ขอบพระคุณนะคะที่เข้ามาอ่านบันทึกนี้
ครูอิงบันทึกทิ้งไว้ เพื่อเอาไว้อ่านยามคุณพ่อจากไป
คงไม่มีเวลาตอบข้อคิดเห็นของพี่น้องผองเพื่อน
ตอนนี้ก็ได้เวลาไปเฝ้าคุณพ่อแล้วหล่ะค่ะ
วันที่ ๑๒ ตุลาคม
ฉันและลูก ๆ เดินทางโดยรถไฟ กรุงเทพฯ - หาดใหญ่ โดยสารที่โบกี้ที่ ๓ เตียงนอนชั้นล่าง ๓ เตียง เมื่อขึ้นไปถึงเตียงนอน เห็นที่นอนยับเยิน ผ้าปูที่นอนหลุดลุ่ย และมีรอยเปื้อนน้ำ ฉันกำลังคิดว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกกับเหตุการณ์แบบนี้ เห็นทีจะยอมกันไม่ได้อีกแล้ว จึงเรียกพนักงานทำเตียงนอน ขอให้เปลี่ยนที่นอนให้ "เดี๋ยวนี้" มิฉะนั้นเป็นเรื่อง เพราะฉันคิดว่าตัวเองและลูกจองห้องโดยสารตู้นอน ด้วยราคาที่ค่อนข้างสูง เพื่อจะได้นอนหลับสบาย เนื่องจากเมื่อถึงหาดใหญ่จะต้องไปเฝ้าไข้คุณพ่อที่โรงพยาบาลหาดใหญ่ พนักงานทำเตียงค่อนข้างจะมีอารมณ์ แต่ก็ไม่กล้าที่จะแสดงออกมากนัก คงเห็นว่า "ฉันเอาจริง" เขาอาจจะต้องตกงานได้ง่าย ๆ จึงเป็นอันเรียบร้อย สามคนแม่ลูกนอนหลับสบาย จนกระทั่งรุ่งสางที่ "อำเภอทุ่งสง" รอให้พนักงานทำเตียงนอน มาปรับที่นอนให้เป็นที่นั่ง ก็ประมาณ ๐๘.๐๐ น. โคตร "ห่วยในการบริการจริง ๆ " มิน่าหล่ะผู้คนถึงหลีกเลี่ยง ไม่จำเป็นจริง ๆ ไม่ใช้บริการรถไฟ ถึงหาดใหญ่โดยสวัสดิภาพ เกือบ ๆ ๑๐.๐๐ น.
ถึงบ้านที่ถนนรัถการ หน้าสนามกีฬากลางหาดใหญ่ อาบน้ำอาบท่าให้สบายเนื้อสบายตัว ก็รีบไปเยี่ยมคุณพ่อ ที่โรงพยาบาลหาดใหญ่
ไปถึงโรงพยาบาลต้องตกใจมาก ๆ ผู้คนมาจากไหนมากมาย เหมือนเดินอยู่ในศูนย์การค้า ที่มีโปรโมชั่นกระหน่ำลดราคาอย่างนั้นแหละ เมื่อเดินขึ้นตึก อายุรกรรม ยิ่งตกใจหนัก เมื่อเห็นความแออัด ของคนไข้ ที่แต่ละเตียงห่างกันเพียงประมาณ ๒ ศอก จะทำอะไรก็ลำบากไปหมด เรียกว่าทุกตารางนิ้วของโรงพยาบาล บรรจุไปด้วยเตียงคนไข้ ที่ระเบียง ที่ลานหน้าบันไดขึ้นลง บอกได้คำเดียวว่าไม่เคยเจอประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน ฉันพยายามที่จะติดต่อขอห้องพิเศษให้คุณพ่อ เพื่อจะได้ลดความแออัดของห้องคนไข้รวม หรือเพื่อจะได้มีคนไข้อื่นที่รอคิว เข้ามาแทนคุณพ่อ แต่ไม่เป็นผล ด้วยเหตุผลเดียวคือ คุณพ่ออาการหนัก ต้องอยู่ในความดูแลของหมอและพยาบาลอย่างใกล้ชิด โรงพยาบาลไม่มีบุคลากรเพียงพอในการดูแลผู้ป่วยที่ห้องพิเศษ
คุณพ่อวัย ๙๑ ปี ถูกนำส่งโรงพยาบาล สงขลานครินทร์ ด้วยอาการเป็นลม และได้รับการปฐมพบาลเบื่องต้น จาก หมอจิ (น้องสาว เป็นนักศึกษาแพทย์สองทาง ถนัดการรักษาด้วยสมุนไพร) จนอาการดีขึ้น ไม่มีทีท่าว่าจะเป็นอัมพฤกแต่ประการใด แต่หมอจิ คิดว่า ควรพาพ่อไปโรงพยาบาลประจำอำเภอ (สทิงพระ) เพื่อให้คุณหมอให้น้ำเกลือ เนื่องจากเห็นว่าคุณพ่อแขนขา ไม่ค่อยมีแรง แต่พี่สางคนโต ซึ่งถนัดและเชื่อมั่นกับการรักษาผู้ป่วย ของโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ไม่ยอม จึงพาคุณพ่อไปรักษาตัวที่นั่น ตามบันทึกเมื่อโรงพยาบาล มอ. ไม่มีเตียงไข้ให้คุณพ่อ วัย 91 ปี
วันที่พี่สาวรับตัวคุณพ่อไปหาหมอ คุณพ่อยังพูดได้ ก่อนออกรถ ยังหันไปสั่ง หมอจิว่า เงินของพ่อใน ธนาคาร ธกส. สองหมื่นกว่าบาท ให้ลูกไปเบิกออกมา และเอาไปทำบุญให้พ่อด้วย โดยพ่อได้ระบุว่าให้ทำบุญที่วัดแห่งหนึ่ง ที่เป็นวัดยากจน อยู่ห่างไกลความเจริญ
แต่หลังจากคุณพ่อเข้ารับการรักษาจากโรงพยาบาล อาการของคุณพ่อหนักมาก พวกเราลูก ๆ ไม่มีใครคาดคิดว่าเหตุการณ์จะกลับกลายเป็นเช่นนี้ได้ พ่อพูดไม่ได้ แขนขาข้างขวาไม่มีแรง และตามด้วยปอดติดเชื้อ ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ให้อาหารทางสายยาง อาการของคุณพ่อ ทำให้คนเฝ้าไข้ทุกคนเหนื่อยมาก ต้องเฝ้าไข้ทีละสองคน เพราะคุณพ่อ ไม่ยอมหลับ และมือไขว่คว้าดึงสายน้ำเกลือ ดึงเครื่องช่วยหายใจ ทำให้ต้องจับมือพ่อไว้ตลอดเวลา คนไข้ที่เป็นแบบนี้มีหลายคน ส่วนมากญาติผู้ป่วย จะใช้ผ้าของโรงพยาบาลมัดมือไว้กับขอบเตียง แต่สำหรับฉันและพี่ ๆ น้อง ๆ เราไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ แค่เห็นคุณพ่อเจ็บ เราก็เจ็บเหลือเกิน คิดอยู่เสมอว่า การที่เราเหนื่อยเพราะต้องจับมือพ่อไว้ตลอดเวลานั้น ยังน้อยกว่าที่พ่อต้องเหนื่อย ต้องเจ็บ
พ่อพยายามดิ้นรน พยายามพูด คำเดียวที่ลูก ๆ ฟังเข้าใจในสิ่งที่พ่อสื่อสารออกมาคือ "กลับบ้าน" "บ้าน" หนักเข้าพ่อก็ร้องไห้เสียงดังมากและโวยวาย วันนั้นฉันและหญิงป้อม(พี่สาวคนรอง) ช่วยกันนำทางให้พ่อเข้าใกล้พระรัตนตรัย เราสองคนช่วยกันสวดมนต์ให้พ่อฟัง โดยสวดใกล้ ๆ หูพ่อ คนละข้าง หญิงป้อม สวดบทพาหุงและบทอื่น ๆ อีกหลายบท ส่วนฉันก็สวดบท คาถาป้องกันภัย ๑๐ ทิศ
คุณพ่อหายอาละวาด ลืมตาแป๋ว มองหญิงป้อมและฉัน พอถามว่าพ่ออยากฟังอีกมั้ย พ่อก็พยักหน้า พร้อมกับ "อือ" ในลำคอ ฉันดีใจมาก ที่เราทำให้คุณพ่อใจสงบ
คุณพ่อคงมีจิตกังวลอยู่เยอะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณพ่อรักและเป็นห่วงคุณแม่มาก ซึ่งคุณแม่ก็อยู่ในสภาพผู้ป่วย อยู่ที่บ้านเหมือนกัน แต่หมอจิเขารักษาคุณแม่ด้วยสมุนไพร จากที่เดินไม่ได้ ตอนนี้คุณแม่เดินได้ด้วยไม้เท้า ซึ่งพ่อมักจะแซวแม่ เสมอ ในยามที่คุณแม่ชอบลืมไม้เท้า "พระพุทธเจ้าหน่ะเป็นที่พึ่งทางใจของเรา แต่ไม้เท้าคือที่พึ่งทางกาย" อย่าลืมไม้เท้านะ
เวลาพ่อจะไปโรงพยาบาล พ่อมักพูดกับแม่ว่า "ถ้าพ่อไม่ได้กลับมา พ่อจะไปรอแม่ที่ทางช้างเผือกนะ" ดูสิพ่อของฉันอารมณ์ดีเสมอ ทั้ง ๆ ที่คุณพ่อก็ไม่เคยดูหนังเรื่องคู่กรรม
ขอบพระคุณนะคะที่เข้ามาอ่านบันทึกนี้ ครูอิงบันทึกทิ้งไว้ เพื่อเอาไว้อ่านยามคุณพ่อจากไป คงไม่มีเวลาตอบข้อคิดเห็นของพี่น้องผองเพื่อน ตอนนี้ก็ได้เวลาไปเฝ้าคุณพ่อแล้วหล่ะค่ะ