จากประสบการณ์การทำงานในชนบทและการทดลองทำการเกษตรด้วยตนเองมาตั้งแต่สมัยเริ่มต้นใหม่ๆ ประมาณ ๑๐ กว่าปีมาแล้ว จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ผมได้พบสัจธรรมข้อหนึ่ง ว่า
“ไม่มีที่ว่างในโลกนี้” ทุกตารางนิ้วบนพื้นผิวโลกมีเจ้าของอยู่แล้ว และส่วนใหญ่จะมีมากกว่า ๑ เจ้าด้วยซ้ำ
ดังนั้น เมื่อเราเข้าไปจับจองหรือไปใช้ประโยชน์ ย่อมมีการทับซ้อนในสิทธิของการเป็นเจ้าของ โดยเฉพาะในทางสังคม ทางประเพณี และวัฒนธรรมที่มักจะทับซ้อนกับสิทธิทางกฎหมาย ฉะนั้น เมื่อมีบุคคลใดอ้างสิทธิทางกฎหมายจึงมักมีความขัดแย้งกับสิทธิด้านอื่น ๆ อยู่เสมอ
กรณีที่ชัดเจนมากก็คือ
ผมเคยไปซื้อที่ดินติดกับชุมชน ที่มีชาวบ้านใช้ประโยชน์เป็นพื้นที่ทำมาหากิน เช่น การเก็บผัก เลี้ยงสัตว์ จับปลา ตัดฟืน และกิจกรรมทางสังคมอื่นๆ ทำให้การอ้างสิทธิ์ของผมตามกฎหมายแทบจะเป็นไปไม่ได้ เพราะชุมชนยังรู้สึกว่า ที่ดินดังกล่าวยังเป็นของชุมชนอยู่ แม้โดยกฎหมายผมจะมีสิทธิ์ก็ตาม การอ้างสิทธิ์เช่นนี้จึงมีปัญหาค่อนข้างมาก ทำให้ผมต้องมีความขัดแย้งกับชุมชนที่ผมจะต้องไปอยู่ด้วย ซึ่งเป็นบทเรียนที่สำคัญมาก
ที่ทำให้ผมพบว่า การซื้อที่ดินใกล้ชุมชนเป็นเรื่องที่จัดการได้ยากมาก
ในทางตรงกันข้าม การใช้ที่ดินที่ไกลจากชุมชน การควบคุมดูแลในการใช้สิทธิ์ของตนเองก็ยากพอๆ กัน เพราะพื้นที่ดังกล่าวมักถือว่าเป็นพื้นที่สาธารณะที่ใครจะเข้าไปใช้ก็ได้ จึงมีคนจากชุมชนต่างๆ เข้าไปใช้สิทธิ์เสมือนหนึ่งเป็นที่สาธารณะ ที่ชุมชนต่างๆ สามารถเข้าไปใช้ได้ ทำให้การควบคุมดูแลเป็นไปได้ยากเช่นกัน
จากบทเรียนดังกล่าวข้างต้น ผมจึงใช้เป็นเกณฑ์ในการตัดสินว่า ที่ดินที่เหมาะสมในการจัดการสำหรับคนที่มีเวลาน้อยอย่างผม ก็คือ
พื้นที่ที่อยู่ห่างจากชุมชนพอสมควร เพื่อลดพลังแห่งอำนาจในชุมชนที่มีอยู่เดิม ทำให้ผมสร้างสมดุลใหม่แห่งอำนาจในการถือครองและสิทธิ์การใช้ที่ดินได้ง่ายขึ้น และในขณะเดียวกัน พื้นที่ดังกล่าวก็ไม่ควรอยู่ไกลจากชุมชนมากจนเกินไป ที่จะทำให้ขาด “หูตา” ดูแลแทนเรา เมื่อเราไม่อยู่
บทเรียนดังกล่าวนี้ ผมถือว่า เป็นบทเรียนเกี่ยวกับการสร้างสมดุลแห่งอำนาจ เสมือนหนึ่งการนำลูกโป่งไปใส่ในถังที่มีลูกโป่งอื่นๆ อยู่แล้ว ซึ่งจะต้องใช้พื้นที่ของถัง เพื่ออัดลูกโป่งใหม่ลงไป ขนาดของลูกโป่งจึงต้องเล็กลง ทั้งลูกใหม่และลูกเก่า อัตราการเล็กลงนั้น ขึ้นอยู่กับพลังแห่งอำนาจ ที่จะทำให้เกิดสมดุลแห่งอำนาจใหม่ เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขต่อไป
จากเหตุการณ์เช่นนี้ ในทางปฏิบัติ ผมได้พึ่งพาพลังแห่งอำนาจจากหลายแหล่งด้วยกัน คือ
· พลังตั้งต้น จากสิทธิทางกฎหมาย
· พลังหนุน จากการสร้างมิตรกับเจ้าของที่ดินที่อยู่ใกล้เคียง เพื่อให้เป็นหูเป็นตาแทนเราในช่วงที่เราไม่อยู่
· พลังแห่งจิตวิญญาณ ซึ่งเกิดโดยบังเอิญเมื่อมีผู้มาแจ้งว่า ที่นาของผมมีเจ้าแม่ตะเคียนทองสิงสถิตอยู่ที่ใต้ต้นมะขาม ด้านหน้าของแปลงนา ซึ่งมีคนนำธูปเทียนไปกราบไหว้อยู่เป็นประจำ
· พลังแห่งบรรพบุรุษ โดยการนำอัฐิ ของพ่อและแม่ของผม ไปบรรจุไว้ที่ธาตุท้ายแปลงนา และประกาศให้ทุกคนทราบในที่ประชุมของหมู่บ้าน ก็ทำให้คนทั่วไปรับทราบและไม่ค่อยกล้าเดินผ่านบริเวณที่เก็บอัฐิของพ่อแม่ของผม
· พลังส่วนตัว โดยการไปนาบ่อยๆ แบบไม่กำหนดเวลา ทำให้บุคคลทั่วไปไม่สามารถคาดเดาได้ว่า ผมจะไปนาเวลาใด และในขณะเดียวกันผมก็จะทำกิจกรรมทุกวันแบบกระจายไปทั่วทั้งแปลง เพื่อกระจายพลังส่วนตัวให้ครอบคลุมพื้นที่ ซึ่งทำให้เกิดความเกรงใจและไม่กล้าเข้ามาใช้สิทธิตามความรู้สึกของตนเองได้อย่างง่ายดาย
พลังทั้งหมดดังกล่าว ที่ผมใช้ในการทำนานี้ ถือว่าเป็นการสร้างสมดุลแห่งอำนาจในการใช้ทรัพยากรที่ดินที่ผมได้รับบทเรียนมาหลายครั้งหลายครา จากปัญหาการอยู่ร่วมกับชุมชน ที่ผมไม่รู้จักมาแต่เดิม และจำเป็นต้องสร้างการยอมรับให้กับชุมชน จึงจะสามารถอยู่กับชุมชนในลักษณะของการสร้างสมดุลแห่งอำนาจได้
เรื่องนี้เสมือนหนึ่งเป็นเรื่องง่ายๆ
สำหรับคนบางคน เช่น เมื่อซื้อที่แล้วก็เข้าไปอ้างสิทธิ์อย่างเต็มที่ แบบไม่สนใจว่า คนในชุมชนหรือพื้นที่ใกล้เคียงจะรู้สึกอย่างไร การดำเนินการเช่นนี้ มีแนวโน้มที่จะเกิดความล้มเหลว
ถ้าชุมชนไม่ยอมรับ เขาก็จะกลั่นแกล้งทุกวิถีทาง ที่ทำให้เรารู้สึกลำบากหรือเสียหายได้อย่างง่ายดาย
นี่คือ บทเรียนจากชีวิตตรงของผม ฉะนั้น ใครก็ตามที่คิดจะทำงานส่วนตัวในพื้นที่ต่างๆ ของโลก ผมคิดว่า ต้องเคารพสิทธิดั้งเดิมของคนในชุมชน ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติหรือเกิดจากการอนุญาตของเจ้าของเดิม ที่เป็นสิทธิสืบเนื่องกันต่อมา และมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าใจและสร้างสมดุลแห่งอำนาจอย่างค่อยเป็นค่อยไป จึงจะทำให้การใช้ทรัพยากรที่ดินเป็นไปอย่างมีความสุข ตามเจตนารมณ์ที่ตั้งไว้
สบายดีครับ ขอบคุณครับ
กำลังเรียนด้วยชีวิตอยู่ครับ