หมอบ้านนอกไปนอก(51): ตามรอยโรมัน


อิตาลี เป็นประเทศที่มีอารยธรรมเก่าแก่ของกรีกและโรมันหลงเหลืออยู่จำนวนมาก อาคารอายุหลายร้อยปีได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดี ด้วยความเห็นคุณค่าแห่งความงดงามของอดีต และเป็นจุดขายสำคัญของการท่องเที่ยวที่นำรายได้เข้าสู่ประเทศได้ง่าย การมีสมบัติเก่ามากทำให้คนไม่กระตือรือล้นและวินัยก็น้อยลงไปด้วย

                 อากาศที่เบลเยียมยังคงหนาวสลับกับฝนตกและฟ้าใสเป็นช่วงๆ เริ่มเข้าสู่สัปดาห์ที่ 21ของหลักสูตร ช่วงปลายสัปดาห์ก่อนเราทุกคนต้องเลือกเรียนหลักการวิจัยระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative) กับการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative) ที่มีตารางเรียนพร้อมๆกัน เลือกได้ตามความชอบและความสมัครใจ แต่ไม่สามารถเรียนทั้งสองแบบได้พร้อมกัน ผมเองชอบและถนัดงานวิจัยเชิงคุณภาพมากกว่าเชิงปริมาณที่ต้องใช้สถิติมากๆ แต่เมื่อพิจารณาจากงานในหน้าที่ที่ตอนนี้ผมดำรงตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญด้านเวชกรรมป้องกันที่ต้องดูในเรื่องวิชาการในด้านระบาดวิทยาด้วย ทำให้ผมตัดสินใจเลือกเชิงปริมาณ แม้อีกใจก็อยากเรียนวิจัยเชิงคุณภาพ แต่ก็คิดว่าแม้ไม่ได้ฝึกแต่ก็สามารถขอสำเนาเอกสารเพื่อนมาอ่านเองได้ แต่การฝึกใช้โปรแกรมทางสถิติ Epi info อ่านเองจะเข้าใจยากกว่า ต้องลองปฏิบัติไปด้วย 

                  การเลือกที่เรียนวิจัยเชิงปริมาณทำให้มีเวลาว่าง 2 วันครึ่ง ไกด์สมัครเล่นมืออาชีพอย่างพี่เกษมและผู้ติดตามอย่างผมกับเกลนด้าและเกรซก็เลยวางแผนใช้โอกาสนี้ไปเที่ยว เราเลือกไปที่อิตาลี มีการพูดคุยต่อรองเลือกเส้นทางท่องเที่ยวกันจนสุดท้ายเลือกไปสามเมืองคือโรม ฟลอเรนซ์และเวนิช โดยเดินทางด้วยสายการบินไรอันแอร์จากบรัสเซลส์ไปที่โรม (คนละ 58.78 ยูโร ถ้าโหลดกระเป๋าเพิ่มใบละ 6 ยูโร) ต่อรถไฟด่วน (Eurostar Italia) จากโรมไปฟลอเรนซ์ (คนละ 38 ยูโร)แล้วต่อรถไฟไปเวนิช (คนละ 34 ยูโร) กลับจากเวนิชสู่บรัสเซลส์ด้วยไรอันแอร์ (คนละ 29.44 ยูโร) อามีนอยากไปด้วยแต่จองตั๋วทีหลังไป 1 วัน ค่าตั๋วเครื่องบินเพิ่มไปอีก 60 ยูโร ทำให้เขาต้องเลื่อนไปก่อน ที่พักที่โรมไปพักที่บ้านพี่จุ๋มเพื่อนที่เรียนนิด้าที่พิษณุโลก

                 วันเสาร์ที่ 26 มกราคม 2551 ออกจากบ้านพักตอน 14.15 น.ด้วยจักรยานไปขึ้นรถไฟสถานีกลางแอนท์เวิป (ตั๋วแบบช้อปปิ้ง 7 ยูโร) เวลา 14.38 น. ไปถึงสถานีบรัสเซลส์มิดิ เปลี่ยนรถไฟต่อไปถึงสถานีชาร์เลอรัว นั่งรถบัส (เสาร์อาทิตย์ออกทุก 1 ชม. เวลาลงท้าย 50 นาที ราคา 2.5 ยูโร) ต่อไปสนามบินชาร์เลอรัว เช็คอินและเครื่องออกเวลา 18:35 น. ซื้อวัฟเฟิลขึ้นไปทานเป็นมื้อเย็น ใช้เวลาแค่ 2:15 ชั่วโมงก็ถึงพี่จุ๋มจ้างรถตู้ของนายเมาโรไปคอยรับ (50 ยูโร) ที่สนามบินแชมปิโน่ (Ciampino) แต่สามารถซื้อตั๋วรถบัส (8 ยูโร) บนเครื่องบินได้ อาจจะใช้เวลานานขึ้นกว่าจะถึงตัวเมืองไปถึงบ้านพี่จุ๋มเกือบสามทุ่ม พี่จุ๋มทำข้าวผัดกระเพราหมูไว้ให้ทานกัน หลังจากนั้นก็นั่งคุยกับพี่จุ๋มจนตีหนึ่ง เราไม่ได้เจอกันกว่าสองปีหลังจากรับปริญญาเมื่อปี พ.ศ. 2548

                  พี่จุ๋ม (อัจฉริกา มณีสิน) เป็นผู้หญิงเก่ง มีความมั่นใจสูง กล้าตัดสินใจ มีน้ำใจ ตรงไปตรงมาก่อนมาเป็นผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยสาขาโรม อยู่ที่เขต 4 ตาก อยู่ที่โรมดูแลในเขต 8 ประเทศยุโรป อยู่มาครบ 4 ปีแล้ว กำลังจะย้ายกลับเมืองไทย พี่จุ๋มเล่าให้ฟังว่าการทำงานโดยมีลูกน้องเป็นฝรั่ง ท้าทายมาก เราต้องรู้มากกว่าลูกน้อง มีเทคนิคและแทคติดในการทำงานมาก กฎหมายของอิตาลีเอื้อประโยชน์ต่อพนักงานเป็นอย่างมาก เช่นถ้าท้องห้ามให้ออกจากงาน หากมีปัญหาเรื่องครรภ์ให้ลางานได้ 9 เดือน หลังคลอดลาให้นมบุตรได้อีก 1 ปี ถ้าทำงานไม่ได้ลาได้อีก 90 วัน เป็นต้น หากมีการตักเตือนความผิดพลาดต้องมีบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อไว้อ้างอิง การจะตัดสินใจอะไรกับพนักงานต้องปรึกษาทนายเสมอ ความยุ่งยากในการจัดการพนักงานทำให้มีคนเข้ามาลงทุนน้อย พัฒนาไปได้ช้า ในโรมมีรถไฟฟ้าแค่สองสาย กำลังทำเพิ่มแต่พอเจาะอุโมงค์ไปก็เจอกับซากเมืองโบราณเยอะมาก ต้องเปลี่ยนแนวกันบ่อยๆ จึงไม่เสร็จสักที ต้องใช้รถรางกับรถเมล์เป็นหลัก ตั๋วมีแบบตั๋วครั้งเดียว (75 นาที) 1 ยูโรกับตั๋ววัน 4 ยูโร ซื้อได้จากร้านขายบุหรี่หรือของชำหรือซื้อที่สถานีรถไฟใต้ดินจากเครื่องอัตโนมัติได้ ที่ป้ายรถเมล์มีเลขรถและเส้นทางที่จอดให้ดูได้ง่าย รถไฟใต้ดินสายเอกับบีมาตัดกันที่สถานีรถไฟเตระมินี่

                 วันอาทิตย์ที่ 27 มกราคม 2551 ตื่นเช้าสบายๆ ทำอาหารทานกันเองที่บ้าน เกือบ 9:30 น. เดินไปซื้อตั๋วและขึ้นรถไฟใต้ดินที่สถานีโบโลญญ่า (Bologna) เพื่อออกไปชมความงามของโรมหรือโรม่า ศูนย์กลางอารยธรรมโบราณ สถาปัตยกรรมยุคกลาง ยุคเรเนซองส์ ยุคบาร็อคที่ยังคงหลงเหลืออยู่ด้วยซากวิหารและอาคารเก่าแก่ เริ่มต้นด้วยอัฒจันทร์โรมัน (Calosseo) โรมันฟอรั่ม (Foro Romano) ที่ยังคงหลงเหลือซากอาคารมากมายอันยิ่งใหญ่ในอดีต อาคารที่จตุรัสเวเนเซีย (Piazza venezia) นั่งรถเมล์ไปชมมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์แห่งนครวาติกัน (San Pietro in Vatican) ที่พักของพระสันตะปาปา ปราสาทนักบุญแองเจโล (Castel Sant Angelo) นั่งรถไฟใต้ดินไปชมน้ำพุเทรวี่ (Fontana dei Trevi) ชิมไอศครีมอิตาเลี่ยนที่ร้านคาเฟ่ เจลาติเรีย เดินต่อไปชมบันไดสเปน (Scala di Spagna) เดินขึ้นบันไดไปชมโบสถ์ (Trinita dei Montri) ชมพระอาทิตย์กำลังลับฟ้าบนบันไดสเปน ฟ้ามืดแล้วนั่งรถไฟฟ้ากลับไปชมอัฒจันทร์โรมันยามค่ำคืน เดินไปซื้ออาหารที่ซูเปอร์มาร์เก็ตและกลับถึงบ้านพักสามทุ่มกว่า

                วันจันทร์ที่ 28 มกราคม 2551 ตื่นเช้ามาก พี่เกษมกับเกรซช่วยกันทำอาหารเช้ากว่าจะเสร็จออกเดินทางกันได้ก็ 8:30 น. เรานั่งรถไฟใต้ดินไปขึ้นรถไฟด่วนที่สถานีเตระมินี่ (Termini) ไปถึงสถานีซานตามาเรียโนเวลลา เมืองฟลอเรนซ์ เวลา11:25 น. ฝากกระเป๋าสัมภาระ (3.8 ยูโรต่อใบ) เดินอกนอกสถานีไปที่ศูนย์ข้อมูล (i)ได้แผนที่ชมเมืองฟลอเรนซ์ ต้นกำเนิดของศิลปะยุคเรเนซองส์ เป็นศูนย์กลางความรุ่งเรืองของศิลปวัฒนธรรมในศตวรรษที่ 15 บ้านเมืองเป็นอาคารคอนกรีตเก่าๆหลายร้อยปี เริ่มจากชมวิหารซานตามาเรีย เดล ฟิโอเร่ หรือดูโอโม่ โบสถ์ที่มีโดมกระเบื้องสีแดงหลังใหญ่ มีหินอ่อนสามสีคือแดง ขาว เขียว ตามสีธงชาตอิลาลีถือเป็นสัญญลักษณ์ของฟลอเรนซ์ เดินต่อไปผ่านจัตุรัสเดลลาซิลญอเรีย (Piazza della Signoria) มีน้ำพุ (Fontana di Nettuno) รูปเทพเจ้าเนปจูนแห่งท้องทะเลอยู่กลางลาน ถัดไปด้านข้างมีรูปปั้นแกะสลักจำลองของเดวิดอยู่ ชมปาลาซโซ่ เว็คคิโอ (Palazzo Vecchio) วังเก่าของตระกูลเมดิซี่สมัยดยุคสิโม่ที่ 1 เป็นตึกอิฐสูงใหญ่มีหอนาฬิกาสูงเด่นอยู่หลังน้ำพุ ผ่านพิพิธภัณฑ์อูฟิซี่ (Galleria Delgi Uffizi) ผ่านสะพานเก่าข้ามแม่น้ำ (Ponte Vecchio) ที่สองข้างเต็มไปด้วยร้านทองสามารถชมทัศนียภาพของแม่น้ำอาร์โน่ (Fiume Arno)ไปจนถึงพิพิธภัณฑ์ปาลาติน่า (Galleria Palatina) ในวังเก่า (Palazzo Pitti)  เดินกลับไปอีกทางผ่านซุ้มหลังคาคล้ายศาลาที่จัตุรัสรีพุบบลิก้ามีหมูป่าทองสัมฤทธิ์ (Percellino- Little pig) ที่ถูกคนถูจมูกจนเป็นมันวับ เดินไปจนถึงโบสถ์เซนต์ลอเรนโซ (Basilica di San Lorenzo) ต่อไปจนถึงพิพิธภัณฑ์อัคคาเดเมีย (Galleria dell Accademia) ที่เก็บสะสมผลงานของไมเคิล แองเจโล

                  ออกจากฟลอเรนซ์ (15:40 น.) ด้วยรถไฟด่วนไปถึงเวนิชเวลา 18:30 น. ลงจากสถานีรถไฟสถานีเวเนเซีย ซานตา ลูซียก็เจอสถานีเรือเมล์ (Ferrovia) ซื้อตั๋วแบบเที่ยวเดียว (6 ยูโร) นั่งเรือไปตามลำน้ำยามค่ำคืนอันหนาวเย็นท่ามกลางความมืดของท้องฟ้าและลำน้ำตัดกับแสงสะท้อนระยิบระยับของแสงไฟจากอาคารริมคลองไปลงที่สถานีอัคคาดีเมีย (Accademia) แล้วเดินข้ามสะพานไปถึงที่พักชื่อซาน ซามูเอล (www.albergosansamuele.it ) เช็คอินกับพนักงานที่อัธยาศัยดีมากเป็นคนอินเดียแต่เปลี่ยนสัญชาติเป็นอิตาลีแล้วชื่อซามูเอล เราคุยกันถูกคอ เขานับถือพุทธ ที่ห้องพักเขามีพระพุทธรูปและรูปหลวงพ่อสดวัดปากน้ำด้วย เขาชอบพระเครื่ององค์เล็กๆ ผมกะว่าจะหาโอกาสส่งไปให้เขา คืนนั้นไม่ได้ออกไปไหนเพราะดึกแล้วกลัวหลงทาง

                  วันอังคารที่ 29 มกราคม 2551 ตื่นเช้าออกไปเที่ยวเดินไปที่จัตุรัสซานมาร์โคร ชมความงามของวิหารซานมาร์โค ขนาบสองข้างด้วยตึกโปรคูเรตีเอ เว็คคีเอ (Procuratie Vecchie) กับตึกโปรคูราติเอ นัวเว (Procuratie Nuove) วังเก่าของนโปเลียน (ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์โคร์เร่) ข้างวิหารติดริมคลองใหญ่เป็นวัง (Palazzo Ducale) ของดยุคผู้ครองนครสร้างในศตวรรษที่ 9  กลางจัตุรัสมีหอนาฬิกาสูงใหญ่ เดินออกมาริมคลองใหญ่เรียบคลองชมทัศนียภาพริมน้ำและร้านขายของที่ระลึกจนถึงสะพานถอนหายใจ (Ponte de Sospiri) เป็นปูนทึบเชื่อมอาคารสองหลัง หลังจากนั้นล่องเรือ (ACTV) ที่ท่าเรือวาลลาเรสโซ่โดยซื้อตั๋วเรือแบบ 24 ชั่วโมง (15 ยูโร) สามารถใช้ขึ้นเรือกี่เที่ยวก็ได้ สถานีไหนก็ได้ภายใน 24 ชั่วโมง (ถ้า 2 วัน ราคา 25 ยูโร) ถือว่าคุ้มมาก เราล่องเรือชมทิวทัศน์สองฝั่งคลองใหญ่ ในคลองมีเรือไปมากันขวักไขว่ทั้งเรือเมล์ เรือด่วน เรือแท็กซี่ เรือแจวกอนโดล่า เรือตำรวจ เรือก่อสร้างและเรือบรรทุก

                เวนิชเป็นเหมือนนครกลางน้ำที่อาศัยการเดินเท้าและลำคลองเป็นถนนสำหรับเรือ มีส่วนที่เป็นเกาะและเป็นแผ่นดินใหญ่ จากคลองใหญ่ (Grand canal) มีคลองซอยเล็กๆเต็มไปหมด ผ่านอาคารบ้านเรือนที่ดูเก่าแบบโบราณที่กลายมาเป็นโรงแรมจำนวนมาก มีตลาดสดริมน้ำ อาคารส่วนใหญ่ไม่สูงนักแค่ห้าหกชั้น เป็นปูนฉาบทาสีออกไปทางขาว เหลือง ส้มหรือแดง บางหลังปูนกะเทาะออกด้วยความเก่าเผยให้เห็นเนื้อในของอิฐที่ออกสีแดงส้ม อาคารหลากสมัยหลายสไตล์แสดงถึงการผ่านวันผ่านคืนแห่งยุคสมัยมาอย่างยาวนาน บางหลังกำลังอยู่ในระหว่างการซ่อมแซม บนหลังคาตึกมีปล่องควันไฟตั้งคู่อยู่กับความทันสมัยของจานรับดาวเทียมและเสาอากาศโทรทัศน์ ขึ้นจากเรือเดินไปตามริมคลองผ่านร้านขายของที่ระลึกหลายร้าน เดินไปที่สถานีขนส่งรถเมล์เพื่อซื้อตั๋วรถเมล์ไว้ก่อนเนื่องจากพรุ่งนี้ต้องออกแต่เช้าสำนักงานขายตั๋วยังไม่เปิด

                   กลางวันทานอาหารอิตาเลี่ยนแล้วนั่งเรือที่สถานีซานซัคคารินไปเกาะมูราโน่ เกาะที่ขึ้นชื่อด้วยอุตสาหกรรมเครื่องแก้วอันงดงาม จากคลองใหญ่ออกสู่ท้องทะเลที่ถูกจัดเป็นแนวเหมือนกับถนนสำหรับรถวิ่ง มีป้ายสัญญาณจราจรและเสาไฟปักเป็นแนวให้คนขับเรือสังเกต ผ่านเกาะและแนวชายฝั่งที่เต็มไปด้วยอาคารคอนกรีตทั้งใหม่และเก่า ไม่หลงเหลือเงาของธรรมชาติแบบท้องทะเลบ้านเราแล้ว ถึงเกาะเดินชมโรงงานเป่าแก้ว ชมบริเวณเกาะและร้านขายของที่ระลึก กลับจากเกาะด้วยเรือด่วนเร็วกว่าขาไป เดินไปชมตลาดที่สะพานเก่าแก่ริอัลโต้ สร้างปี 1588 ของวางขายเรียงรายที่โดดเด่นนอกจากเครื่องแก้ว เครื่องหนังแล้วก็คือหน้ากากหลากหลายรูปแบบสอดรับกับเทศกาลหน้ากากของเวนิชพอดี

                  แล้วล่องเรือยามเย็นอีกรอบผ่านท่าริว่า ดิ บิอาซิโอ้ ย่านชุมชนชาวยิว ผ่านท่าซานมาร์คูโอล่ามีบ่อนคาสิโน่ มีอาคารเก่าแก่ที่สุดในเวนิชติดป้าย Turkish Exchangeผ่านท่าคาโดโร่ มีบ้านแห่งทองคำ ผ่านท่าซาน ซิลเวสโทร มีวังวาณิช มองเห็นหอคอยคู่อยู่ฝั่งตรงข้าม ผ่านท่าอัคคาดีเมียมีพิพิธภัณฑ์อัคคาดีเมียและอาคารเตี้ยสีขาวพิพิธภัณฑ์เป๊กกี้ กุ๊กเกนไฮม์ บรรยากาศยามเย็นในคลองยังคงคึกคัก นกนางนวลยังคงโผบินหาอาหาร ขณะที่หนุ่มอิตาเลี่ยนกำลังพากอนโดล่ากลับเข้าที่พักของมันที่ชายฝั่ง ผูกติดกับเสาปล่อยให้เรือน้อยลอยพักผ่อนอยู่เหนือน้ำขึ้นลงไปตามแรงคลื่นเหมือนนอนอยู่ในเปลทะเล เรือแล่นไปเรื่อยๆ ดวงอาทิตย์ค่อยๆลับไปกับขอบฟ้าอย่างช้าๆเช่นกัน ยามค่ำไปชมงานเทศกาลหน้ากาก มีคนแต่งตัวใส่หน้ากากมาไม่มากนัก เสร็จแล้วกลับโรงแรมที่พัก ผมนั่งคุยกับซามูเอลเกือบชั่วโมง มิตรภาพเกิดขึ้นได้เสมอถ้าเราปราถนาให้มันเกิดแม้ต่างเชื้อชาติ ต่างภาษากัน

                  วันพุธที่ 30 มกราคม 2551 ตื่นตั้งแต่ตีสี่เก็บของ เช็คเอาท์ แล้วลงเรือที่สถานีซานแองเจโล่ 05:10 น. ไปที่สถานีโรม่าเพื่อขึ้นรถเมล์เวลา 05:45 น. ถึงสนามบิน นั่งเครื่องบิน 1:25 ชั่วโมง ถึงสนามบินบรัสเซลส์ลาร์เลอรัว ปรากฏว่าเขาเพิ่งย้ายสนามบินใหม่ ไม่ใช่ที่เดียวกับขาไป สนามบินใหญ่และดูทันสมัยกว่าเดิม นั่งรถเมล์มาจนถึงสถานีรถไฟชาร์เลอรัวแล้วต่อรถไฟ (ซื้อตั๋วครั้งเดียวที่สนามบินราคา 10.5 ยูโร) คราวนี้ไม่ต้องเปลี่ยนรถไฟที่สถานีมิเคลินอีก ถึงแอนท์เวิปเวลา 12:45 น. กลับบ้านพัก ทานอาหารกลางวันแล้วไปเรียนโปรแกรมอีพิอินโฟกับอาจารย์อิงกริด (Ingrid Morales ภรรยาของอาจารย์ฌอง ปิแอร์ อังเกอร์) ที่ห้องคอมพิวเตอร์จนถึง 5 โมงเย็น แล้วไปเรียนคอร์สภาษาอังกฤษต่อ (เวลา 18.00-21.00 น.) อากาศหนาวมาก มีฝนตกปรอยๆ ปั่นจักยานฝ่าสายฝนไปเรียน

                 วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม 2551 เรียนการใช้โปรแกรมอีพิอินโฟทั้งวัน กลางวันกลับไปทานข้าวบ้านและต่อสไกป์คุยกับลูก ตอนเย็นไปสอบภาษาอังกฤษถือเป็นการจบคอร์ส ถ้าสอบผ่านสถาบันที่สอน (Athena) จะให้ประกาศนียบัตร ถ้าสอบไม่ผ่านก็ไม่ได้ใบประกาศ การสอบมีทั้งแกรมม่า สนทนา การอ่าน การเขียนตามคำบอก

                  วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2551 ช่วงเช้าอาจารย์วาลาเรียไม่สบายจึงยกเลิก ทำให้ว่าง ผมไปที่ไชน่าทาวน์เพื่อซื้อข้าวสารและอุปกรณ์ทำกับข้าวที่ร้านแสงไทยกับสวัสดี ได้คุยกับน้องบีที่อยู่ร้านสวัสดี เป็นคนไทยไม่กี่คนที่ได้คุยกันในช่วงที่มาอยู่เบลเยียม ได้คุยกันหลายเรื่อง น้องเขาบอกว่าเขาสามารถรับรองให้ญาติจากเมืองไทยมาเบลเยียมได้สามเดือน เธอบอกว่าหากขาดเหลืออะไรก็ให้บอก เพราะเป็นคนไทยด้วยกัน ก็เป็นความรู้สึกดีๆของคนไทยที่มาอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ผมอดคิดไม่ได้ว่าแล้วคนไทยที่กำลังอยู่ในเมืองไทยและกำลังทะเลาะกัน น่าจะคิดอย่างนี้บ้างนะ น้องบีได้เป็นพลเมืองของเบลเยียมแล้ว มีแฟนอยู่ที่เบลเยียม เป็นผู้จัดการร้านรายได้เดือนหนึ่งมากกว่าแสนบาท เสียภาษีรายได้สูงมาก แต่พอแก่ตัวไปอายุ 55 ปี รัฐบาลจะดูให้ทุกอย่าง มีเงินเดือนผู้สูงอายุให้ แต่ก็ไม่ได้อบอุ่นเท่าเมืองไทย กลับจากซื้อของได้คุยกับลูกแล้วก็ไปเรียนช่วงบ่าย แต่ไม่ได้เรียนเป็นการคุยกับอาจารย์ที่รับผิดชอบในวิชาที่สอบไปแล้วมาตอบข้อซักถาม

                   อาจารย์ชี้แจงเกี่ยวกับผลการสอบที่ผ่านมา ที่คะแนนไม่ค่อยสูงกันและมีคนตกหลายคน อาจารย์บอกว่าคะแนน 16/20 ถือว่าดีเลิศแล้ว 14-15/20 ก็ดีมาก ไม่ใช่ต้องได้ 18-19 หรือเต็ม อาจารย์ฌอง ปิแอร์ บอกอีกว่า เท่าที่ผ่านมา นักศึกษาที่จบกลับไปแล้วทำงานได้ดี ได้รับการยอมรับสูง ก็ไม่ใช่คนที่ทำคะแนนสอบได้ดีในชั้นเรียน อย่าไปเคร่งเครียดกับคะแนนสอบมาก ตอนเย็นพี่เกษมทำผัดไทยทานกันที่บ้าน เครื่องปรุงไม่ครบแต่ก็อร่อย มีบูโคล่ากับเกรซมาร่วมแจมด้วย ค่ำๆไปร่วมงานวันเกิดของยาเน็ทกับโลซ่าที่ห้องของออลันโด้ เรียมสแตรต ที่มักจะถูกใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงวันเกิดของพวกเราในรุ่นแล้วก็แอบกลับบ้านก่อนงานเลิก ก่อนกลับไปคุยกับอามีนเรื่องโครงร่างวิทยานิพนธ์กลับบ้านมาซักผ้าแล้วก็สวดมนต์เข้านอน

                  วันเสาร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2551 ตื่นเช้า อากาศหนาวมากขึ้นมาอีกอยู่ที่ 0 องศาในตอนกลางคืนและ 1-2 องศาในตอนกลางวัน มองไปนอกหน้าต่างเห็นหิมะตกอยู่บนหลังคารถยนต์ริมถนน สักพักฝนก็ตกลงมาละลายไปจนหมด พอเก้าโมงเช้าท้องฟ้าใส แดดออกมาช่วยคลายหนาวไปได้บ้าง นั่งอ่านหนังสือและค้นงานวิจัยเพื่อเตรียมเขียนโครงร่างวิทยานิพนธ์ ได้สักพักก็ทานอาหารเช้าแล้วออกไปจ่ายตลาดกลับมานั่งเขียนบันทึก เวลาอยู่คนเดียว นั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นต้นไม้ยืนเดี่ยวเหลือแต่กิ่งก้านไร้ใบแกว่งไกวไปตามแรงลม ลมหนาวพัดมาโดนผิวกายหนาวสะท้าน ใจยังคงคิดถึงบ้านแม้จะเพิ่งจากมาได้สองสัปดาห์              

พิเชฐ  บัญญัติ

Verbond straat 52, 2000 Antwerp, Belgium

2 กุมภาพันธ์ 2551, 06.00 น. (22.00 น.เมืองไทย )

หมายเลขบันทึก: 162929เขียนเมื่อ 2 กุมภาพันธ์ 2008 22:12 น. ()แก้ไขเมื่อ 4 มิถุนายน 2012 16:52 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

สวัสดีเจ้าค่ะ คุณน้าหมอ

               สบายดีหรือเปล่าเจ้าค่ะ  รักษาสุขภาพด้วยนะค่ะ หนูแวะมาเยี่ยมเจ้าค่ะ

            เป็นกำลังใจให้เจ้าค่ะ ------> น้องจิ ^_^

สวัสดีครับน้องจิ

ขอบคุณมากที่แวะมาทักทายกัน น้าหมอเพิ่งมีเวลาเข้าไปอ่านบันทึกของน้องจิเมื่อสักพักนี้เอง จึงเพิ่งทราบข่าวคราวความสูญเสียคุณพ่อและน้องสาว ขอแสดงคามเสียใจด้วยนะครับ และส่งกำลังใจมาให้น้องจิมีความเข้มแข็ง มีพลังในการสรางอนาคตที่ดีต่อไปครับ

สำหรับท่านผู้อ่าน อยากแนะนำเว็บบล็อกของน้องจิที่เขียนได้ดีและเป็นการแสดงถึงความสามารถของคนรุ่นใหม่ ร่วมชื่นชมได้ที่ http://gotoknow.org/blog/nongji/ โดยเฉพาะเรียงความเรื่อง "พ่อของหนู" น้องจิเขียนได้ดีมากๆ

เฮ้ยว่าไงวะเพื่อน

ไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าจะได้คุยกับนายอีกทางเน็ต สบายดีใช่มั้ยไอ้เพื่อนรัก เราไม่ได้เจอกันนานมากเลยนะ หน้าตายังเหมือนเดิมเลยนี่ อ่านบทความที่นายเขียนแล้วนึกถึงบรรยากาศเก่าๆ มันสนุกดีนะ เป็นคุณหมอสมใจเลย ดีใจด้วยนะเพื่อนรัก

ส่วนเราตอนนี้อยู่บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์จำกัด เป็นผู้จัดการฝ่ายวิศวกรรมว่ะ การทำงานก็มั่นคงดี

เจอเพื่อนๆกันบ้างมั้ย อยากเจอจังเลย

แล้วคุยกันใหม่นะเพื่อน ง่วงนอนแล้ว

เออ มือถือเรา 081-9021305

[email protected]

รัก  จรัญ

สวัสดีเพื่อน

เราส่งอีเมล์ไปหานายแล้วนะ เอาไว้เรากลับเมืองไทย แล้วจะโทรหานะ ขอบใจมากที่แวะมาทักทายกัน ตอนปีใหม่ยังบ่นๆกับกล้าอยู่เลยว่านายอยู่ที่ไหน ไม่เจอกันตั้งแต่จบ มอสาม ก็ราว 20 กว่าปีแล้วนะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท