หมอบ้านนอกไปนอก(43): เสน่ห์ปารีส


ผมได้อ่านหนังสือInsight compact guides ปารีส ของอาป้าพลับลิเคชัน ชอบคำพูดของ เออร์เนสต์ เฮมิงเวย์ ที่ว่า “ถ้าคุณโชคดีได้อยู่กรุงปารีสในวัยหนุ่ม ตลอดชีวิตที่เหลือของคุณก็จะมีปารีสอยู่ในทุกหนทุกแห่งที่คุณไป ปารีสคือความเริงใจที่มีตีน”

 สมัยเด็กๆเรียนประวัติศาสตร์ได้ทราบถึงชาติตะวันตกที่เข้ามาประเทศไทยตั้งแต่สมัยอยุธยาทั้งโปตุเกส สเปน ฮอลันดา ฝรั่งเศสและอังกฤษ ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีชาวฝรั่งเศสที่เข้ามามีบทบาทในราชสำนักอยู่คือเจ้าพระยาวิชชาเยนทร์ (ตรงกับสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14) ทั้งๆที่มีหลายประเทศเข้ามาแต่เราเรียกชาวยุโรปหรือชาวตะวันตกว่าฝรั่งหมด แม้ภาษาอังกฤษจะใช้กันมากแพร่หลาย เราก็เรียกคนที่พูดภาษาอังกฤษว่าฝรั่งอยู่ดี ผมคิดว่าคำว่าฝรั่งนี่ น่าจะมาจากการเรียกคนฝรั่งเศสนี่เอง จากคำว่า France ที่ออกเสียงฟร้านซึ, ฟรั้งซึ, ฟร้องซึ คนไทยเลยออกเสียงเป็นฝรั่ง

พี่เกษมชวนผม เกลนด้า ไปเที่ยวปารีส พี่เกษมกับเกลนด้าช่วยกันหาข้อมูลโรงแรม การเดินทาง สถานที่เที่ยวจากเว็บไซต์ ที่ www.wikitravel.org มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาก สามวันที่ว่างจากภารกิจการเรียนช่วง30 พฤศจิกายนถึง 2 ธันวาคม มีทางเลือกการเดินทางสองทางคือนั่งรถไฟความเร็วสูง (Thalys) จากบรัสเซลส์ถึงปารีสใช้เวลาสองชั่วโมงในราคาไปกลับ 180 ยูโรกับรถบัสของยูโรไลน์ (Eurolines) ใช้เวลาหกชั่วโมงในราคาไปกลับ 48 ยูโร ดูรายละเอียดได้ที่ www.eurolines.be  เราตัดสินใจไปแบบประหยัดโดยรถบัส พี่เกษมเป็นมัคคุเทศก์ที่ยอดเยี่ยมมาก เกลนด้าช่วยกำหนดสถานที่ท่องเที่ยว ส่วนผมเป็นผู้ติดตาม

พี่เกษมเล่าว่าเคยไปเที่ยวปารีสแล้วสวยมาก อยากไปเที่ยวอีก เวลาสามวันนี่น่าจะน้อยไปด้วย ผมก็ยังคิดว่าตั้งสามวันเที่ยวเมืองเดียวนี่จะน้อยได้ยังไง พี่เกษมเล่าอีกว่ามีน้องหมอคนหนึ่งพาภรรยาไปฮันนีมูนที่ยุโรปตั้งใจว่าหนึ่งสัปดาห์จะไปเที่ยวหลายๆประเทศโดยเลือกปารีสเป็นที่แรก ปรากฏว่าพอเที่ยวจริงๆหลงเสน่ห์ปารีสเลยตัดสินใจอยู่ปารีสทั้งสัปดาห์

วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน ตื่นตีห้า ต้องรีบเตรียมตัวเดินทาง รถบัสออกเดินทางตั้งแต่ 6.45 น. กินข้าวเช้าแล้วก็ปั่นจักรยานสะพายเป้ตากอากาศหนาวไปขึ้นรถที่หน้าสำนักงานขายตั๋วของยูโรไลน์ตรงด้านหน้าไชน่าทาวน์ที่ถนน Van stralenstraat  เลือกที่นั่งได้ตามใจเรา ขึ้นก่อนเลือกก่อน เป็นรถบัสชั้นเดียว 40 ที่นั่ง มีห้องน้ำในรถ เราเลือกนั่งได้คนละที่ ด้วยความง่วงก็หลับไป รถผ่านไปรับผู้โดยสารที่บรัสเซลส์ เกนต์แล้วผ่านเมืองมอนส์ (Mons) ตรงไปที่ปารีส ผมนั่งหลับไปเกือบตลอดทางจึงไม่ได้สังเกตทิวทัศน์สองข้างทางมากนักจนบ่ายสองก็ถึงปารีส รถจอดที่สถานียูโรไลน์ที่เดียวกับสถานีรถไฟฟ้าGallieni ตอนแรกเราจะเดินเข้าไปในตัวเมือง แต่ถามคนแถวนั้นเขาบอกว่านั่งรถไฟฟ้า (Subway, sky way) สะดวกกว่า

เราเข้าไปซื้อตั๋วรถไฟฟ้ามีให้เลือกหลายแบบทั้งแบบครั้งเดียว แบบหลายครั้งที่ระบุจำนวนวันกับความกว้างของบริเวณที่เราจะเดินทางเรียกว่าโซน (มีสองราคาแบบสามโซนกับหกโซน) ราคาแตกต่างกัน ถ้าจำนวนวันมากหรือจำนวนโซนมากก็ราคาสูงขึ้น เราเลือกแบบสองวันหกโซน สามารถใช้เดินทางได้ตลอดบ่อยครั้งแค่ไหนก็ได้ในสองวันนี้ทั้งเมือง ในราคาผู้ใหญ่คนละ 27 ยูโร (เด็กอายุมากกว่า 12 ปี ราคา 13 ยูโร ส่วนเด็กต่ำกว่านั้นไม่เสีย) จริงๆแล้วเราเพิ่งมารู้ขอบเขตของโซนวันเดินทางกลับโดยดูจากแผนที่ พื้นที่ที่เราเที่ยวกันนั้นอยู่ในบริเวณสามโซนเท่านั้น เราขึ้นรถไฟฟ้าสายสีเขียวจากสถานีGallieni สายนี้มีบางส่วนที่โผล่ขึ้นมาลอยฟ้าด้วย ทำให้ได้ชมทิวทัศน์เมืองปารีส ได้เห็นความยิ่งใหญ่แห่งมหานครอันมีมนต์เสน่ห์มัดใจนักท่องเที่ยวจากทุกมุมโลกได้

ลงรถไฟฟ้าที่สถานีGambetta แล้วเดินต่ออีกสักสองร้อยเมตรผ่านเข้าไปชมจุดแรกคือCimetery du Pere Lachaise ตอนแรกผมก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร พอเข้าไปจึงรู้ว่าเป็นสุสานฝังศพขนาดใหญ่ที่มีความเก่าแก่มาก ศพผู้มีชื่อเสียงหลายคนของฝรั่งเศสก็ถูกฝังไว้ที่นี่ เกลนด้าอยากมาเที่ยวเพื่อจะไปดูที่ฝังศพของจิม มอริสัน นักร้องเพลงร็อคที่เขาชอบ สิ่งที่ผมทึ่งคือเขาทำให้สุสานฝังศพกลายเป็นที่ที่คนเข้าไปเดินเที่ยวชม มีแผนผังนำชมให้ด้วย พอออกมาจากสุสานก็เห็นป้ายMetopolitain จุดขึ้นรถไฟฟ้า เราขึ้นรถสายสีน้ำเงินที่สถานี Pere Lachaise ไปลงที่สถานี Anver เพื่อเข้าพักที่โรงแรมพรีลูด (Prelude) ลงจากรถไฟฟ้าเข้าไปที่ศูนย์บริการนั่งท่องเที่ยวมีแผนที่แจกให้ฟรี เราเดินลัดเลาะไปตามถนนสักสามร้อยเมตรก็ถึงโรงแรมอยู่ที่ถนน rue de Dunkerque อยู่กลางเมือง สามารถไปเที่ยวชมสถานที่ต่างๆได้ง่าย ห้องพักไม่กว้างนักแต่สะดวกสบายและสะอาดสามารถติดต่อได้ที่ www.preludehotel.com  

เราเช็คอินเพื่อเก็บสัมภาระและรับประทานอาหารกลางวันเอาเกือบสี่โมงเย็น เอนหลังพักกายให้คลายเมื่อยล้าสักครู่ก็เริ่มเดินทางท่องเที่ยวกันต่อด้วยการขึ้นรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินที่สถานีAnver ลงที่สถานี Barbes Rochechouart ต่อสายสีน้ำตาลไปลงที่สถานี Cite ลงไปเที่ยวชมมหาวิหารนอตเตอดาม (Cathedrale Nottre-Dame de Paris) สไตล์โกธิคสร้างอุทิศให้พระแม่มารี ซุ้มประตูสามประตูด้านหน้ามีรูปปั้นพระแม่มารีกำลังเห่กล่อมพระเยซูล้อมด้วยหน้าต่างกระจกสีกุหลาบ ภายในตกแต่งงดงาม มีทางเดินทอดยาวจากประตูไปที่แท่นพิธีกรรม ออกจากวิหารอากาศเริ่มมืดครึ้ม แสงอาทิตย์หายไปโดยไม่รู้ตัว เพลินตากับแสงไฟที่ประดับประดามหาวิหารอันงดงาม

หลังจากนั้นก็เดินเลียบริมแม่น้ำแซนเพลิดเพลินกับทิวทัศน์สองฝั่ง เดินไปถึงสะพานปงท์เนิฟ (Pont Neuf) หยุดพักทานอาหารเย็นกันบนสะพาน แล้วเดินเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์ลูฟว์ยามค่ำคืน ปิระมิดแก้วยามต้องแสงไฟสว่างงาม แล้วนั่งรถไฟฟ้าต่อไปชมหอไอเฟลที่โดดเด่นสว่างไสวด้วยแสงไฟประดับประดา ฝนตกเริ่มตกปรอยๆ เรารีบนั่งรถไฟฟ้ากลับที่พักประมาณสี่ทุ่มครึ่ง อาบน้ำนอนพักเอาแรงไว้เที่ยวต่อ

วันเสาร์ที่ 1 ธันวาคม เราเดินเท้าจากโรงแรมไปไม่ไกลไปยังเนินเขามงต์มาตร์ ทางขึ้นเนินสูงพอควรแต่ความเหนื่อยถูกมลายไปสิ้นเมื่อสัมผัสกับความงามของทิวทัศน์และอากาศเย็นยามเช้า ได้ชม Montmarttre Baslique du Sacre-Coeur หรือวิหารพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์สถาปัตยกรรมโรมัน-ไบเซนไทน์สร้างปี 1870 ภายในมีภาพประดับโมเสคของพระเยซูคริสต์ขนาดใหญ่ เดินขึ้นบันไดเวียน 234 ขั้นไปยอดโดม (Dome crypte) เพื่อชมทิวทัศน์เมืองปารีสได้รอบ หลังจากนั้นก็เดินชมร้านค้าบริเวณมงต์มาตร์ และลานจิตกรปลาสดูแตตร์ Place du tertre ที่มีจิตกรหลายคนกำลังนั่งวาดผลงานให้ชมกัน

เดินไปเรื่อยๆตามถนนRue Lepic เจอที่ตั้งของกังหันลมมูแลง เดลา กาแล็ต (Moulin de la Galette) ที่เหลืออยู่แค่หนึ่งเดียวจาก 30 แห่ง เดินไปเรื่อยๆจนเจอโรงระบำสาวแท้เปลือยอกมูแลงรูจ (Moulinrouge) หลังจากนั้นนั่งรถไฟฟ้าไปชมประตูชัยหรืออาร์ค เดอ ทริออมป์ (Arc de Triomphe) ที่โดดเด่นเป็นสง่าอยู่ที่จัตุรัสชาร์ลส์ เดอ โกล (Charles de Gaulle) ที่นโปเลียนให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะในปี 1806 สร้างนานถึง 30 ปี สูง 50 เมตร เสาทั้งสี่ด้านประดับด้วยรูปสลักนูนที่รำลึกถึงชัยชนะสงคราม

แล้วนั่งรถไฟฟ้าไปลงที่สถานีทรอคคาเดโร (Trocadero) พอขึ้นจากสถานีรถก็พบพระราชวังชายโย (Palais de Chaillot) เป็นอาคารปีกโค้งสองหลัง (ตอนนี้เป็นพิพิธภัณฑ์) มีรูปปั้นนายพลฟอชขี่ม้าอยู่ฝั่งตรงข้าม จุดนี้เป็นจุดชมหอไอเฟล (Tour Eiffel) ที่มีลานให้ถ่ายรูปและชมหอไอเฟลได้เต็ม ลงบันไดเดินเข้าไปหาหอไอเฟ่นที่เห็นอยู่ข้างหน้า บริเวณหอไอเฟลนักท่องเที่ยวต่อคิวเพื่อซื้อตั๋วและขึ้นลิฟต์ หอนี้สร้างด้วยเหล็กล้วนสูง 324 เมตร หนัก 10,000 ตัน โดยกุสตาฟ ไอเฟลในปี 1889 เพื่อเป็นประติมากรรมฉลอง 100 ปีของการปฏิวัติฝรั่งเศส เราแวะเข้าห้องน้ำกันที่จุดนี้

เดินต่อไปชมLes Invalides และสวนสาธารณะแล้วเดินไปชมวิหารปองเตออง (Pantheon) อาคารหลังคาโดมสูง 117 เมตร มีฐานเป็นแนวเสาเรียงเป็นวงรองรับ ภายในมีจิตกรรมและการแสดงภาพ วิหารนี้ใช้เป็นฝังศพของนักปฏิวัติวอลแตร์, ฌอง-ช้าค รุสโซ, วิคเตอร์ ฮูโก, เอมิล โซล่าและฌอง มูแล็ง เรานั่งรถไฟต่อไปชมโรงละครโอเปร่า (Opera Garnier) ที่สร้างโดยชาร์ลส์ การ์นิเยร์ ใช้เวลาถึง 13 ปี สร้างเป็นสถาบันดนตรีและนาฏศิลป์แห่งชาติ เหนือตัวอาคารเป็นโดมรูปทรงคล้ายมงกุฎที่เป็นหลังคาโรงละคร ด้านหน้าตึกและข้างมีกลุ่มประติมากรรมขนาดใหญ่ประดับอยู่ บนสุดเป็นรูปปั้นเทพอพอลโลถือพิณ ผนังหน้าตึกประดับลวดลายสวยงามมาก

เราเดินอ้อมไปด้านหลังโอเปร่า ฟ้ามืด แสงไฟเข้ามาทำหน้าที่แทนแสงแดด เราเข้าไปเดินชมห้างสรรพสินค้าแกลลอรี่ ลาฟาแยตต์ (Galeries La Fayette) ที่ตกแต่งด้านในอย่างหรูหราอลังการ มีโถงกลางแบบอาร์ทนูโวสูง 23 เมตร สร้างปี 1904-06 มีเหล็กดัดห้อยระย้า หลังคาโดมประดับด้วยแก้วหลากสี มีสินค้าราคาแพงมากมายทั้งเสื้อผ้าและเครื่องสำอางหลากหลายแบรนด์เนม

นั่งรถไฟฟ้าสายสีเหลืองต่อไปลงที่สถานีConcord เดินไปที่จัตุรัสปลาส เดอ ลา คองคอร์ด (Place de la Concorde) ชมแท่งเสาหินโอบิลิสก์แห่งลุกเซอร์ (Obeilisk of Luxor) ของขวัญจากอียิปต์ตั้งตรงตระหง่าน ที่จัตุรัสนี้เป็นที่ประหารชีวิตพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระมเหสีมารีอังตัวเนตต์ เดินชมความงดงามสองข้างถนนชองป์ เซลิเซ่ (Champs-Elysees) ที่สองข้างถนนปลูกต้นไม้เป็นแถว มีทางเดินที่ประดับประดาโคมไฟระยิบระยับตระการตา คลอเคล้าด้วยแสงไฟจากร้านค้าที่อยู่สองฟากฝั่งถนนที่มุ่งสู่ประตูชัย

แวะทานอาหารที่ร้านควิ๊กแล้วนั่งรถไฟสายสีน้ำเงินลงที่สถานีอังเฟ่ (Anves) เดินไปชมบรรยากาศของโรงระบำเปลือยอกมูแลงรูจกับการเต้นคาร์บาเล่ต์อันเลื่องชื่อมายาวนานมีกังหันลมสีแดงเป็นสัญลักษณ์ ตั้งแต่ปี 1925 ในนามThe Mistingnett show เป็นแหล่งกำเนิดเพลงคลาสสิกหลายเพลงเช่น Valencia, Ca cest Paris เราเดินไปตามถนนปลาส ปิกัลล์ (Place Pigalle) ผ่านร้านค้า เซ็กซ์ช้อป บาร์โชว์ทางเพศและโรงหนังเอกซ์ เดินจนถึงบริเวณทางขึ้นซาเคร่เคอ แวะร้านขายของที่ระลึกที่มีหลากหลายในราคาประหยัด ฝนตกปรอยๆมาอีกอุณหภูมิ 11 องศาเซลเซียส กลับโรงแรมที่พัก

วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม ทานอาหารเช้าเสร็จแล้วเช็คเอาท์ฝากกระเป๋าสัมภาระไว้ที่โรงแรม นั่งรถไฟฟ้าสายสีฟ้าจากสถานีAnvers ไปชมพระราชวังGrand Palais และ Elysee Palaceที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำแซน ฝนตกปรอยๆ ฟ้าครึ้ม เดินไปถ่ายรูปบนสะพานอะเล็กซานเดอร์มองเห็นพระราชวังเด่นสง่า แล้วนั่งรถไฟฟ้าต่อไปลงที่สถานีPalais Royal-Musee du Louvre ไปเข้าชมพิพิธภัณฑ์ลูฟว์ (Palais du Louvre) ที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดในยุโรป ทุกวันอาทิตย์สัปดาห์แรกของเดือนเปิดให้ชมฟรี นักท่องเที่ยวเยอะมากเข้าแถวยาวเหยียด ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์เป็นสวนสาธารณะเคยเป็นสวนพระราชวัง ด้านเหนือเป็นพระราชวัง (Palais Royal) ใช้เป็นที่ทำการรัฐบาล เราเดินเข้าทางด้านล่าง ไม่ได้เข้าทางปิระมิดแก้ว มีแผ่นพับแผนที่หลายภาษาวางแจกอยู่ด้านหน้า

พิพิธภัณฑ์กว้างใหญ่มาก ถ้าเดินดูให้ทั่วทั้ง 4 ชั้นใช้เวลาประมาณ 3 วัน เริ่มแรกสร้างเป็นป้อมปราการ มาสมัยพระเจ้าฟรองซัวร์ที่ 1 ใช้เป็นที่สะสมภาพเขียนอิตาลี สมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 มีการซื้อและรับบริจาคภาพเขียนต่างๆ เปิดให้เข้าชมในปี 1793  แต่ละห้องจัดให้เป็นที่จัดแสดงภาพวาดและประติมากรรมที่มีอายุหลายร้อยปีทั้งของยุโรป (ฝรั่งเศส กรีก โรมันโบราณ) ศิลปะอิสลามเอเชียตะวันออกเรามีเวลาไม่มาก จึงชมได้ไม่มากนัก มีภาพวาดที่มีอายุหลายร้อยปีเช่นภาพวาดโมนาลิซ่าของลีโอนาร์โด ดาร์วินชี่ ประติมากรรมรูปสลักหินอ่อนเทพธิดาวีนัส (Venus de Milo) และสฟิงสก์จากอียิปต์ เป็นต้น ประมาณ 12.45 น. ผมกับเกลนด้ารีบกลับไปโรงแรมเพื่อเอาสัมภาระแล้วก็ไปขึ้นรถบัสที่สถานีเวลา 14.30 น. ส่วนพี่เกษมรีบแยกไปเช็คอินรถบัสก่อนเพราะต้องเช็คอินก่อนเดินทาง 1 ชั่วโมง ขากลับผมหลับไม่ลงนั่งมองทิวทัศน์สองข้างทางจากปารีสจนถึงแอนท์เวิปประมาณ 2 ทุ่ม เสียดายที่ยังไม่ได้ชมพระราชวังแวร์ซายน์และสวนสนุกวอลท์ ดิสนีย์

แผนที่เป็นสิ่งสำคัญมากในการท่องเที่ยวตัวเมือง ขอได้ที่หน่วยบริการนักท่องเที่ยวที่มีสัญลักษณ์ตัว i ส่วนใหญ่แจกฟรี ที่โรงแรมที่พักก็มีให้ บอกรายละเอียดสถานที่เที่ยวและเส้นทางของรถไฟฟ้าที่ผ่านบริเวณนั้น ระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนของฝรั่งเศส (RATP) ดีมากเป็นระบบรถไฟฟ้าใต้ดินเป็นส่วนใหญ่ มีลอยฟ้าบางช่วง ที่สามารถใช้ตั๋วร่วมกันได้ทั้งหมด การซื้อตั๋วให้ดูว่าเราใช้กี่วัน เที่ยวบริเวณไหนบ้าง ผมดูแล้วโซน 1 อยู่บริเวณใจกลางเมือง สถานที่เที่ยวส่วนใหญ่อยู่ส่วนนี้ ส่วนโซน 2-6 ก็ขยับเป็นวงรอบออกไป ถ้าเราซื้อตั๋ววันแบบสามโซนก็เพียงพอสำหรับการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าไปเที่ยวแล้ว ถ้าต้องการไปพระราชวังแวร์ซายน์ที่อยู่โซน 5 ก็ซื้อตั๋วแบบครั้งเดียวได้ จะประหยัดกว่าซื้อรวมทั้ง 6 โซน

การขึ้นรถไฟฟ้าก็ไม่ยาก เวลาเดินตามถนนให้มองหาป้ายMetopolitain จะมีทางลงไปที่สถานีใต้ดิน ให้ดูว่าสถานที่เราจะไปนั้นอยู่ใกล้สถานีอะไรมากที่สุด ดูว่าสถานีนั้นมีรถไฟฟ้าสายสีอะไรผ่าน มีตัวเลขกำกับแต่ละสถานีเช่นสีฟ้าสาย 2 จากNation-Porte Dauphine แต่ผมคิดว่าดูสีง่ายกว่า หรือดูต้นสายปลายทางก็ได้ ตรงทางลงไปขึ้นรถไฟฟ้าจะมีป้ายชี้บอกทาง ให้เลือกลงบันไดให้ตรงกับด้านที่เราจะไป บางสถานีเป็นจุดเปลี่ยนเส้นทางก็ให้ดูว่าลงแล้วเราจะไปขึ้นสายสีอะไร ไปทางด้านไหน เท่าที่สังเกตสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละแห่งมักเป็นชื่อของสถานีที่ใกล้กัน รถไฟฟ้าแบบเมโทร (Metro) ที่วิ่งในปารีสและชานเมืองมีประมาณ 13 สาย ใช้สีและตัวเลขกำกับและมีทางรถไฟฟ้าวิ่งทางไกลแบบแอเออแอ (RER) เป็นรถด่วนพิเศษที่ใช้สีและมีอักษรกำกับอีก 5 สายจากA-E ไม่ต้องจำใช้ดูจากแผนที่ได้ง่าย

ตั๋วรถไฟมีหลายแบบเช่นตั๋วเที่ยวเดียว (1.5 ยูโร) ตั๋วการ์เน่ต์ (Carnet) เป็นตั๋วชุด 10 ใบ ใช้ทีละใบ (10.50) ตั๋วการ์ด โมบิลิส (Carte Mobilis) ใช้เดินทางในปารีส (โซน 1-2) ได้โดยไม่จำกัดจำนวนครั้งภายใน 1 วัน (5.30 ยูโร)ตั๋วปารีส วิสิท (Paris Visite) ใช้เดินทางในปารีสและชานเมือง มีแบบโซน1-6 และโซน 1-3 ภายในเวลา 1, 2, 3 หรือ 5 วัน (ราคาประมาณ 8.35, 13.70, 18.25, 26.65 ยูโร)

เรื่องค่าใช้จ่ายก็ขึ้นกับสไตล์ของคนเที่ยว ถ้าเน้นชมสถานที่มากกว่าที่พัก ช็อปปิ้งและร้านอาหารก็ประหยัด ผมเที่ยวปารีสรอบนี้ใช้เงินไม่ถึง 6,000 บาท เน้นประหยัดเวลาเตรียมอาหารไปกันเองจะได้ไม่ต้องแวะร้านอาหารที่ต้องรอคิวนานพอควร ทำให้สามารถเดินเที่ยวสถานที่ต่างๆได้ค่อนข้างมากในเวลาจำกัดเตรียมเครื่องป้องกันหนาวให้พร้อม เตรียมความฟิตของร่างกายและอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับสถานที่เที่ยวไปบ้าง เพราะเราไปเที่ยวกันเองไม่มีไกด์บรรยาย คำอธิบายส่วนใหญ่เป็นภาษาฝรั่งเศส ถ้าขี้เกียจเดินก็นั่งรถบัสชมเมือง (Les cars rouges) ได้ เที่ยวครั้งนี้คุ้มค่ามาก ได้เรียนรู้การวางแผนการเที่ยวด้วยตัวเองและการเดินทางภายในเมืองที่ไปเที่ยว

ปารีส เป็นเมืองหลวงของฝรั่งเศส เป็นเมืองที่ชาวยุโรปโหวตให้เป็นเมืองที่อยากไปเที่ยวมากที่สุด ฝรั่งเศสแบ่งการปกครองออกเป็น 22 จังหวัด (province) มีภูมิประเทศหลากหลายรูปแบบทั้งภูเขา ที่ราบและชายฝั่งทะเล มีวัฒนธรรม อาหารการกินและผลผลิตทางการเกษตรที่แตกต่างกันไปตามแต่ละภูมิภาค อาคารบ้านเรือนในปารีสเป็นอาคารที่มีอายุยาวนานและก่อสร้างที่สามารถทำให้อาคารใช้งานอยู่ได้หลายร้อยปี สามารถปรับให้สอดคล้องเข้ากับชีวิตของผู้คนในแต่ละยุคสมัยได้ อาคารที่ยังคงความงาม แข็งแรง ทนทานจากอดีต สู่ปัจจุบันและอนาคต นับเป็นความฉลาดลึกล้ำของสถาปนิกผู้ออกแบบจริงๆ

ปารีสเป็นเมืองหลวงที่มีความหลากหลายของพื้นที่มีทั้งที่ราบลุ่มและเนินเขา มีแม่น้ำแซนไหลเลาะเลื้อยไปในเมือง บรรยากาศอันแสนโรแมนติกริมรอบแม่น้ำเมื่อเดินเลาะเลียบไปตามถนนที่เรียงรายด้วยต้นไม้สองฝั่ง กลางวันก็สวย กลางคืนยิ่งงามไปด้วยแสงไฟที่ประดับประดาตามถนนหนทางอาคารบ้านเรือนและแสงไฟทาทาบขอบฟ้ายิ่งเพิ่มมนต์ขลังอันน่าตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างยิ่ง จักรพรรดิชาร์ลส์ที่ 5 เคยตรัสไว้ว่า “ผู้ที่ทำสงครามกับฝรั่งเศส ย่อมหวังครอบครองกรุงปารีส ไม่เพียงแต่จักรพรรดิและกษัตริย์เท่านั้นที่พึงใจปารีส แม้เหล่าจิตกร ปฏิมากร คีตกรและนักประพันธ์ต่างถูกดึงดูดไปที่เมืองเสรีแห่งนี้หลายศตวรรษมาแล้ว”

สถานที่เที่ยวที่ดูใหญ่โตงดงามอลังการ แฝงไว้ด้วยนัยของความรุ่งเรืองของอารยธรรมในอดีต เบื้องหลังความใหญ่โตงดงามของอาคารเหล่านี้ ผมอดจินตนาการไปถึงเบื้องหลังการก่อสร้างครั้งอดีตที่ต้องอาศัยทรัพยากรมหาศาลอาจมาจากหลายแห่งทั่วโลกที่ขนถ่ายมาในสมัยล่าอาณานิคมกับหยาดเหงื่อแรงกายของคนหลายร้อยคนที่รินไหลราดรดลงไปบนผืนดินที่ก่อสร้าง เจือปนด้วยความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าของกรรมกรผู้ใช้แรงงาน ผู้อยู่เบื้องหลังความงดงามเหล่านี้ ที่ทำให้คนรุ่นหลังได้มาชมความรุ่งเรืองแห่งอดีต สิ่งเหล่านี้จึงควรเป็นมรดกที่ทรงคุณค่าแห่งโลกมนุษย์ที่ชาวโลกทุกคนควรร่วมกันเป็นเจ้าของไม่ใช่แค่ของพลเมืองเจ้าของประเทศเท่านั้น คงเหมือนกับความรุ่งเรืองแห่งอดีตในอีกหลายๆประเทศที่ชาวโลกควรร่วมกันอนุรักษ์ไว้ให้อยู่ประดับกับโลกใบนี้ตลอดไป

พิเชฐ  บัญญัติ

Verbond straat 52, 2000 Antwerp, Belgium

23 ธันวาคม 2550, 13.56 น. ( 21.56 น.เมืองไทย )

หมายเลขบันทึก: 155590เขียนเมื่อ 23 ธันวาคม 2007 23:15 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 มิถุนายน 2012 16:16 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

ขอบคุณครับ

  • อ่านแล้วได้ประโยชน์มาก  สนุกด้วยครับ
  • นึกถึงเมื่อกว่า 10 ปีมาแล้ว ไปทัวร์ยุโรป 8 ประเทศ  ไม่ได้มีโอกาสมากอย่างคุณหมอเลย อยู่ฝรั่งเศสแค่ 2 วัน ได้แค่โฉบไปดูอะไรเพียงผิวเผินเท่านั้น

สวัสดีครับอาจารย์Handy

ขอบคุณมากครับที่เข้ามาเยี่ยมชมและร่วมแสดงความคิดเห็น Merry Christmas and Happy New Year 2008 ครับ

หมอครับ

  พอดีช่วงประมาณปลายมกราคม 2551

ผมมีโอกาสได้ไปอยู่ที่  Antwerp ประมาณ 2 อาทิตยฺ์ครับ

หมอจะฝากให้้ ผมหิ้วหรือซื้ออะไรไปให้ไหมครับ

ผมก็ได้อ่านและได้ประโยชน์จากบันทึกของหมอเยอะเลยครับ ติดต่อตาม mail ได้เลยครับ

 

ชาครีย์  ทวีทรัพย์

 

 

สวัสดีครับคุณชาครีย์

ขอบคุณมากครับ ต้องขอขอบคุณGotoknow ที่ช่วยเป็นเวทีหยิบยื่นสัมพันธภาพและมิตรไมตรีที่ดีๆให้เกิดขึ้นมากมาย กับเพื่อนจากเวทีเสมือน แต่ความรุ้สึกกับเป้นมิตรภาพที่จริงใจ

ถ้าคุณชาครีย์ไปถึงแอนท์เวิปแล้ว มีเวลาแวะเวียนไปเยี่ยมเยียนกันได้นะครับที่ Verbondstraat52

ช่วงนี้ผมกลับมาเติมรัก เติมไฟที่เมืองไทยพอดี คงยังไม่ได้รบกวนครับ  

สวัสดีค่ะ คุณหมอ

ดิฉัน พรพิมล ทวีทรัพย์ เป็นภรรยาคุณชาครีย์ค่ะ

คุณชาครีย์ ได้ไปที่ Antwerb เมื่อประมาณต้นปี 2551 และถ่ายรูปสวย ๆ มาให้ที่บ้านได้ดูเยอะแยะเลยค่ะ แต่มาอ่านในบล็อคนี้ไม่เห็นคุณชาครีย์เอารูปมาลงเลยค่ะ

ตอนนั้นเรามีลูกชาย 1 คนแล้วค่ะ ประมาณ 1 ขวบกว่า ๆ เวลา 2 สัปดาหฺ์ที่คุณขาครีย์ไป Antwerb เรา 2 แม่ลูก คิดถึงเค้าทุกวันเลยค่ะ แต่ตอนนี้เรามีลูกคนที่ 2 แล้วค่ะ ได้ลูกชายอีกเช่นเคย

พอดี ดิฉัน ลองเข้ามา Search ดูอะไร เล่น ๆ เลยลองหา ชื่อ ชาครีย์ ทวีทรัพย์ ปรากฏว่าขึ้นมาข้อความแรกเลย

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท