้ไปยกมัน มันหนัก..

มันหนักเมื่อไหร่ล่ะ มันหนักเดี๋ยวนี้แหละ..

แต่ก่อนมันหนักไหม มันไม่มีหนักหรอก ไม่มี ยังไม่เกิด มันไม่เกิดหนัก..  

มันไปหนักตรงเราไปยุ่งกับมันนั่นแหละ ..

สำหรับดิฉัน ท่านเทศน์ได้กระทบใจ จริงๆ แล้วท่านล่ะค่ะ คิดว่าอย่างไร

หมายเลขบันทึก: 93123เขียนเมื่อ 28 เมษายน 2007 23:03 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 18:23 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (42)

P
เห็นด้วยค่ะ อาจารย์คะ ท่านเปรียบเปรยเข้าใจมากๆเลย

อะไรบางสิ่ง ที่เรากังวล เพราะเราไปสัมผัส ไปเห็น ถ้าเราออกห่างๆมาเสีย ใจก็ไม่ยึดติดค่ะ ใจมันคลายออกทีละนิดๆได้ จนเบาสบายค่ะ

สวัสดีค่ะ คุณ P sasinanda

ดิฉันก็ชอบที่หลวงปู่ท่านเปรียบมากเลยค่ะ เรื่องพวกนี้พอเราได้ยินแล้วก็รู้สึกเลยว่า เส้นผมบังภูเขา จริงๆ เหมือนมีคนมาย้ำธรรมชาติแท้ๆ ให้เราฟัง ทำให้เราเห็นภาพภูเขาที่แท้จริง แล้วใจเราก็จะเบาสบายเหมือนที่คุณsasinanda ว่าไว้ค่ะ

ขอบคุณที่แวะเข้ามา ลปรร นะคะ

ไปอ่านบันทึกคุณsasinanda เสมอๆ นะคะ แต่อาจอ่านล่าช้าตามหลัง เลยไม่ค่อยได้ข้อคิดเห็นค่ะ ขอบคุณค่ะ

สวัสดีค่ะอาจารย์

ทุกข์มันเกิดที่ใจเราค่ะ อยู่ที่เราอยากให้มันอยู่กับเรานานเท่าไร ถ้าตั้งสติได้เวลาก็จะช่วยเยียวยาทุกข์นั้นได้เร็ว ค่ะ  ขอบคุณนะค่ะที่มีเรื่องดี ๆ มาเล่าให้ฟ้งค่ะ

สวัสดีค่ะ อ. P Ranee

ใช่เลยค่ะ ทุกข์มันเกิดกับเรา เกิดเมื่อจิตโดนกระทบ (ไม่ว่าเราจะวิ่งไปกระทบมันเอง หรือมีเรื่องมากระทบเรา) เพราะฉะนั้น ก็ต้องรู้ ต้องเข้าใจในสาเหตุ และธรรมชาติของการเกิดทุกข์ เราจะได้ไม่ฟุ้ง ไปต่อทุกข์ให้ทุกข์หนักขึ้นไปอีกค่ะ

ขอบคุณอาจารย์ที่ ลปรร เช่นกันนะคะ

ทุกข์เกิด เพราะมีสมุทัย

เมื่อไม่เข้าใจก็สร้างแต่เหตุแห่งทุกข์เสมอไป

ผู้ปฏิบัติธรรม เจริญสติจึงรู้ มรรค

เมื่อมีมรรค ทุกข์นั้นก็ดับไป

การดับทุกข์ ดับได้เป็นคราวๆ...ละได้เป็นคราวๆ

ตามการรับรู้และการเจริญสติ...ยังไม่ถาวรเป็นสมุจเฉทประหาน เพราะยังไม่ใช่องค์มรรคแท้

แต่เป็นการฝึกเจริญมรรคเท่านั้น

 

สวัสดีค่ะ อ. P พิชัย กรรณกุลสุนทร

ดีจังเลยค่ะอาจารย์ ได้อาจารย์มาเสริมขยายความเพิ่มเติม ชอบที่อาจารย์เขียนว่า

การตามรับรู้และการเจริญสติ...เป็นการฝึกเจริญมรรคเท่านั้น

เพราะทำให้ได้คิด ได้ไตร่ตรอง ได้ปฏิบัติเพิ่มเติม ดีจริงๆ ค่ะ

ขอบคุณอาจารย์อีกครั้งค่ะ

หมายเหตุ ดิฉันได้ส่งเบอร์มือถือไปให้ทาง email แล้วนะคะ

ขอบคุณสำหรับเบอร์โทรครับ

ขออนุญาตจำวัดก่อน

นางยิบซีเอ้ย! สิงโตของผม บ่นว่าขอบตาผมคล้ายหมีแพนด้าเข้าไปทุกวันแล้ว

  • อยากกล่าวสาธุดังๆ ครับ  สาธุ สาธุ สาธุ
  • เรียบง่าย แต่ลึกซึ้ง  ไม่ใช้ผู้รู้จริงคงกล่าวเช่นนี้ไม่ได้นะครับ

ธรรมะสวัสดีครับ

สวัสดีค่ะ อ. P พิชัย กรรณกุลสุนทร

เมื่อคืนตอบอาจารย์เสร็จก็ log off ไปนอนแล้วเหมือนกันค่ะ ; ) เดี๋ยวจะไปตามอ่านความคิดสร้างสรรค์การบรรยายภาพของชาว G2K ที่บันทึกของอาจารย์ค่ะ

สวัสดีค่ะ คุณธรรมาวุธ

นอนดึกจังนะคะ งานหนักไหมคะ พักผ่อนรักษาสุขภาพนะคะ

ตอนที่ดิฉันฟังเทปก็รู้สึกเหมือนกัน อยากร้องสาธุเหมือนกัน ท่านช่างเปรียบเปรยให้เราเข้าใจได้ "ชัด" จริงๆ ฟังแล้วรู้สึก "ถึงใจ" ค่ะ ดีจริงๆ

ขอบคุณที่แวะมาให้ข้อคิดเห็นนะคะ  ; )

ขออนุญาตออกความเห็นต่อครับ

คำว่าปัจจุบันธรรม เป็นคำหลักที่มีความสำคัญยิ่งในการปฏิบัติธรรม โดยเฉพาะในเรื่องการเจริญสติ

ที่ผู้ปฏิบัติต้องเรียนรู้และฝึกฝน การกำหนดรู้ในปัจจุบันอารมณ์เพื่อเข้าถึงปัจจุบันธรรมได้

ปัจจุบันอารมณ์ได้แก่ อารมณ์ที่เข้ามากระทบทาง ทวาร 5 และมโนทวาร ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ

เมื่อกระทบก็เกิดการรับรู้อารมณ์นั้น...

ตรงนี้สำคัญครับ

คือ หากกระทบแล้ว มีการรับรู้ด้วยสติ ที่เรียกว่า กำหนดรู้...แสดงว่า ระลึกรู้...ด้วยสติ เป็นปัจจบันธรรม

ปัจจุบันธรรม จึงหมายถึงองค์ธรรม 3 ได้แก่

1.สิ่งที่เข้ามากระทบ (อารมณ์)

2.การกำหนดรู้ (สติ)

3.เกิดตัวรู้ชัด (สัมปชัญญะ)

รู้ทั้งสามอย่างนี้ เกิดขึ้นพร้อมกัน ตั้งอยู่และดับลงไปพร้อมกัน

ปัจจุบันธรรม จึง สั้น... และไม่มี ทุกข์ สุขและอัตตาใดใด อาศัยอยู่ได้

ผู้ใดกำหนดรู้ได้ ในปัจจบันอารมณ์ อยู่เนืองๆ ก็รู้เห็นปัจจุบันธรรม เนื่องๆ จนถ่ายถอน ความเห็นผิดในตน(สักกายทิฏฐิ) ไปได้เป็นคราวๆ เนื่องจากเป็นระดับอนุสติและอนุปัสสนา

จนกระทั่ง...การเจริญสตินั้น มีพัฒนาการยิ่งๆขึ้น นำไปสู่ระดับมหาสติและมหาปัสสนา...ปัจจุบันอารมณ์และปัจจุบันธรรม กลายเป็นมรรคจิต...ผลจิต

เป็นการบรรลุธรรมเบื้องต้นครับ

ขออนุญาตเท่านี้ก่อน

 

อาจารย์ที่ปรึกษาขา....กมลวัลย์

  • ครูอ้อยอ่านอย่างตั้งใจ...พบว่า....หากครูอ้อยไม่คลิกมาอ่านบันทึกนี้   ครูอ้อยก็ไม่ได้สัมผัสกับธรรมะปัจจุบัน...ครูอ้อยสรุปแบบง่ายๆถูกมั้ยคะ

อิอิ....อายจัง

สวัสดีค่ะ อ. P พิชัย กรรณกุลสุนทร

อ่านที่อาจารย์เขียนแล้ว ก็รู้สึกว่าตัวเองมีอนุสติและอนุปัสสนา พอควรค่ะ เพราะตอนนี้มีหากมีอารมณ์ใดมากระทบก็จะรับรู้ กำหนดรู้ได้ ประมาณว่าเห็นทัน ตามทัน แล้วอารมณ์จะดับเองค่อนข้างเร็ว

แต่ถ้าเป็นอารมณ์แบบใหม่ เกิดจากเหตุการณ์ที่ไม่เคยเจอมาก่อน แล้วเป็นการกระทบอย่างรวดเร็ว จะทำให้เกิดอารมณ์ เช่น น้อยใจ ... คราวนี้จะเห็นเลยว่ารู้สึกน้อยใจเป็นอย่างนี้ ชัดเจนมาก ดิฉันก็จะพยายามหาเหตุและผล และพยายามปล่อยวางเหตุของความน้อยใจ  มันประมาณเหมือนกับว่ามีคนขว้างก้อนหินหนักมาให้เรา ด้วยความที่ไม่ได้ตั้งตัว ก็จะยื่นมือไปรับก้อนหินมาแบกไว้ เกิดความหนัก เพราะเจริญสติไม่ทันตอนรับก้อนหิน พอรู้ตัวแล้วว่ากำลังแบกอยู่ ก็จะเริ่มวาง แต่การวางก้อนหินบางก้อน โดยเฉพาะก้อนที่รับมาแบบไม่รู้ตัวหรือเจริญสติไม่ทัน จะรู้สึกเลยว่าวางได้ยากมากค่ะ

 

สวัสดีค่ะครูอ้อย P สิริพร กุ่ยกระโทก

ครูอ้อยได้มาอ่านทำความเข้าใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัจจุบันธรรมเพิ่มขึ้นค่ะ ปัจจุบันธรรมของแต่ละคนมีอยู่กับตัวอยู่แล้วค่ะ เพียงแต่บางทีเราไม่ได้กำหนดรู้เท่านั้นเอง

เหมือนที่ อ.พิชัย กรรณกุลสุนทร กล่าวไว้ค่ะว่า "หากกระทบแล้ว มีการรับรู้ด้วยสติ ที่เรียกว่า กำหนดรู้...แสดงว่า ระลึกรู้...ด้วยสติ เป็นปัจจบันธรรม" ตัวเราเองทุกวันจะมีอะไรมากระทบอยู่เสมอ แต่ถ้าเราไม่กำหนดรู้ ก็จะไม่เห็นปัจจุบันธรรมที่ว่านี้ค่ะ

เตรียมตัวสำหรับสัมมนายาวเสร็จแล้วใช่ไหมคะ อย่าลืมกำหนดรู้ตอนสัมมนาด้วยนะคะ ; ) พูดเล่นค่ะ ไม่จำเป็นต้องทำเฉพาะตอนสัมมนาอย่างเดียวหรอกค่ะ ตอนที่อยู่บ้าน อยู่กับนักเรียนนี่แหละค่ะที่ดิฉันได้ฝึกมากที่สุดค่ะ

 

ยินดีต้อนรับค่ะ คุณ P Conductor

ดิฉันคิดว่าการเป็นนายคนนี้ต้องใช้ธรรมเยอะเลยนะคะ ต้องใช้ธรรม และเข้าใจธรรม(ชาติ) ของคนที่มีกิเลสเยอะน่ะค่ะ อันนี้ความเห็นจากประสบการณ์ส่วนตัวค่ะ ; )

ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านค่ะ

สวัสดีครับ คุณกมลวัลย์ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะไหน ก็ต้องอาศัยธรรม ทั้งนั้นครับ การเข้าใจในธรรมชาติ จะช่วยทำให้เรามีความสุขมากขึ้นครับ  ในฐานะที่เป็นครูสวนทางชีววิทยา ผมมักพูดกับเด็กในเชิงวิทยาศาสตร์เสมอว่า สิ่งมีชีวิตไม่ว่าจะเป็นพืชหรือสัตว์ มีความต้องการพื้นฐานอยู่ 2 อย่าง คือ 1. การเอาตัวรอด และ 2. การสืบพันธุ์ เพื่อเผยแพร่เผ่าพันธุ์ คนเราก็เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งมีชีวิต เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งซึ่งมีความต้องการพื้นฐานเหมือนกัน แต่อาจจะเพิ่มขึ้นมากกว่าสัตว์อื่นเสียอีก แต่ที่สำคัญที่สุดคือ ต้องเข้าใจในตัวเองเสียก่อน เรียนรู้ตัวเองเสียก่อน เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่ประกอบขึ้นมา มีความเหมือนกันไม่ว่าจะเป็น เนื้อเยื่อ อวัยวะ เซลล์ และสิ่งที่ควบคุมความต้องการพื้นฐาน เกี่ยวกับการเอาต้วรอดและการสืบพันธุ์นั้นก็คือ ยีน ของเรานั่นเอง  เมื่อมองลึกลงไปจากระดับของยีน ก็คือองค์ประกอบของกรดอะมิโน  จนถึงระดับโมเลกุล จนถึงระดับธาตุ จนถึงระดับของอะตอม ซึ่งถูกยึดเกี่ยวกันด้วยพลังงาน  สุดท้ายก็เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของพลังงาน ซึ่งเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ พืช หรือสิ่งมีชีวิตชนิดใดก็ตาม ไม่อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์นี้ ดังนั้น การที่เราเรียนรู้และทำความเข้าใจในตัวของเรา ก็จะไม่อยากเลยที่เราจะเข้าใจคนอื่น สัตว์อื่น สิ่งอื่น ซึ่งต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสของพลังงาน

ขอโทษครับ เขียนมากไปหน่อย

สวัสดีค่ะ อ. P ภูคา

เขียนไม่มากไปหรอกค่ะ ได้อ่านแนวความคิดของทางธรรมของหลายๆ คนแล้วรู้สึกดีเสมอค่ะ 

ธรรมเป็นธรรมชาติ ดิฉันก็คิดเช่นนั้นค่ะ แต่คงไม่เข้าใจธรรมชาติกล้วยไม้เหมือนอาจารย์แน่ๆ ; ) แวะไปดูรูปกล้วยไม้มากค่ะ สวยงามมาก คนปลูกต้องเข้าใจต้นไม้มากแน่ๆ ถึงได้ออกดอกงามขนาดนี้

