ในโอกาสวันแห่งความรัก ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ผมได้มีโอกาสทบทวนและวิเคราะห์ประเภทของ “ความรัก” และ “ความผูกพัน” ที่ผมมีประสบการณ์ทั้งโดยตรง โดยอ้อม ทั้งที่ฟังเขามา ทั้งอ่าน และผลสรุปการวิเคราะห์ระบบชีวิตและความสัมพันธ์แบบต่างๆที่พบบ่อยในสังคมปัจจุบัน
ที่เป็นความผูกพันอย่างลึกซึ้งที่แยกกันไม่ได้ ที่พบมายาวนานมากในมนุษย์ แต่ดูเหมือนเป็นแบบชั่วคราวในสัตว์เดียรัจฉาน เป็นความรักที่แทบไม่มีเงื่อนไข และบริสุทธิ์มากที่สุด ที่อาจถือเป็นต้นแบบความรักที่แท้จริงได้ โดยเฉพาะจากพ่อแม่ที่มีต่อลูก และไม่แน่นักสำหรับลูกที่มีต่อพ่อแม่ หรือระหว่างญาติพี่น้องก็ตาม ที่พอมีผลประโยชน์ขัดกันก็ยังทำลายกันได้
ที่เป็นความรักแบบค่อนข้างจะเป็นแบบธรรมชาติมากกว่าแบบอื่น ไม่จำเป็นต้องมีอารมณ์และอคติมาเกี่ยวข้อง ตราบใดที่พึ่งพาอาศัยกันได้ก็อยู่ด้วยกัน เมื่อพึ่งกันไม่ได้ก็แยกจากกันไปแบบปกติธรรมดา โดยไม่มีความโกรธ ดีใจ เสียใจ หรืออาฆาตมาดร้ายต่อกัน
ที่เป็นความรัก แบบไม่มีเหตุผล ไม่มีเงื่อนไข รักเพราะว่ารัก ที่เป็นประเด็นที่มักพูดถึงบ่อยๆ ทั้งแบบบทกวี บทเพลง หรือการแสดงต่างๆ ที่อาจจะมีอยู่จริง แต่ในสังคมจริงพบน้อยมาก เท่าที่ได้ยินมา ส่วนใหญ่เป็นเพียงการกลบเกลื่อนความคิดของตนมากกว่า แบบไม่อยากพูดความในใจให้อีกคนรู้ แต่เมื่อมีปัญหาเล็กน้อย คนที่บอกรักกับแบบนี้ก็มักเลิกรากันไปแบบไม่มีเหตุผลเช่นกัน ผมจึงคิดว่าเป็นการประเมินที่ค่อนข้างยาก ต้องอาศัยเวลา ภาวะวิกฤติ และทางเลือกที่มีของทั้งสองฝ่าย เป็นตัวตัดสิน แต่ ในสถานการณ์ปกตินั้นไม่สามารถประเมินได้ว่า ความรักแบบอุดมคตินั้น เป็นจริงหรือไม่ และมีมากน้อยเพียงใด
เป็นความรักที่เกิดขึ้นด้วยเหตุด้วยผล มีความชัดเจนและอธิบายได้ ทั้งแรกรัก รักมาก หรือแม้แต่จะเลิกรัก ที่ถือว่าเป็นการผ่านการพิจารณาไต่ตรองทุกขั้นตอน เข้าใจกันทั้งสองฝ่าย ไม่มีอคติ หรือ ความหลงผิดใดๆมาครอบงำ
เป็นความรักที่มากับความอยากได้ และการหลอกลวง หลอกทั้งตัวเอง และคนที่เขารัก เมื่อได้สมใจก็จะบอกว่ารัก เมื่อไม่ได้ก็เลิกรัก จึงมีความยั่งยืนเพียงระยะที่ได้ผลประโยชน์เท่านั้น ไม่มีแก่นสารสำคัญอื่นใด
เป็นความรักคล้ายๆกับการปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ ที่เมื่อลงทุนไปแล้วก็หวังจะได้ผลประโยชน์ เมื่อได้ผลดังคาด ก็ถือว่าสมหวัง เมื่อไม่ได้ก็ถือว่าผิดหวังในความรัก
เป็นการรักแบบใช้การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์เป็นแกนนำ เมื่อมีการแลกเปลี่ยนที่เหมาะสมก็จะยังรักกันได้ แต่พอมีการได้เปรียบเสียเปรียบก็จะเริ่มหมางเมินกันไป หรือไม่ได้อะไร ก็เลิกรักกัน
เป็นความรักที่ไม่มีการใช้ความคิด พินิจพิเคราะห์ใดๆ รักแบบไม่เข้าใจความต้องการของตนเอง และความจำเป็นของทั้งสองฝ่าย แบบที่เรียกว่าใช้อารมณ์ “ชั่ววูบ” ล้วนๆ ที่มีปัญหาทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ที่พบว่าเป็นกับ “วัยรุ่น” และรักแบบ “รักแรกพบ” ที่ขาดการพิจารณาไต่ตรอง
ในความเป็นจริงของชีวิตนั้น
เรามักจะมีความรักหลายแบบต่อคนคนหนึ่ง หรือช่วงหนึ่งๆของชีวิต
และจะมีการพัฒนาการไปเรื่อยๆตามเหตุการณ์ การมีข้อมูลใหม่
และตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป
ดังนั้น ความรักทั้งหลายก็จะพัฒนาเป็นความผูกพันในระดับต่างๆ
ตั้งแต่
ที่เป็นที่มาของความรักแบบต่างๆ
ที่ทุกคนก็ดูเหมือนจะบอกว่า "ต้องการแบบที่ยั่งยืน"
แต่ในชีวิตจริง
กลับไม่ให้ความสำคัญในการเลือกใช้และพัฒนาประเภทของความรักที่จะทำให้เกิดความยั่งยืน
โดยเฉพาะ
ประเภทที่พัฒนามาจากการใช้เหตุใช้ผล ใช้ความจริง ใช้ธรรมชาติ และความจริงใจต่อกัน แบบไม่มีอคติ ไม่ใช้อารมณ์ชั่ววูบนำทาง
ทั้งนี้แล้วแต่ว่า แต่ละคู่จะเลือกกันเอง
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมครับ
เจริญธรรม สำนึกดี ครับ
มา Login ย้อนหลังครับ เพื่อบอกว่าความเห็นข้างบนเป็นของผู้ได๋ .. อิ อิ อิ