จนแล้วจนรอดคุณแม่ยังไม่เชื่อว่า Lin Hui หุงข้าวเป็น ก็น่าเห็นใจคุณแม่นะคะ เพราะนับตั้งแต่ Lin Hui เกิดมาจนเติบใหญ่ จวบจนจากบ้านไปศึกษาเล่าเรียนต่อที่เชียงใหม่ ปิดเทอมกลับบ้านมา ก็ไม่เคยเห็น Lin Hui หุงข้าวเป็นสักครั้งเดียว แล้วอย่างนี้จะให้คุณแม่เชื่อได้อย่างไร ก็เคยสร้างวีรกรรมกับการหุงข้าวไว้ที่ทุกคนจดจำไม่รู้ลืมเลยค่ะ จะอะไรเสียอีกล่ะคะ ถ้าไม่ใช่หุงข้าวสามรส เป็นที่ประทับใจแม่มาแล้ว นับว่าเป็นความสามารถพิเศษที่ ห้ามลอกเรียนแบบเป็นอันขาด คือว่าหุงข้าวธรรมดา ได้ข้าวชอกโกแล็ต แล้ว ยังดิบ และแฉะอีกตะหาก นับจากนั้นมาคุณแม่ขอร้องให้อยู่ห่างๆ ครัวไว้จะปลอดภัยที่สุด นอกเหนือจาก หุงข้าวสามรสได้แล้ว ยังสร้างวีรกรรมทำขนมปุยฝ้าย ที่ได้ร่ำเรียนจากคนทำความสะอาดหอพักอ่างแก้วที่มช. ใช้ไข่ 50 ฟองที่ต้องเปลี่ยนภาชนะจากธรรมดา จนถึงขั้นใช้กาละมังใบใหญ่สุดมา ตีไข่ แถมเชียรน้องๆให้ช่วยกันตีไขสนุกสนานจนเลอะทั้งบ้าน จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้กินขนมปุยฝ้าย
วันนี้คุณทานข้าวหรือยัง ? อย่าเพิ่งสยองขวัญนะคะ นับจากวันนั้น ถึงวันนี้ ก็ราวๆ สี่สิบ กว่าปีมาแล้ว Lin Hui ขอรับประกันตัวเอง รับรองว่า หุงข้าวเป็นทุกชนิดไม่ว่าข้าวเหนียว ข้าวเจ้า ข้าวเก่า ข้าวใหม่ ข้าวกล้อง ข้าวขัดสี หุงข้าวด้วยหม้อไฟฟ้า ด้วยเตาไมโครเวป ด้วยเตาแกส ด้วยเตาถ่าน ด้วยหม้อดิน หม้อสเตนเลส จะด้วยวิธีหุง หรือนึ่งทำได้ทั้งนั้น
เรารู้จักหุงข้าวที่เรากินอยู่ทุกวันหรือยังค่ะ ถ้ายังหรือไม่แน่ใจ ขอได้โปรดติดตามตอนต่อไป ขอบอก นอกจากจะหุงข้าวเป็นแล้ว ยังจะรู้จักข้าวอีกหลายชนิดที่มีคุณค่ายังน่าอัศจรรย์
น่ากินมากๆเลยค่ะ
ปกติไม่ค่อยได้หุงเองค่ะ คนที่บ้านหุงให้ทานค่ะ
มาดูข้าวในบันทึกนี้..ก็หิวเลย ยังไม่ได้ทานข้าวเช้า ฮือๆๆ
สวัสดีครับ คุณพี่อาจารย์ เมื่อหุงข้าวเสร็จแล้วก็ต้องทำกับข้าว พอทำกับข้าวเสร็จแล้วก็ต้องกินข้าวกินกับ ฝรั่งเขาก่อนจะกินเขาจะสวดขอบคุณพระเจ้า ของไทยเราก็มีสอนเหมือนกันคือให้พิจารณา อาหาเรปฏิกูลสัญญา ก่อนกิน และระหว่างกิน นะครับ :)
สวัสดีครับคุณพี่อาจารย์หลินฮุ่ย ขอบคุณสำหรับ direct experience นะครับ ฝรั่งเขาอาจจะสวดในใจนะครับ อาจจะเกรงใจแขกที่ร่วมโต๊ะ เพราะคิดว่า แขกร่วมโต๊ะเป็นคนต่างศาสนาอาจจะอึดอัดถ้าชวนให้สวดขอบคุณพระเจ้า
ครับใช่แล้วครับ ถ้าอาจารย์เลี้ยงข้าวกวิน กวินก็ต้องขอบคุณอาจารย์แน่ๆ ยิ่งเป็นข้าวหอมมะลิด้วย หอมอร่อย :) แต่ผมกินเพื่ออยู่ ต่อสู้เพื่อการศึกษา กินไม่มากแค่ 3-4 จานเท่านั้นเอง นะครับ
ว่าด้วยสำนวน ข้าวแดงแกงร้อน ซึ่งสำนวนนี้สะท้อน วิถีชีวิตการกินของคนไทยนะครับว่า ข้าวที่คนไทยสมัยก่อนนั้นเป็นข้าวซ้อมมือ จึงมีสีแดง และมีคุณค่าทางอาหาร ไม่เหมือนข้าวสมัยนี้ ที่ขัดสีจนขาวใสไร้เดียงสา เอ้ย ไร้สารอาหาร
กราบงามๆพี่สาว
ผมไม่ได้ไปไหน แค่เว้นวรรคไปเท่านั้น เดี๋ยวกลับมาครับพี่ครับ
ผมเป็นนักวิชาการ ทำงานให้ กระทรวงสาธารณสุข ครับ ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับ กระทรวงสาธารณทุกข์ ทำให้ผมเดินเข้าผิดกระทรวงอยู่บ่อยๆ คิดว่าคนอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน จึงทำให้ต้องใช้ คาร์โบไฮเดรด มากอยู่สักหน่อย ผมไม่ใช่ มหากระบี่มื้อเดียว อาบน้ำสามขัน นี่ขอรับ ที่สำคัญก็คือ อยู่ในช่วง กำลังกินกำลังนอน นะครับโปรดเห็นใจเด็กน้อยตาดำๆ :) พูดถึงเรื่องเด็กน้อยเมื่อกี้เพิ่งเขียนบันทึก หนูอยากเป็นอะไร พร้อมแทรกเพลงพี่เบิร์ด ไว้ด้วยถ้าอาจารย์ว่าง เรียนเชิญเข้าไปฟังเพลงพี่เบิร์ด ได้นะครับ :)
คนแก่ส่วนใหญ่ ชอบของขม ชมขุนเขาลำเนาไพร เล่าร่ำไห้บรรยายความหลัง (ผมแปลงมาจากสำนวน : ชอบของขม ชมเด็กสาว เล่าความหลัง) อาจารย์ครับการ ตีวัวกระทบคราด วัวไม่เจ็บแม้นแต่น้อย คงเป็นเพราะคนตีไม่ถูกจุด จริงๆ แล้วต้องตีที่ วัวที่ ควาย ให้มันเจ็บมันจะได้เดินไวๆ ไถนาเร็วๆ เมื่อ วัวควาย เดินไวๆ ไถนาเร็วๆ เราก็จะได้ข้าวกินไวๆ งัยครับ พอพูดถึงเรื่องกระทรวงศึกษานายผีเคยแต่งโคลงเอาไว้เสียดายผมจำไม่ได้ซะแล้ว แต่จับใจความได้ว่า ช่วงที่นายผียังมีชีวิต มล.ปิ่น มาลากุล เป็น รมต.ว่าการกระทรวงศึกษาฯ และมีนโยบาย เพิ่มค่าเล่าเรียน โดยให้สัมภาษณ์กับสื่อในสมัยนั้นว่า เพื่อให้ตรงข้ามกับระบอบคอมมิวนิตส์(ของจีน) ที่มีนโยบายให้คนในประเทศเรียนฟรี (รัฐสวัสดิการ) นายผีจึงแต่งโคลง
ประชดว่า
ขอยกย่องอาจารย์ปิ่น (ในโคลงใช้คำว่า ออปิ่น แทน อ.ปิ่น คำว่า ออ นี่เป็นคำโบราณ ใช้เรียกขานผู้ชาย เช่น ออมั่น=ไอ้มั่น ออ กวิน=ไอ้กวิน) ขอยกย่องอาจารย์ปิ่น ว่ามีความคิดสมที่เป็นนักปราชญ์ ว่าด้วยเรื่องการขึ้นค่าเทอมของกระทรงศึกษาฯ เพื่อไม่ให้เหมือนนโยบายกระทรวงึกษาของคอมมิวนิตส์ นั่นคือ คอมมิวนิตส์ทำอะไร อ.ปิ่น/ออปิ่น ก็จะทำสวนกระแส เช่นนั้นแล้ว ควายที่ประเทศคอมมิสต์กินหญ้า เด็กๆ กินข้าว ประเทศไทยก็ต้องทำอะไรสวนกระแส คือ ต้องให้เด็กๆ กินหญ้าแบบควาย (เพราะเอาเงินจ่ายค่าเทอมจนหมดไม่มีซื้อข้าว) อีก อย่างคนที่ประเทศคอมมิวนิตส์ไม่กินขี้ เพื่อเป็นการสวนกระแส คงต้องกินขี้ ด้วยกระมัง (ทำตรงกันข้ามกับผู้คนในระบอบคอมมิวนิตส์) โหย อ่านแล้วทึงว่านายผีนี้ ปากจัดจริงๆ เดี๋ยวไปค้น โคลงบทดังกล่าวมาโพสให้อาจารย์อ่านนะครับ สงสัยคงเขียนบันทึกใหม่ได้อีกบันทึก
สวัสดีค่ะ
แวะตามมากับกลิ่นหอมของข้าวอินทรีย์และข้าวกล้องค่ะ...
เรื่องศิลปะการหุงข้าวให้อร่อยนี่ ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ นะคะ ตอนเด็ก ๆ พี่เลี้ยงจะสอนให้หุงข้าวด้วยเตาถ่าน ต้องดงข้าว โห...เหนื่อยและยุ่งยากมาก (ความรู้สึกในตอนนั้นค่ะ) แต่พี่เขาบอกว่า...ต้องหัดหุงข้าวไว้นะ ต่อไปพี่ไม่อยู่ใครจะหุงให้คุณทานล่ะ...
พี่เขาคงไม่รู้ว่า...เดี๋ยวนี้มีหม้อหุงข้าวไฟฟ้าแล้ว....
อาจารย์สบายดีนะคะ...^_^...
เมื่อวานอ่านแล้วไม่เกิดอารมณ์(หิว)
แต่วันนี้อ่านแล้วหิว ๆ ๆ ๆ
"บ้านหนูขาดคนหุงข้างค่ะ"
อิอิอิ
หาโคลงบทนั้น ของนายผี ไม่เจอซะแหล่วครับ สงสัยต้องเข้าห้องสมุด พูดถึงเรื่อง หุงข้าว แล้วทำให้นึกถึง คาถา พาหุงฯ ศาสตราจารย์พิเศษเสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต อรรถาธิบาย เกี่ยวกับ คาถาพาหุงฯ ไว้ใน "หนังสือคาถาพาหุง" ความว่า ท่านอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ เล่าให้ฟังว่า เมื่อครั้งสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า รัชกาลที่ ๖ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงประกาศสงครามกับประเทศเยอรมนี ออสเตรีย และฮังการี เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๑ โดยเข้าร่วมกับ ฝ่ายสัมพันธมิตร เมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๐ และทรงได้ส่งทหารไปสู่สงครามเมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๑นั้นพระองค์ทรงนำกองทัพสวดคาถาพาหุง พร้อมทั้งคำแปลที่ทรงพระราชนิพนธ์ เป็นวสันตดิลกเพื่อชัยชนะแห่งกองทัพไทย และฝ่ายพันธมิตรท่านอาจารย์กล่าวต่อไปว่า สถานที่ที่ทรงประกอบพระราชพิธีจะเป็นท้องสนามหลวง (ทุ่งพระเมรุ) หรือไม่ ไม่แน่ใจ กำลังหาหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรอยู่ ท่านว่าอย่างนั้น ฉันท์พระราชนิพนธ์บทนี้ ทรงนำเอา “ชยมังคลอัฏฐกคาถา” บทแรก (คือบทพาหุง) มาลงไว้ดัดแปลงตอนท้ายจากเดิม ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ เป็น ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะสิทธิ นิจจัง ข้อความมีดังนี้ครับ
พาหุง สะหัสสะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง
ครีเมขะลัง อุทิตะโฆระสะเสนะมารัง
ทานาทิธัมมะวิธินาชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะสิทธิ นิจจัง
ปางเมื่อพระองค์ปะระมะพุท- ธะวิสุทธะศาสดา
ตรัสรู้อนุตตะระสะมา- ธิ ณ โพธิบัลลังก์
ขุนมารสหัสสะพหุพา- หุวิชาวิชิตขลัง
ขี่คีริเมขละประทัง คชะเหี้ยมกระเหิมหาญ
แสร้งเสกสราวุธะประดิษฐ์ กละคิดจะรอนราน
ขุนมารผจญพยุหะปาน พระสมุททะนองมา
หวังเพื่อผจญวระมุนิน ทะสุชิน(ะ)ราชา
พระปราบพหลพยุหะมา- ระเมลืองมลายสูญ
ด้วยเดชะองค์พระทศพล สุวิมล(ะ)ไพบูลย์
ทานาทิธัมมะวิธิกูล ชนะน้อมมโนตาม
ด้วยเดชะสัจจะวจนา และนะมามิองค์สาม
ขอจงนิกรพละสยาม ชยะสิทธิทุกวาร
ถึงแม้จะมีอริวิเศษ พละเดช(ะ)เทียมมาร
ขอไทยผจญพิชิตผลาญ อริแม้นมุนินทร.ฯ (1)