ช่วง ๒-๓ เดือนที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสทำงานใกล้ชิดกับชาวบ้านมาก และพบว่าชาวบ้านส่วนใหญ่มีหนี้สินเกินกว่าระบบรายได้ของตนจะแก้ไขได้ ทำให้มีภาระหนี้สินพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ จนแทบไม่เหลือทางเลือกให้ตัวเองอีกต่อไป เท่าที่รวบรวมข้อมูลพบว่า ทางเลือกที่เหลือ และปฏิบัติกันทั่วไปก็คือ
1. ขยายการผลิตพืชสัตว์เป็นการค้าที่คาดว่าจะได้กำไรมากๆ เร็วๆ
2. หางานรับจ้างเป็นฤดูกาลหรือระยะยาวทำ ทั้งในชุมชน ในเมือง ในกรุงเทพ หรือ ต่างประเทศ
3. หาทางให้ลูกสาวแต่งงานกับคนมีเงิน และที่นิยมมากก็คือการแต่งกับต่างชาติ
4. การเสี่ยงทุ่มเทเล่นการพนันที่เห็นตัวอย่างจากบางคน
5. การหากินด้วยวิธีการไม่สุจริตและอาชีพแอบแฝงที่ได้เงินมากๆ ง่ายๆ เร็วๆ ตามขีดความสามารถของแต่ละคน
6. การแบ่งที่ดินขาย หรือขายยกแปลงล้างหนี้
7. ฯลฯ
เส้นทางที่กล่าวมานั้นเป็นวิธีที่เคยเห็นมา และเป็นเส้นทางที่ขายตัวเอง ขายศักดิ์ศรี ขายทรัพย์สิน ให้กับคนมีกำลังซื้อ และคนที่มีกำลังซี้อก็มักเป็นต่างชาติที่ร่ำรวยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
โดยเฉพาะเรื่องการขายที่ดินให้กับต่างชาติ แต่แฝงมาในนามของภรรยาของคนต่างชาตินั้นน่ากลัวมาก เพราะที่ดินมีโอกาสเปลี่ยนเป็นของต่างชาติ(โดยพฤตินัย และอำนาจการควบคุม)ได้ง่ายมาก และเขาก็มีกำลังซื้อมากกว่าคนไทยทั่วไปเสียด้วย
แล้วชาวบ้านทั่วไปที่หนี้สินท่วมหัวอยู่ จะเอาแรงที่ไหนไปต้านทาน
หรือเราจะปล่อยให้ประตูบานนี้เปิดไปสู่เส้นทางแห่งการสิ้นชาติจริงๆ
หรือเรามีมาตรการป้องกันไว้แล้ว
ใครทราบช่วยบอกหน่อย
หรือถ้าลดปัญหาหรือปิดประตูนี้ได้ ก็ช่วยกันหน่อยนะครับ
สวัสดีครับท่านดร. แสวง รวยสูงเนิน
ขออนุญาตินำบทความไปรวมใน http://gotoknow.org/blog/mrschuai/102160
ขอคุณมากครับ
สวัสดีครับ ดร.แสวง
การแก้ปัญหานี้ไม่ยากหรอกครับ ในความคิดผม แต่ต้องยอมเสียสละบ้าง หลับตาเสียข้างหนึ่ง ยอมให้เสียที่ดินไปบ้าง ในระหว่างนี้ สอนเยาวชนไทย ด้วยหลักสูตรแนวใหม่ ที่เน้นปลุกจิต ปลุกสำนึกในใจเหมือน คุณขจิตว่า แล้วหนุนให้คนดีมีอำนาจ
เดี๋ยวปัญหาก็ลดลง...
แต่วิธีของผลเป็นไปได้ยากอยู่มาก เพราะกิเลสที่ขวางทางเป็นอุปสรรคคนดีนั้น ก็มีทั้งอ่อนแข็ง หยาบละเอียด ข้ามพ้นได้ยากเหลือเกิน จิตใจคนเราเปลี่ยนแปลงกันได้เร็วชั่วพริบตา
สวัสดีค่ะอาจารย์แสวง
สวัสดีครับ
ดีใจที่อาจารย์กลับมาแบบ หนักๆ คันๆ อีกครั้งหนึ่ง
สวัสดีครับท่าน อ.แสวง
สบายดีนะครับ แต่ละข้อที่ยกตัวอย่างมาโดนทั้งนั้นครับ ผมจะบอกว่าแผนข้อที่สามนี้ น่าสนใจมากครับ เพราะเมื่อแต่งงานแล้วช่วงแรกจะไปอยู่ต่างประเทศ จากนั้นเมื่ออายุมากขึ้นจะกลับไปใช้ชีวิตที่เมืองไทยครับเป็นการพักผ่อนในบั้นปลายของชีวิตครับ
สิ่งหนึ่งน่าคิดมากครับ การนิยมแต่งงานกับต่างประเทศจริงๆ ก็สิทธิส่วนตัวนะครับ แต่หากทำกันทั้งระบบใหญ่จนกลายเป็นธรรมเนียมของชุมชนแล้ว แค่รู้สึกหวาดเสียวให้คิดต่อเพิ่มครับ แต่งแล้วมาทำงานต่างประเทศ ส่วนทำงานอะไรก็แล้วแต่ละคนแต่ละปัญหา ไม่ว่าจะมาทำงานหรืออย่างไรก็ตาม พอกลับไปด้วยนิสัยบางอย่าง ต้องแต่งตัวให้โก้หรูไว้ก่อนเพื่อนทำให้ชาวบ้านที่ไม่ได้มา หรือชาวบ้านแถวในชุมชนรับรู้ว่า ไม่ธรรมดา และอาจจะส่งผลเข้าสู่การคิดเองเออเอง แบบว่า โน่นดูซิบ้านโน้นเค้าไปทำงานในเมืองหลวง ในต่างประเทศกลับมาแต่ละครั้งดูซิ แต่งตัวอย่างไร ดูซิแขวนห้อยสร้อยคอทองคำ อะไรก็ว่าไป เกิดการฝันกลางอากาศกระทันหัน ส่วนกลับมาทำงานถัดจากนั้นจะทำอาชีพอะไรก็ใครไม่ได้เห็นใช่ไหมครับ
ท่านอาจารย์แสวงคิดอย่างไร หากไปเจอพื้นที่หนึ่ง สร้างเป็นกำแพงล้อมบริเวณบ้าน แล้วเขียนป้ายไว้ว่า ห้ามหมาและคนไทยเข้ามาในบริเวณนี้ หากเป็นแล้วอ่านจะรู้สึกอย่างไรบ้างครับ หากที่ตรงนั้นคือที่หนึ่งในเมืองไทย
หากคนหนึ่งชาวต่างเทศบินมาเมืองไทย แล้วตามหลักต้องกรอกรายละเอียดขาเข้าเพื่อบอกว่าเข้ามาทำอะไร...แล้วต่างเทศคนนั้นบอกกับพนักงานว่า ไอจะต้องทำทำไม ทำไมไอต้องเขียนด้วย ก็ไอเข้ามาที่บ้านของไอ... ก็บ้านเค้าจริงๆ นี่ครับ... เค้าซื้อไปแล้วในพื้นที่ เค้าก็มีบ้านเป็นของเค้าในเมืองไทย....
เอาเรื่องมาให้ปวดหัวเล่นกันต่อไปครับ..... วันก่อนดูในทีวี คนไทยมาทำงานที่ฝรั่งเศส มาแล้วกลับไม่ได้เพราะเป็นหนี้ มาแล้วเจอปัญหา... ยังไม่ใครอยากจะมาอีกไหมครับ... มาแล้วไปทำงานกันชั้นใต้ถุนของอาคาร ต้องหนีตำรวจ เจอปัญหา สถานทูตก็แก้ไขกันต่อไป..... จะกลับบ้านก็กลับไม่ได้ ก็มาบ้านเมืองเค้าก็กฏหมายคนละเล่มกัน อยู่เมืองไทยอย่างน้อยก็ไม่อดตายครับ ไปซื้อเมล็ดผักบุ้งมาหวานทิ้งไว้ก็งอก ไม่นานก็ได้กิน..เพราะผักบุ้งมันเหมาะกับเมืองไทย...
ขอบคุณมากครับ
ขอบคุณสำหรับตัวเลขครับ
น่าสนใจมากครับ ตัวเลขน้อยแต่ครอบครองพิ้นที่มาก เช้าหลัก Pareto เลยครับ
ผมก็อยากให้ที่ผมรู้มาทั้งหมดนั้น
ผิด
และ
ผิด
ครับ
ขอบพระคุณจริงๆครับ
แต่ผมยังหาคนอีก ๑ ใน สาม ไม่เจอเลยครับ
เขาไปว่อนอยู่ที่ไหนครับ
เฉพาะที่ผมเจอ ไม่เกิน ๕% ครับ ที่ไม่เป็นหนี้ครับ
ในระบบธุรกิจ
ผมดูแล้วไม่น่าจะรอด ได้จริงๆ นอกจากจะรอดเหมือนไก่ในฟาร์ม
ผมจึงมองเห็นทางรอด เฉพาะตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
จะหาเงินก็หาไป แต่อย่าลืมว่าฐานชีวิตของท่านคืออะไร
อะไรที่ทำให้รอดได้จริง
อยู่แบบพึ่งพาอาศัยกัน แบ่งปันแบบกัลยาณมิตร ไม่ใช่แบบเป็นเหยื่อให้กับใคร
ขอบคุณครับ