ขอบคุณอาจารย์ที่แวะเข้ามา ลปรร นะคะ

สวัสดีครับอาจารย์

 ขอ ลปรร ครับ อยากบอกอาจาย์ว่าสภาวะญาณ 16 นั้นมีจริง ตรงตามพระคัมภีร์ทุกประการและผลของการเกิดวิปัสสนาญาณทำให้เกิดการตัดสมุทัยในปัจจุบันธรรม ได้เพียงเสี้ยววินาที  แต่คิดว่าอาจารย์คงจะเน้นการฝึกเจริญสติแบบธรรมชาติ (ไม่เน้นการนั่งนานๆสลับการเดินจงกรม) ซึ่งผมรู้จักฝรั่งคนหนึ่งเขามาที่เมืองไทย อยู่ประเทศเขาๆเจริญสติเฝ้าดูความคิดของตนเองถึง15 ปีก็เกิดวิปัสนาญาณได้ สามารถเกิดสภาวะธรรมได้เช่นกัน 

สวัสดีค่ะ คุณ P ฉัตรชัย

ใช่แล้วค่ะ ดิฉันเป็นประเภทฝึกเจริญสติแบบธรรมชาติค่ะ เลยไม่ค่อยรู้ว่าเขามีสภาวะญาณ ๑๖ ด้วย ยังอ่านไม่เจอ หรือถ้าเจอแล้วความรู้ยังไม่ register เข้าสมองค่ะ : ) 

จากที่คุณฉัตรชัย เล่าไว้ว่าเพื่อนฝรั่งเจริญสติเป็นเวลา ๑๕ ปีก็เกิดวิปัสนาญาณ ดิฉันก็ขออนุโมนทนาด้วยค่ะ ยินดีด้วยจริงๆ ค่ะ ดิฉันคิดเสมอว่าธรรมอยู่กับเรา ทุกอย่างรอบตัวเราก็เป็นธรรมอยู่แล้ว เพียงแต่รอให้เราค้นพบ หรือมีผู้มาชี้นำให้เราได้ปฏิบัติและได้พบธรรมอย่างถ่องแท้นั่นเอง จะได้ตัดวงจรวัฎฎะนี้ไปได้ค่ะ

ขอบคุณที่แวะเข้ามา ลปรร นะคะ ขอบคุณมากค่ะ

คุณกมลวัลย์ครับ

     อ่านที่คุณเล่าว่า กำหนดสติรับรู้ไม่ทันจึงเกิดอารมณ์น้อยใจและปล่อยวางได้ยากในภายหลัง

    จึงขออนุญาต ให้ความเห็นเพิ่มเติม...

     การเจริญสติจึงปรียบเสมือนการทำฝายกั้นน้ำหรือทำเขื่อน ที่จะต้องเจริญบ่อยๆ(พระพุทธองค์ใช้คำว่า เนืองๆ) คือค่อยๆกำหนดรู้เหมือนวางก้อนหินลงไปในลำธารทีละก้อน ทีละก้อน จนกลายเป็นเขื่อนกั้นน้ำได้ในที่สุด

   การที่เรายังรับอารมณ์บางอารมณ์ไม่ทันนั้น แสดงว่าการเจริญสติของเรายังมีจุดอ่อน หรือรอยรั่วอยู่ เมื่อพบว่ารั่วที่ไหนอย่างไรแล้ว เราก็สามารถอุดรอยรั่วนั้นได้ เช่นบางครั้งเราอาจจะสำรวมอินทรีย์ได้ดีไม่ครบทวาร เช่น มีจุดอ่อนทางทวารหูหรือตา หรือเป็นเฉพาะบางอารมณ์ที่เป็นจริตของเรา เช่นชอบหรือชัง

   เคยมีคนถามว่า เวลาเจอกับอารมณ์ที่เข้ามากระทบเร็วและตรงจุดอ่อนของเรา จิตเราก็มักกลายเป็นตัวกิเลสทันที แม้มารู้ตัวทีหลังก็แก้ได้ยาก เพราะกิเลสเข้ามาสร้างบ้านอาศัยอยู่เต็มตัวแล้ว

   อาจารย์ผมบอกว่า...เหมือนคนที่ชอบสร้างเขื่อนตอนน้ำหลากมา นึกภาพดูเถิดต้องรีบต้องตะกุยตะกายเร่งรีบเพียงใด หินแต่ละก้อนที่จะวางลงไป ยังไม่ทันมั่นคง ก็ถูกน้ำหลากแรงพัดพาไปหมด

   ดังนั้น ผู้ปฏิบัติธรรม ต้องเห็นค่าของการเจริญสติอยู่เนืองๆ โดยที่ไม่ต้องมุ่งหวังรอเห็นผล เป็นการสั่งสม และสำรวมอินทรีย์

   ซึ่งจะส่งผลให้เห็นภายหลัง เมื่อจิตกระทบกับอารมณ์ที่เป็นจุดอ่อนดังกล่าว...ก็จะรับได้ทันและหนักแน่นเหมือนเขื่อนที่สร้างไว้ดีแล้วฉนั้น

สวัสดีค่ะ อ. P พิชัย กรรณกุลสุนทร

ขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะ ที่ได้ห่วงใยให้คำแนะนำดิฉันเพิ่มเติม ดิฉันยอมรับเลยค่ะว่ายังมีรอยรั่วอยู่บ้าง แต่วันนี้รู้สึกดีมาก เพราะทำงานหนักมากใน ๑ วัน สอบวิทยานิพนธ์ของนักศึกษา ๓ คน มีไม่ผ่าน ๑ คน (เกิดอารมณ์ตอนช่วงนี้มากที่สุด) ประชุมอีก ๒ นัดมีวาระสำคัญๆ เยอะ เรื่องที่เสนอในที่ประชุมไม่ค่อยจะผ่าน แต่ไม่มีอารมณ์ใดๆ เกิดขึ้นมากสักเท่าไหร่ แต่ภาพรวมสำหรับตัวเองวันนี้ถือว่าผ่านค่ะ เพราะตอนนี้กายล้ามาก (ตาจะหลับอยู่แล้ว) แต่ใจใสแป๋วเลยค่ะ

ขอบพระคุณอาจารย์ที่กรุณาแนะนำอีกครั้งนะคะ ดิฉันว่าอาจารย์น่าจะรวบรวมที่สอนดิฉันไปเขียนเป็นบันทึกนะคะ จะได้มีคนเข้ามาอ่านและได้ประโยชน์เยอะขึ้นนอกจากตัวดิฉันค่ะ ; )

สวัสดีครับอาจารย์
P
  • อ่านบันทึกนี้วันนี้เองครับ
  • รู้สึกปีติร่วมกับบันทึกนี้และทุกๆความเห็นนะครับ  เป็นการ ลปรร ที่ทรงคุณค่าและงดงามมากจริงๆครับ
  • อยากเรียนอาจารย์อีกครั้ง  และหลายๆครั้งในอนาคตครับว่า  เมื่อใดที่ได้มาอ่านบันทึกแนวนี้  เช่นนี้ทั้งของอาจารย์และท่านอื่นๆ  มันเหมือนว่าเรากำลังอยู่ในชุมชนของนักปฏิบัติ เมื่อเราคลุกอยู่กับตรงนี้บ่อยๆ  ก็จะทำให้รู้  ทัน  และมีสติกับการฝึกที่ต่อเนื่อง  บ่อยๆ มากขึ้นครับ
  • ผลลัพธ์ที่ได้จากช่วงที่ผ่านมาก็เกิดกับผมเช่นกันครับอาจารย์     คือว่าในใจผมเหมือนจะรู้เสมอว่าต้องฝึก  ต้องเน้นที่รู้ลมหายใจบ่อยๆ  สลับกับรู้กายของเราบ่อยๆว่ากำลังทำอะไร   เป็นอย่างที่ท่านอาจารย์พิชัยพูดครับว่า ยิ่งทำยิ่งได้    และชอบเรื่องเขื่อนมากๆครับ 
  • ผลลัพธืที่ดีขึ้นอีกข้อคือ  ผมรู้สึกได้ว่าสิ่งที่มากระทบเดิมๆ  เงื่อนไขเดิม  แต่การตอบสนองหรืออารม์  ปฏิกิริยาภายในใจที่เกิดขึ้น  มันดูดี เรียบ นุ่มนวนกว่าเดืมมากครับเมื่อมองย้อนกลับไปถึงกลไกความคิดเดิมๆของเราครับอาจารย์
  • แค่นี้ก่อนครับ  มีคนไข้มาครับผม...(อยู่เวร  ER ครับ)

สวัสดีค่ะคุณหมอสุพัฒน์ ( P kmsabai )

รู้สึกเหมือนที่คุณหมอเขียนค่ะ ว่าเวลาเราได้คุยเรื่องการปฎิบัติในแนวนี้ไม่ว่ากับใคร ก็รู้สึกเหมือนกับว่าได้คุยกับกัลยาณมิตรที่รู้จักกันมานาน และยิ่งได้เสวนา ก็ยิ่งได้ความรู้ ได้ข้อเตือนใจ ได้ปฏิบัติมากขึ้น แล้วก็เกิดสติมากขึ้น

ดิฉันว่าการฝึกนี้ทำให้เราเป็นเหตุเป็นผล เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นหรือมีอะไรมากระทบกับเรา ก็จะมีการหาเหตุ ทำความเข้าใจ เมื่อเห็นเหตุ ก็จะรู้ว่าเรื่องส่วนใหญ่เป็นการสมมติ บางทีเป็นการยึดมั่นถือมั่นของคน เมื่อเราเข้าใจ ก็ทำให้ตัดได้รวดเร็ว

อีกอย่างหนึ่งก็คือ ดิฉันว่าการเจริญสตินี้ ทำให้ดิฉันเข้าใจมุมมองของคนอื่นๆ มากขึ้น และมองโลกในแง่ดีขึ้น ไม่ยึดถืออะไรมาเป็นอารมณ์สักเท่าใด แต่ยอมรับว่ายังมีอารมณ์อยู่บ้างค่ะ บางครั้งเขื่อนรับน้ำหลากไม่ทันค่ะ : )  ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างที่เคยเล่าให้ อ.พิชัยฟัง ว่ามักเป็นเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เป็นอารมณ์ใหม่จากเหตุและปัจจัยใหม่ๆ ค่ะ แต่ถ้าคราวหน้าเจอแบบเดิม ก็คงจะดีขึ้นค่ะ

ขอบคุณคุณหมอที่เข้ามา ลปรร นะคะ ดิฉันได้ทบทวนจากการตอบคุณหมอเยอะเลยค่ะ

ขอบพระคุณที่นำสิ่งดีๆมาแบ่งปัน
    คำสอนหลวงปู่ชา ฟังง่าย แต่เมื่อพิจารณาตามแล้วจะพบความหมายที่ยิ่งใหญ่เสมอครับ .. จากรูปธรรมง่ายๆ ชักนำสู่นามธรรมที่สูงค่าได้อย่างน่าประทับใจ

สวัสดีค่ะ อ. P Handy

ดิฉันเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งค่ะ ทุกครั้งที่ฟังท่านเทศน์จะรู้สึกว่าได้ฟังธรรมลึกซึ้งในคำพูดที่เรียบง่าย โดยตัวอย่างที่ชัดเจน และรู้สึกว่า "ใช่" อย่างที่ท่านเทศน์ไว้ บางครั้งเกิดปิติ ทำให้รู้สึกอยากแบ่งปัน โดยนำมาเขียนเล่าสู่กันฟังนี้แหละค่ะ

ขอบคุณอาจารย์ที่แวะมา ลปรร นะคะ

สวัสดีครับอาจารย์  กมลวัลย์

รู้สึกดีมาก ๆ  ครับ ที่อาจารย์นำเรื่อง  ธรรมะ ของหลวงปู่ชา มาเล่าสู่กันฟัง   ตอนมาอยู่ที่วารินชำราบใหม่ ๆ ผมสงสัยว่า หลวงปู่ชาเนี่ย ทำไมมีลูกศิษย์ เป็นพระฝรั่ง แล้วก็ พระชาวญี่ปุ่น ท่านสอนลูกศิษย์ด้วยภาษาอะไร   พูดภาษาอังกฤษก็ไม่ได้เรียนมา พูดภาษาญี่ปุ่นก็ไม่ได้เรียนมา ท่านพูดภาษาอิสานด้วยซ้ำ  ทำไมสอนธรรมะชั้นสูงให้ ท่านอาจารย์เหล่านี้เข้าใจได้

มีลูกศิษย์หลวงปู่ เป็นพระอาจารย์ญี่ปุ่น ชื่อหลวงพ่อ มิตซูโอะ คเวสโก ตอนนี้ท่านอยู่ วัดป่าสุนันทวนาราม ไทรโยค เล่าว่า ตอนแนะนำตัวกับหลวงปู่ว่า ชื่อ "ชิบาฮาชิ "  หลวงปู่ก็ เทียบเคียงเป็นภาษาไทยว่า ."สี่บาทห้าสิบ" เรียกสั้น ๆ ว่า " สี่บาทห้า "

ต่อมาได้ รับรู้ธรรมะของหลวงปู่ วัดที่ไปทำบุญเสมอก็คือวัดป่านานาชาติ กับวัดหนองป่าพง  เพราะคิดว่าทำบุญ ที่ถึงบุญ   อยู่มาหลายปี รับรู้มาหลายปี    ก็เข้าใจได้เลยว่า หลวงปู่พูด  ภาษา ธรรม  ภาษาสากลที่ใครที่มีปัญญาก็เข้าใจ ไม่ว่าชาติไหน ๆ ก็เข้าใจ 

ขอบคุณอาจารย์ครับที่นำเรื่องดี ๆ มาเล่าสู่กันฟัง 

สรรพทานํ ธรรมทานํ ชิเนติ ครับอาจารย์

สวัสดีค่ะ คุณหมอจิ้น

ดีใจมากค่ะที่คุณหมอบอกว่ารู้สึกดีที่ได้อ่านคำสอนของหลวงปู่ ทำให้ดิฉันรู้สึกเหมือนได้เจอกัลยาณมิตรอีกหนึ่งท่านเลยค่ะ แม้ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่ได้สื่อสารกัน

ดิฉันก็เคยคิดค่ะว่าท่านไม่น่าจะพูดภาษาญี่ปุ่นหรือภาษาอังกฤษได้ พอคุณหมอเล่าเรื่องชื่อ "สี่บาทห้า" (ชื่อน่ารักมาก..) ก็ confirm สิ่งที่ดิฉันคิดค่ะ ; )

เหมือนกับที่คุณหมอว่าไว้ ภาษาธรรม นั้นเป็นสากล "ธรรม" นั้นเป็นสากล เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่าย+ลึกซึ้ง และเป็นเรื่องจริงที่ปฏิเสธไม่ได้

ว่าจะเขียนเรื่องที่หลวงปู่เทศน์อีกค่ะ กำลังฟังเทปอยู่เรื่อยๆ ค่ะ

หมายเหตุ: ดิฉันไม่เก่งบาลีหรือปริยัติเท่าไหร่ค่ะ : ) ที่คุณหมอเขียนไว้ตอนท้ายน่าจะเกี่ยวกับการให้ธรรมเป็นทานประมาณนี้ (เดาค่ะเดา)  ขอบคุณมากนะคะที่แวะเข้ามา ลปรร ค่ะ

สวัสดีค่ะ ดร.กมลวัลย์

      ได้อ่านคำสอนของหลวงปู่ชาแล้ว   เข้าใจธรรมะลึกซึ้งมากขึ้น   ขอให้ลงบันทึกหลายๆตอนนะคะ

ขอบคุณมากค่ะ

สวัสดีค่ะคุณครูจริยา

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ แล้วจะพยายามเอาคำเทศน์ของหลวงปู่ มาลงเพิ่มเติมนะคะ

สวัสดีค่ะอ.ตุ๋ย

ตามมาจากอนุทินเรื่องก้อนหิน คิดว่าตัวเองก็ค่อยๆสร้างเขื่อนอย่างอ.พิชัยบอก พอรู้ตัวก็จะวางก้อนหินทีละก้อนค่ะ ขอบคุณสำหรับสิ่งดีๆในบันทึกนี้ค่ะ

  • สวัสดีค่ะ อาจารย์ตุ๋ย มาเยี่ยม ๆ มอง ๆ บล็อกปฏิบัติธรรมของอาจารย์อยู่พักหนึ่งแล้วค่ะ แต่ไม่ได้แสดงตัวเพราะไม่มีความรู้ทางธรรมมาร่วมวงสนทนาด้วย ห่างวัดมานานเหลือเกินค่ะ
  • แต่ความเป็นพุทธที่ได้รับการปลูกฝังมาแต่เด็ก ติดตัวมาอย่างไม่รู้ตัวเหมือนกันนะคะ เช่น พี่อักษรมักจะเป็นคนที่ค่อนข้างมีสติ จับอารมณ์ตัวเองได้ หรือถ้าเผลอตัวหลงโกรธเมื่อไร ก็จะเรียกสติกลับมาได้เร็ว   
  • พอมาอ่านเจอคำเขียนของ อ.พิชัย กรรณกุลสุนทร ที่กล่าวว่า "หากกระทบแล้ว มีการรับรู้ด้วยสติ ที่เรียกว่า กำหนดรู้...แสดงว่า ระลึกรู้...ด้วยสติ เป็นปัจจบันธรรม" ก็เลยคิดว่า เอ...นี่ตัวเองกำลังปฏิบัติธรรมโดยไม่รู้ตัวเหมือนกันนะเนี่ย
  • ไม่เคยรู้จัก หลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง มาก่อนเลยค่ะ  แต่เมื่อครู่นี้พี่อักษรได้ลองเข้าไปดูเว็บไซต้ของทางวัดมา มีหนังสือธรรมะให้ดาวน์โหลดอ่านฟรีด้วยค่ะ ขอเริ่มไปศึกษาหาความรู้จากตรงนั้นเลยแล้วกันนะคะ เผื่อวันหลังอาจจะได้ภาษาธรรมะเข้ามาพูดคุยด้วย 
  • บล็อกนี้มีประโยชน์มากเลยค่ะ นำคำเทศน์ที่เรียบง่ายมาเผยแพร่ทำให้พี่อักษรเข้าถึงได้บ้าง ขอบคุณนะคะ

สวัสดีค่ะ ไม่ค่อยได้ฟังเทศน์ ไม่ค่อยได้เข้าวัด แต่ก็มีหลักธรรมประจำใจนะคะ ขอร่วมเป็นพันธมิตรธรรมด้วยคนค่ะ อาจารย์ถามว่า ทุกข์...มันเกิดเมื่อไหร่นะ  สำหรับตัวเอง คิดว่า  ทุกข์เกิดแต่ความคิด  เมื่อใดคิดว่าทุกข์ก็ทุกข์  ปล่อยวาง ก็ปล่อยทุกข์ จริง ๆ นะคะ

สวัสดีค่ะพี่อุ๊

ดีจังเลยค่ะ มาทำเขื่อนกั้นกิเลสกัน ^ ^

สำหรับประสบการณ์ส่วนตัว พบว่า เมื่อใดที่ตัวเองเคยเกิดอนุสติขึ้นหนึ่งครั้ง หลังจากนั้นเราจะเกิดอนุสติง่ายขึ้น เห็นอารมณ์ ความสุข ความทุกข์ในจิตใจได้ง่ายขึ้น สุดท้ายก็จะเห็นการเกิดดับของอารมณ์เพิ่มขึ้นด้วย.. ทำให้เราละวางเรื่องต่างๆ ได้โดยง่าย แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ทำอะไรนะคะ เพียงแต่ทำด้วยใจเป็นกลาง เป็นอุเบกขาน่ะค่ะ ^ ^

ดีใจจัง เห็นพี่มาปฏิบัติด้วยกัน..ทางนี้เป็นทางสว่าง เป็นทางเอกของการดำเนินชีวิตที่ดีจริงๆ ค่ะ ^ ^

สวัสดีค่ะพี่อักษร

ดีใจที่ได้เป็นคนที่ทำให้พี่รู้จักหลวงปู่ชาค่ะ ^ ^ หลวงปู่ท่านเป็นผู้ปฏิบัติที่สามารถถ่ายทอดธรรมะออกมาแบบง่ายๆ ให้เราเข้าใจได้ง่าย ใช้ตัวอย่างพื้นๆ ที่เรารู้จัก ไม่ค่อยพูดธรรมะโดยใช้ศัพท์สูงๆ แต่เป็นธรรมะที่ปฏิบัติได้

เคยไปที่เวบของวัดหนองป่าพงมาแล้วเหมือนกันค่ะ เห็นหนังสือให้อ่านเยอะเลย แต่เวบที่ตัวเองแวะเวียนไปบ่อยจะมีเสียงเทศน์ พี่ลองดูลิงค์ในเรื่องจิตกับแมงมุมนะคะ มีลิงค์ไปเวปที่มีเสียงเทศน์ค่ะ ฟังท่านแล้วได้ปัญญาอีกแบบ

เรื่องธรรมะเป็นเรื่องที่พูดคุยกันได้เสมอนะคะ ธรรมะเป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นเรื่องชีวิตของมนุษย์ทุกๆ คนที่เกิดมาแล้วต้องเผชิญ..เพราะฉะนั้น คุยกันได้เสมอนะคะ ^ ^

นานแล้วนะครับ แต่ทันสมัยเสมอ

ขอมอบเพลง "ก้อนหินก้อนนั้น" ให้กับผู้ที่ท้อถอย..หมดกำลังใจ

ไม่ทราบว่าเป็นธรรมข้อเดียวกันหรือเปล่าครับอาจารย์ :)

สวัสดีค่ะคุณ macbeth

ตัวเองก็ไม่ค่อยได้เข้าวัดค่ะ ^ ^ ฟังเทศน์ก็เฉพาะของหลวงปู่ชาเนี่ยแหละค่ะ คือเรียกว่าแล้วแต่สื่อที่ถูกจริต และแล้วแต่ช่วงเวลาและโอกาสด้วยค่ะ แต่พอได้อ่านได้ปฏิบัติแล้ว จะพบว่าปฏิบัติธรรมได้ทุกเวลา พอปฏิบัติได้ก็จะนึกถึงธรรมะที่เคยอ่าน เคยฟัง.. ได้ซาบซึ้ง เกิดปัญญา เข้าใจในพระธรรมมากขึ้นเรื่อยๆ.. ในขณะทีจิตใจก็สบายขึ้น ชีวิตการทำงาน ส่วนตัว ดีขึ้นหมดเลยค่ะ ^ ^ บอกได้ว่าสิ่งแวดล้อมไม่ได้เปลี่ยน แต่สิ่งที่เปลี่ยนคือภายในจิตของเราเองค่ะ

ขอบคุณที่แวะมา ลปรร กันนะคะ ^ ^

สวัสดีค่ะ อ.วสวัตฯ

เพลงของโรสใช่ไหมคะ เมื่อวานเพิ่งฟังเป็นครั้งแรกในชีวิต อิอิ น้องหมอมัทเป็นคนแนะนำไว้ในอนุทิน

เรื่องทุกข์เป็นเรื่องคลาสสิกเสมอค่ะ ฮ่าๆๆๆ หนีไม่พ้น เกิดปุ๊บก็ทุกข์ปั้บ..ใครบีบฉันออกมาข้างนอกเนี่ย ไม่เอาๆ แงๆๆ..โอียสว่าง โอ๊ยหนาว..โอียหิว..The rest is history ค่ะ อิอิ แต่ต้องยอมรับว่าทุกข์ของคนเรานั้นซับซ้อนขึ้นเมื่อเจริญเติบโตขึ้น..ก็ไม่ใช่เพราะอะไร กิเลสมันหนาขึ้น..มีของยั่วตา ยั่วใจ ให้เราเห็นเป็นจริงเป็นจังมากขึ้นจนมองไม่เห็นแก่นแท้ของเรื่อง..อารมณ์มันพาไปที่อื่นเสียแล้ว อิอิ ที่บอกได้อีกอย่างคือ ทุกข์จะอยู่คู่กับเราตลอดชีวิต แต่เราไม่จำเป็นต้องทุกข์เท่านั้นเอง..

เดี๋ยวจะไปเยี่ยมที่บันทึกนะคะ ^ ^

สวัสดีค่ะคุณกมลวัลย์

ขอบคุณที่นำธรรมะมาให้

จริงของคุณทุกอย่างที่เกิดเป็น เพราะสมุทัย

ถ้าเราเข้าใจทุกอย่าง เราก็จะไม่ทุกข์

ทุกๆอย่างในโลกใบนี้อยู่ที่ใจของคนทั้งนั้น

ดังคำพระท่านว่าธรรมะคือธรรมชาตินั่นเอง

สวัสดีค่ะคุณปรีดา

ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมเยียนและ ลปรร เช่นกันนะคะ

ธรรมะคือธรรมชาติจริงๆ สิ่งที่พระพุทธองค์ได้สั่งสอนไว้ก็ล้วนแล้วแต่เป็นการทำความเข้าใจธรรมชาติของเรา ธรรมชาิติของสิ่งที่อยู่รอบๆ ตัวเรา.. เมื่อเข้าใจสมุทัย ทุกข์ก็มิใช่ทุกข์อีกต่อไป

ยินดีต้อนรับนะคะ ^ ^

  • มาอ่านและลงชื่อไว้ครับ

สวัสดีค่ะคุณกวิน

ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมเยียนนะคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท