ประวัติศาสตร์ไทยสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น (รัชกาลที่ 1-3) เศรษฐกิจ สังคมและศาสนา


เศรษฐกิจ สังคมและศาสนา

ประวัติศาสตร์ไทยสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น (รัชกาลที่ 1-3)

สภาพเศรษฐกิจสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น

          สภาพทางเศรษฐกิจสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นยังคงยึดแบบแผนที่ปฏิบัติมาตั้งแต่สมัยอยุธยาและสมัยกรุงธนบุรีเป็นหลัก ซึ่งพอจะประมวลองค์ประกอบทางเศรษฐกิจที่สำคัญได้ 3 ประการคือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการค้า  ที่มาของรายได้แผ่นดินและรายได้ประชาชาติ  ระบบเงินตรา

          1. หน่วยงานที่เกี่ยวกับการค้าและเศรษฐกิจ

          1.1 พระคลังสินค้า เป็นหน่วยงานที่สำคัญที่สุดที่เกี่ยวกับการค้าขาย ทำหน้าที่ควบคุมสินค้าขาเข้าและขาออก ตลอดจนการเลือกซื้อสินค้าที่ทางราชการต้องการ หรือสินค้าผูกขาด (สินค้าที่ทางราชการต้องการและคิดว่ามีอันตรายหากพ่อค้าจะทำการซื้อขายกันโดยตรง) ได้แก่ อาวุธ กระสุนปืน  และควบคุมกำหนดสินค้าต้องห้าม (คือสินค้าที่หายากและมีราคาแพง ราษฎรต้องนำมาขายให้แก่ทางราชการ) ได้แก่ งาช้าง รังนก ฝาง กฤษณา  พระคลังสินค้าเป็นหน่วยงานการค้าแบบผูกขาด จึงได้ผลกำไรมาก แต่เมื่อไทยมีการค้าขายกับต่างชาติ โดยเฉพาะชาวตะวันตก พ่อค้าเหล่านั้นไม่ได้รับความสะดวกภายหลังหน่วยงานนี้ถูกยกเลิกไปภายหลังการทำสนธิสัญญาเบาว์ริง

          1.2 กรมท่า เป็นกรมที่ทำหน้าที่ติดต่อกับพ่อค้าต่างชาติ เพราะกรมนี้มีหน้าที่ปกครองหัวเมืองชายทะเล จึงเป็นกรมที่กว้างขวางและคุ้นเคยกับชาวต่างชาติ ปัจจุบันกรมนี้คือกระทรวงการต่างประเทศ

          1.3 เจ้าภาษีนายอากร ในสมัยรัชกาลที่ 3 ได้เปลี่ยนแปลงวิธีการจัดเก็บภาษีใหม่ คือรัฐบาลจะเรียกเก็บภาษีอากรเฉพาะที่สำคัญๆ เท่านั้น ส่วนที่เหลือก็จะประมูลให้เอกชนรับเหมาผูกขาดในการดำเนินการเรียกเก็บจากราษฎร ผู้ที่ประมูลได้เรียกว่า "เจ้าภาษีหรือนายอากร" ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นชาวจีนเกือบทั้งหมดตามหัวเมือง ราษฎรจะเรียกว่า กรมการจีน

          ระบบเจ้าเจ้าภาษีนายอากรนี้มีทั้งผลดีและผลเสียต่อชาติดังนี้

          ผลดี  ช่วยประหยัดในการลงทุนดำเนินการ ทำให้ท้องพระคลังมีจำนวนภาษีที่แน่นอนไม่ก่อให้เกิดปัญหาในการเรียกเก็บ

          ผลเสีย  เจ้าภาษีนายอากรบางคนคิดหากำไรในทางมิชอบ มีการรั่วไหลมักใช้อำนาจข่มขู่ราษฎรเรียกเก็บเงินตามพิกัด

          2. ที่มาของรายได้แผ่นดินและรายได้ประชาชาติ

          2.1 การเกษตร มีความสำคัญต่อความเป็นอยู่ของชาวไทยตลอดเวลา มีกรมนารับผิดชอบ รายได้ของแผ่นดินส่วนใหญ่รับจากภาษีอากรด้านการเกษตร เช่น อากรค่านา อากรสมพัตสร (เก็บจากไม้ล้มลุกแต่ไม่ใช่ข้าว) และมีการเดินสวน เดินนา

          2.2 การค้าขาย การค้าจะทำโดยพระคลังสินค้าและขุนนางชั้นผู้ใหญ่ สินค้าที่มีการซื้อขายระหว่างพระคลังกับพ่อค้ามี 2 ประเภทคือ สินค้าผูกขาดกับสินค้าต้องห้าม และได้มีการส่งเรือสำเภาไปค้าขายกับต่างประเทศ ส่วนใหญ่เป็นของทางราชการ เช่นค้าขายกับจีน อินเดียและพวกอาหรับ ในสมัยรัชกาลที่ 2 การค้ากับต่างประเทศขยายตัวมากขึ้น เพราะพระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ (รัชกาลที่ 3 ต่อมา) ทรงเป็นหัวแรงสำคัญจนได้รับสมญาว่า "เจ้าสัว" และมีการค้าขายกับทางตะวันตก เช่น โปรตุเกส อังกฤษ อเมริกา ฮอลันดา สมัยรัชกาลที่ 3 การค้าขายสะดวกรวดเร็ว ซึ่งเป็นผลจากการทำสนธิสัญญาเบอร์นีกับอังกฤษ

          2.3 ภาษีอากร ภาษีอากรที่เรียกเก็บ มี 4 ประเภทคือ

          - จังกอบ คือ ค่าผ่านด่านที่เก็บจากเรือ เกวียน หรือเครื่องบรรทุกอื่นที่ผ่านด่าน

          - อากร คือ ภาษีที่เก็บจากราษฎรซึ่งประกอบอาชีพที่มิใช่การค้า ซึ่งปกติจะเรียกอากรตามอาชีพที่ทำ เช่น อากรค่านา อากรสุรา

          - ฤชา คือ ค่าธรรมเนียมที่เก็บจากค่าบริการที่ทางราชการทำให้แก่ราษฎร เช่น ออกโฉนด ค่าธรรมเนียมศาล

          - ส่วย คือ เงินหรือสิ่งของที่ไพร่หลวงผู้ที่ไม่ต้องเข้าเวรส่งมอบแทนการเข้าประจำการ

          3. ระบบเงินตรา

          - เงินพดด้วง (รูปสัณฐานกลมเป็นก้อนแต่ตีปลาย 2 ข้างงอเข้าหากัน)

          - เงินปลีกย่อย ใช้เบี้ยและหอยเหมือนสุโขทัยและอยุธยา

การศึกษา

          ระบบการศึกษาในสมัยนี้ยังคงคล้ายสมัยกรุงศรีอยุธยา คือมีวัดและวังเป็นสถาบันทางการศึกษา  ที่วัดผู้ที่จะเข้าศึกษาจะต้องบวชเป็นพระ ซึ่งเราเรียกว่า บวชเรียน การสอนใช้พระและราชบัณฑิตสอนวิชาสามัญ ส่วนวิชาอื่นๆ เช่นช่างต่างๆ จะมีเรียนกันแต่ในครัวเรือนและวงศ์ตระกูล เช่น ช่างทอง ช่างหล่อ

          สำหรับหญิงมีการศึกษาจากบุคคลในครัวเรือน วิชาที่เรียนจะเป็นพวกเย็บปักถักร้อย การบ้าน การเรือน การเรียนหนังสือจะมีบ้างถ้ารักที่จะเรียนแต่ก็ไม่เป็นที่นิยมมากนัก เด็กหญิงชาวพระนครบิดามารดามักส่งเข้ามาอยู่ในวัง โดยอยู่ในตำหนักเจ้านายหรือญาติ เพื่อเรียนรู้ขนบธรรมเนียมประเพณี มารยาท การครองตน ต่อมาได้เริ่มพัฒนาระบบการศึกษาแบบใหม่มากขึ้น เริ่มตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 เมื่อเจ้าฟ้ามงกุฏ (รัชกาลที่ 4) ผนวชที่วัดบวรนิเวศ โปรดให้คณะสอนศาสนาคริสต์   มิชชันรี มาถวายความรู้  เช่นบาดหลวงปัลเลอร์กัว สอนภาษาละติน แหม่มเฮาส์ หมอบรัดเลย์สอนภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะหมอบรัดเลย์ได้เข้ามาสอนหนังสือให้เด็กไทย จีน  แจกยาและรักษาผู้ป่วยไข้ ได้ยำวิธีการปลูกฝีเพื่อป้องกันไข้ทรพิษมาเมืองไทย และต่อมาได้ทำเครื่องพิมพ์มาพิมพ์หนังสือ ได้จัดพิมพ์หนังสือประถม ก. กา ออกจำหน่าย และในสมัยรัชกาลที่ 3 นี้ได้มีการรวบรวมความรู้ต่างๆ ทั้งวรรณคดี โบราณคดี และตำรายา จารึกไว้ตามผนังวัดพระเชตุพน (วัดโพธิ์) จนมีผู้กล่าวว่าวัดโพธิ์เป็นมหาวิทยาลัยแห่งรัชกาลที่ 3

สภาพสังคม

          มีโครงสร้างคล้ายอยุธยาและธนบุรี แบ่งเป็น

เจ้านายชั้นสูง(กษัตริย์)   ขุนนางและข้าราชการต่างๆ   ไพร่และสามัญชน   ทาส

การศาสนา

          สมัยรัชกาลที่ 1

          - โปรดให้มีการสังคายนาพระไตรปิฎกแล้วจารึกลงเป็นพระไตรปิฎกฉบับหลวง ปิดทองทั้งปกหน้าปกหลังและกรอบ เรียกว่า พระไตรปิฎกฉบับหลวงหรือฉบับทองหรือทองใหญ่

          - สร้างและปฏิสังขรณ์วัด เช่น วัดพระแก้ว ปฏิสังขรวัดโพธาราม และพระราชทานนามใหม่ว่า "วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาวาส"

          - อัญเชิญพระศรีศากยมุนีจากวัดมหาธาตุสุโขทัยมาประดิษฐานที่วัดสุทัศน์วราราม และอัญเชิญพระพุทธสิหิงห์จากเชียงใหม่มาประดิษฐานที่พระที่นั่งพุทธไธสวรรค์

          สมัยรัชกาลที่ 2

          - ปฏิสังขรณ์วัดแจ้งแล้วพระราชทานนามใหม่ว่า วัดอรุณราชวราราม

          - แต่งตั้งสมณทูตไปสืบศาสนาที่ลังกา 8 รูป เมื่อคณะพระสมณทูตกลับมา ได้นำต้นโพธิ์มา 6 ต้น

          - แก้ไขปรับปรุงบทสวดมนต์

          เนื่องจากมีอหิวาตกโรคระบาดในสมัยนี้ผู้คนล้มตายมาก จึงโปรดให้ตั้งพระราชพิธีอาพาธพินาศ มีการยิงปืนใหญ่ขับไล่ความอัปมงคล อัญเชิญพระแก้วมรกตและพระบรมสาริกธาตุออกแห่ นิมนต์พระภิกษุประพรมน้ำพระพุทธมนต์ไปตามทาง ชักชวนให้ประชาชนสวดมนต์ภาวนาอยู่ในบ้าน ศพผู้ตายให้จัดการเผา

          สมัยรัชกาลที่ 3

          - ให้ตรวจสอบพระไตรปิฎกทั้งจากลังกาและมอญ แล้วให้จารึกอย่างสวยงามได้รับยกย่องว่าเป็นพระไตรปิฎกที่สวยงามและถูกต้องมากที่สุด

          - ให้สำรวจความประพฤติของสงฆ์ให้อยู่ในพระวินัย

          - ตั้งธรรมยุตินิกาย โดยพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ามงกุฏ ซึ่งผนวชอยู่ที่วัดมหาธาตุ ทรงสนใจศึกษาพระไตรปิฎก ทรงเห็นว่าพระสงฆ์สมัยนั้นไม่เคร่งครัดพระธรรมวินัย จึงต้องทำการสังคายนาใหม่ พระองค์ได้ทรงพบพระภิกษุรามัญรูปหนึ่งชื่อ ซาย เคร่งครัดในพระธรรมวินัยมากจึงทรงยึดถือเป็นแบบอย่างและปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ข้อปฏิบัติของพระองค์จึงผิดไปจากพระสงฆ์รูปอื่นๆ การห่มผ้าก็เป็นแบบรามัญ พระองค์ได้ย้ายที่ประทับมาอยู่วัดสมอราย (ราชาธิวาส) ทรงให้นามคณะสงฆ์ของพระองค์ว่า คณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย ส่วนคณะสงฆ์เดิมเรียกว่า คณะสงฆ์มหานิกา 

จงตอบคำถามต่อไปนี้

  1. นักเรียนคิดว่าพระคลังสินค้ามีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของชาติหรือไม่อย่างไร
  2. เพราะเหตุใดรัชกาลที่ 3  จึงทรงได้รับสมญาว่า เจ้าสัว
  3. เพราะเหตุใดหญิงไทยจึงไม่นิยมเรียนวิชาสามัญ
  4.  อาพาธพินาศหมายถึงอะไร
หมายเลขบันทึก: 305251เขียนเมื่อ 12 ตุลาคม 2009 14:44 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 มิถุนายน 2012 22:42 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

ขอบคุณสำหรับความรู้

เป็นความรู้ที่ดีคะ

ขอบ คุน มากมาก คร๊าบ

ก็ดีอ่ะนะ แต่ว่าเนื้อหาไม่ตรงกับที่ต้องการเลย ทำไงดีล่ะเนี่ย

ดีๆ ก็ดีอ่ะนะ แต่ว่าเนื้อหาไม่ตรงกับที่ต้องการเลย ทำไงดีล่ะเนี่ย.....

ขอบ คุน มากมาก คร๊าบ

เป็นความรู้ที่ดีคะ

ขอบคุณสำหรับความรู้

ละเอียดดีแต่ม่เข้าใจ

ดีมากเลยค่ะเนี้ยหามีความละเอียดมากมีประโยชน์

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท