วันนี้เป็นวันเสาร์ (1 มีนาคม 2551) .. ชีวิตของผมช่วงนี้คือการตรวจรายงาน รวมคะแนน และตีคุณค่าของเกรดให้กับนักศึกษาว่า คะแนนของพวกเขาควรได้เท่าไหร่กันแน่ หรือ จะต้องติดภาระผูกพันกับผมในภาคเรียนฤดูร้อนนี้
หลังเที่ยง ผมหาเวลาไปเดินดูหนังสือที่ร้านหนังสือประจำตัว คือ สุริวงศ์บุ๊คเซ็นเตอร์ ที่ช่วงนี้ลดราคาหนังสือให้กับสมาชิก 20 %
ผมเดินหาหนังสือของท่านชุติปัญโญ ผมพยายามเปิดและเลือกดูว่า มีข้อเขียนใดที่สามารถช่วยบรรเทาความรู้สึก และอาจจะเป็นคำตอบให้เพื่อนผมคนหนึ่งได้บ้าง เพื่อนคนนั้นก็คือ คนที่เขียนบันทึกนี้ ... วันนี้ผมได้"เลือก" อีกแล้ว : บนเส้นทางฝันที่ผมก้าวเดิน
ตั้งแต่เมื่อวานนี้ ... ผมยังไม่มีข้อเขียน หรือ ความคิดที่จะบรรเทาความรู้สึกในบันทึกนี้ได้ ผมจึงเลือกที่จะไม่เขียนอะไรลงไปในกรอบความคิดเห็นนั้น แน่นอน ผมไม่ทราบหรอกว่า ความทุกข์ หรือ ความสุข ที่ต้องเลือกนั้น คืออะไร ...
(มีคำว่า "ต้อง" อีกแล้ว .. กลัวท่าน Conductor จะเข้ามาเตือน อิ อิ :)
ผมไม่ทราบ ...
แล้วผมก็พบข้อเขียน เรื่อง "เราไม่อาจเดินบนเส้นทางสองสายในเวลาเดียวกัน" ชื่อกินใจดีครับ ของท่าน "ชุติปัญโญ" ในหนังสือ ชื่อ "จะยากอะไร ถ้าอยากให้ใจมีสุข"
" ...
ไม่มีการเดินทางใดที่จะยาวนานเท่ากับการเดินทางของชีวิต เพราะการเดินทางที่มีเส้นชัยเป็นเครื่องวัดการไปถึง ผู้เดินตามยังรู้ได้ว่า จะต้องก้าวไปให้ถึงตรงไหน จึงชื่อว่า ถึงจุดนัดพบที่รับรู้กัน
แต่การเดินทางของชีวิตหาเป็นเช่นนั้นไม่ ทุกก้าวย่างล้วนมีคำถามคอยให้ตอบอยู่ทุกขณะ แม้จะรู้ว่าเส้นชัยของการไปถึงในแง่ของสังขารร่างกายคือ ความตาย แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่า ชีวิตที่มีอยู่จึงจะรู้สึกเชื่อมั่น
เพราะเมื่อมองวิถีชีวิตของผู้คนที่ดำเนินไปแต่ละขณะ สิ่งที่เห็นและเป็นอยู่ล้วนแฝงไว้ด้วยความสงสัยตลอดเวลา ตั้งแต่อดีตก่อนมาเกิด ขณะที่เกิดมาแล้ว กระทั่งอนาคตที่จะก้าวไปข้างหน้า ทุกความรู้สึกช่างมืดมนเกินกว่าที่จะทำให้สว่างไสวได้ในเวลาอันสั้น
เมื่อชีวิตตกอยู่ท่ามกลางความสับสน สิ่งที่เราต้องแสวงหาให้ตัวเองก็คือ การทำความเข้าใจในชีวิตที่ได้มา และการรู้จักเลือกสิ่งที่สำคัญให้กับตัวเอง เพื่อให้ชีวิตที่น้อยนิดนี้มีความหมายก่อนจะตายไป
เราไม่อาจเดินบนเส้นทางสองสายในเวลาเดียวกันได้ เราไม่สามารถที่จะให้ชีวิตมีสิทธิ์เลือกหลาย ๆ อย่างในเวลาเดียวกัน ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องเลือกสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับตัวของเราเอง
ยิ่งเวลาที่ใช้เดินทางไปพร้อมกับชีวิตนั้นมีจำกัด เรายิ่งต้องเลือกว่าจะมอบสิ่งใดเป็นกำไรให้กับตัวเราดี ชีวิตที่ได้มาจึงจะมีคุณค่าที่น่าจดจำ เพราะบ่อยครั้งเรามักจะมองออกไปนอกตัว ไกลเสียจนน่าตกใจว่า กำลังตามหาอะไรกันอยู่
ยิ่งการเรียนรู้นั้นอยู่นอกกายและใจมากเกินไป ยิ่งถือว่า เป็นชีวิตที่ไร้อุดมคติในการเป็นอยู่ ประหนึ่งว่า ได้ชีวิตมาแต่กลับปล่อยให้ผ่านไปวัน ๆ อย่างไร้จุดหมายปลายทาง เป็นความไร้ค่าสำหรับการเกิดของเรา
สมเด็จเท็นซิน กยัตโส องค์ทะไลลามะที่ ๑๔ แห่งประเทศทิเบต ตรัสไว้ว่า
"อุดมคติเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในชีวิตของบุคคล หากปราศจากอุดมคติแล้ว ท่านไม่อาจเคลื่อนไหวสิ่งใดได้ แต่ไม่ว่าท่านจะบรรลุในอุดมคติหรือไม่ หาใช่สิ่งสำคัญ แต่บุคคลต้องทดลอง และทำให้ใกล้เคียงอุดมคติมากที่สุด"
ถ้าเรารู้จักตีกรอบชีวิตอย่างสั้น ๆ แต่ได้สาระ เป็นชีวิตที่เปี่ยมด้วยอุดมคติที่ดีงาม และดำรงอยู่ท่ามกลางความจริงที่ควรใฝ่หา ย่อมทำให้เรารู้ว่า ความจริงของชีวิตนั้น ไม่ได้ต้องการวิธีเรียนรู้ที่มากจนเกินไป แต่อยู่ที่กายกับใจที่คอยประคองร่วมกัน เพื่อค้นหาคุณค่าที่ซ่อนอยู่ในชีวิตให้เจอต่างหาก
ทว่าคนเราเมื่อเห็นว่า สิ่งที่มีอยู่น้อยนิด ก็มักคิดว่า สิ่งที่น้อยจนเกินไป ไม่สามารถทำให้ชีวิตมีความสุขได้ เพราะเรามักตั้งเป้าหมายของสิ่งที่ต้องการเป็นความหลากหลายและมีสีสันที่ละลานตา จึงทำให้ใจปลิวว่อนตามสิ่งที่ตัวเองต้องการอยู่ร่ำไป
แต่เชื่อไหมว่า การตามหาสิ่งที่ไกลเกินในวิถี ที่ไม่ใช่ แทนที่จะรู้ว่าคุณค่าแท้จริงนั้นอยู่ที่ใด กลับเป็นว่ายิ่งตามหายิ่งว่างเปล่าจากคำตอบที่ต้องการ รังแต่จะเพิ่มความเหนื่อยล้าเพราะวิธีแสวงหานั้นไร้ความชัดเจน
แต่สำหรับคนที่ฉลาด จะตีกรอบชีวิตให้แคบลงแต่ชัดเจนในวิธีการค้นหาคุณค่ามอบให้ตัวเอง โดยรู้จักตั้งข้อสังเกตว่า ชีวิตนั้นมีกี่อย่าง มีอะไรบ้างที่ควรใช้เวลาให้น้อยที่สุดแต่คุ้มค่ากับการทำความเข้าใจ
คำตอบที่น่าจะใช่ในชีวิต มักจะมาบรรจบที่เรื่องของกายกับใจที่สอดคล้องกันเป็นสำคัญ ซึ่งดูเหมือนเป็นคำตอบให้เลือกที่น้อยนิด แต่ก็เพียงพอที่จะพบคุณค่าที่มาจากภายใน มิใช่เพียงเปลือกที่ห่อหุ้มแต่ไร้แก่นที่ควรจะได้เชยชม
การรู้จักสร้างกายและใจให้สมดุลต่อกัน ดูเผิน ๆ ช่างเป็นความลำบากที่จะประสานกันได้ แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่เพราะกายกับใจที่เกิดมาร่วมกัน เป็นสิ่งที่แยกออกจากกันเพียงรูปลักษณ์ของสมมติเท่านั้น
หากมีกายแต่ไร้จิตใจควบคุม กายที่มีอยู่ก็เป็นเพียงสิ่งที่เคลื่อนไหวแต่ไร้ความรู้สึก ส่วนจิตใจที่ไม่มีกายให้อาศัย ก็ไม่ต่างจากสิ่งที่ล่องลอยไปมา แต่ไม่สามารถสื่อสัมพันธ์กับสิ่งใดได้
การสร้างกายกับใจให้สอดคล้องกัน จึงเป็นเรื่องที่สามารถเชื่อมโยงให้เป็นหนึ่งเดียวได้ เป็นเส้นทางสายเดียวกันที่ชีวิตควรทำความเข้าใจ มิใช่มัวแต่หลงพะวงกับสิ่งที่ไร้ค่าแต่ถูกมองว่า จำเป็นเช่นอย่างอื่นที่ผ่านเข้ามา
เพราะเรามักจะคิดว่า ลาภ ยศ สรรเสริญ และความสุขแบบชาวโลกที่หลากหลาย คือ คำตอบที่ใครหลายคนต้องการเป็นภาวะสากลที่ทุกคนให้การชื่นชม ด้วยวิธีคิดเช่นนี้ เราจึงหลงประเด็นในการเลือกว่าจะให้ชีวิตของตัวเองก้าวไปอย่างไร
ทำให้การเลือกแต่ละครั้ง ตกอยู่ในภาวะที่ห่วงหน้าพะวงหลัง เพราะทุกเส้นทางที่เราปรุงแต่งขึ้นในจินตนาการล้วนสวยหรู และเป็นสิ่งที่คิดว่า จะช่วยเชิดชูตัวเราให้สูงขึ้น พร้อมกับนำไปสู่ความสุขที่น่าจะยั่งยืนต่อไป
ทางเดินที่ควรจะเหลือน้อยจึงถ่างกว้างออกไป แต่เป็นการถ่างกว้างแล้วทำให้เราหลงได้ง่ายขึ้น ทำให้การเดินทางต้องใช้เวลานานจนเกิดความจำเป็น กว่าจะถึงจุดหมายที่วางไว้เวลาของชีวิตก็เหลือน้อยเต็มทน
ดังนั้น เมื่อรู้จักเรียนรู้ชีวิตอย่างผู้มีปัญญา ก็ต้องรู้จักที่จะถามตัวเองเพิ่มขึ้นว่า จะให้ชีวิตนี้เป็นไปอย่างไร กำไรที่จะเพิ่มเป็นความงอกงามจึงจะเกิดมี มิใช่สักแต่ว่าเลือกทุกอย่างที่ขวางหน้า จนไม่สามารถแยกแยะได้ว่า อะไรสำคัญที่สุด และอะไรสำคัญรองลงมา
เพราะชีวิตไม่อาจเดินบนเส้นทางสองสายด้วยเวลาที่สั้นได้ แต่ชีวิตสามารถเลือกที่จะเดินบนเส้นทางที่มีคุณค่าได้ แม้ทางที่เดินอาจจะไม่หลากหลาย แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เราค้นพบสมบัติที่ซ่อนอยู่ในระหว่างทางและปลายทางที่ไปถึง
เราไม่อาจเดินบนเส้นทางสองสายในเวลาเดียวกันได้ เราจึงควรเลือกเส้นทางที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง เพราะหลงทางนั้นเสียเวลา แต่หลงคุณค่าที่จะเกิดมีสำหรับชีวิต เราจะเสียใจตลอดกาล
... "
ข้อเขียนนี้มีข้อคิดแอบซ่อนอยู่ ขึ้นอยู่กับว่า ท่านจะตีค่าอย่างไรเท่านั้น
ขอบคุณที่เพื่อน กัลยาณมิตร และผู้ผ่านทางแวะมาเยี่ยมเยือนบันทึกนี้
แลกเปลี่ยนเรียนรู้ได้นะครับ
บุญรักษา ทุกท่านครับ :)
สวัสดีครับ ท่านอาจารย์ Wasawat
เปรียบเทียบกับตัวผมเองแล้ว ผมมีเส้นทางอยู่สองเส้นครับ ระหว่างเส้นทางสายที่มีคุณค่าจริง กับเส้นทางสายที่มีคุณค่าเทียม
การเดินทางของผมก็สลับกันใช้ทั้งสองเส้นทางครับ
ตั้งใจว่าจะใช้เส้นทางสายที่มีคุณค่าจริง
แต่สายที่มีคุณค่าเทียม มันก็มีสิ่งเย้ายวนใจให้หลงทางไปบ่อยๆ
ตอนนี้ในแต่ละวันก็ต้องมาตรวจสอบตัวเองครับ ว่าวันนี้เดินไปทางใหนมากกว่ากัน
ส่วนใหญ่ก็มักจะเผลอไปสายคุณค่าเทียม
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ ท่าน ผอ.วิชชา small man
ขอบคุณครับ ที่แวะมาแลกเปลี่ยนกันครับ :)
สวัสดีครับ คุณ หมอเจ๊
ขอบคุณนะครับ คุณหมอ :)
สวัสดีค่ะ อาจารย์
เส้นทางของคนเรามีทางเดียวเสมอ ใครจะแยกทางเดินได้สองทางล่ะค่ะ นอกจากจะมีสองร่าง และจะเลือกเดินทางด้านมืดหรือด้านสว่าง
สหรับครูเอมีทางเดินทางเดียว แต่แวะเลี้ยว พักตามร่ายทาง เพื่อแสวงหาความสุข ชื่นชม กับธรรมชาติแวดล้อม ก่อนหน้านี้ก็เคยตั้งหน้าตั้งตาเดินๆๆก้มหน้าก้มตา มองหาแต่ทางเดินที่จะให้ถึงจุดหมาย แบกทุกอย่างไว้ วางลงไปไม่ได้ และพบว่าระหว่างทางฉันเครียด ไม่มีความสุข และกลายเป็นความทุกข์ ทุกข์เพราะตัวเองคิด ว่าเป็นทุกข์
ผมเข้ามาอ่านสองรอบครับ ขอซึมซับบันทึกดีๆนี้เต็มที่
จะขอเข้ามาอีกรอบครับพร้อมความคิดของผม- - -กับสิ่งที่ผมกำลังจะเลือก
แต่อยากบอกว่า "สุขที่จะได้เลือก" และ "สุขที่เป็นผู้ถูกเลือก"
ขอบคุณกัลยาณมิตรในโลกเสมือน เป็นกำลังใจที่ดีให้กันเสมอครับ :)
สวัสดีค่ะอาจารย์ Wasawat Deemarn
มีความสุขทุกครั้งที่แวะมา หอมกลิ่นหนังสือของอาจารย์ค่ะ
แอบติดตามอาจารย์มาตั้งแต่ปลายปีก่อนโน้นแล้ว อาศัยอยู่ในรั้วช้างกับอาจารย์ค่ะ แล้วก็มีทางเดินที่อยากเลือกพร้อม ๆ กันตั้งสามทางสี่ทาง โลภมากอยากให้ตัวเองมีความสุขพร้อมกัน ทุกทางเลือกในเวลาเดียวกันด้วยค่ะ
ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ไป สุริวงศ์บุ๊คเซ็นเตอร์ จะลดราคาหนังสือให้กับสมาชิก 20 % ถึงเมื่อไรคะ เป็นสมาชิกจนได้ต่ออายุฟรี แต่ใช้ไม่คุ้มกับที่เค้าให้เลยค่ะ
สวัสดีครับ อ. Wasawat Deemarnและ กัลยาณมิตรทุกท่านครับ
อ่านบันทึกนี้เสร็จเหมือนเรากำลังนั่งมองดู พระอาทิตย์กำลังทอแสงประกายที่ขอบฟ้า ใกล้รุ่งแล้ว แสงสีขลิบทองเปล่งประกาย ให้ความสว่างสดใส และอบอุ่น
นั่นหมายถึง การเห็นเส้นทางที่เราจะเดินต่อจากนี้ไป รวมถึงพลังความเชื่อมั่นที่มีอยู่เต็มเปี่ยม พร้อมแล้วสำหรับการเลือกเส้นทางของชีวิต เส้นนี้ที่เลือก
ผมตอบโจทย์ชีวิตของตัวเองเสมอเมื่อตระหนักว่า "เวลาที่เหลือน้อย" เราควรทำอะไรเพื่อให้เกิดคุณค่าให้กับสังคม ครอบครัวและตัวตน การเดินทางของผมจึงใช้ปัญญาในการชี้นำ และผมเชื่อว่าพลังความดีที่เราเพียรสะสมและสร้างขึ้นมาเรื่อยๆเป็นกุศลยิ่งใหญ่ให้เราพบพานสิ่งดีงามในชีวิต
เมื่อถึงทางแยก แน่นอนว่าใครก็ใครก็ต้องลังเล ทุกคนมีชุดความรู้อยู่ชุดหนึ่ง และเราต่างก็ใช้เหตุผลที่อ้างขึ้นมาจากการสังเคราะห์ชุดความรู้นั้นสนับสนุนสิ่งที่คิดพร้อมกับพลังปัญญาที่ช่วยตัดสินใจ หรือใช้อารมณ์ความพึงพอใจด้วยก็แล้วแต่วิถีคน
ผมตัดสินใจด้วยความเชื่อมั่น และเมื่อตัดสินใจแล้ว หน้าที่ต่อไปคือ การทำให้ดีที่สุด ทำให้สุดของความตั้งใจ เชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นดีเสมอ..เราเองต่างหากเป็นผู้ควบคุมประวัติศาสตร์นั้น
ผมเขียนถ้อยความนี้บ่อยๆว่า "เราเป็นคนสร้างประวัติศาสตร์" ดังนั้นมหากาพย์เรื่องยาวว่าด้วย "ชีวิต" เราทดลองมาด้วยตนเอง ผลึกผลที่ได้มาจากประวัติศาสตร์ที่เลือกแล้ว
"...ดังนั้น เมื่อรู้จักเรียนรู้ชีวิตอย่างผู้มีปัญญา ก็ต้องรู้จักที่จะถามตัวเองเพิ่มขึ้นว่า จะให้ชีวิตนี้เป็นไปอย่างไร กำไรที่จะเพิ่มเป็นความงอกงามจึงจะเกิดมี มิใช่สักแต่ว่าเลือกทุกอย่างที่ขวางหน้า จนไม่สามารถแยกแยะได้ว่า อะไรสำคัญที่สุด และอะไรสำคัญรองลงมา
เพราะชีวิตไม่อาจเดินบนเส้นทางสองสายด้วยเวลาที่สั้นได้ แต่ชีวิตสามารถเลือกที่จะเดินบนเส้นทางที่มีคุณค่าได้ แม้ทางที่เดินอาจจะไม่หลากหลาย แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เราค้นพบสมบัติที่ซ่อนอยู่ในระหว่างทางและปลายทางที่ไปถึง
เราไม่อาจเดินบนเส้นทางสองสายในเวลาเดียวกันได้ เราจึงควรเลือกเส้นทางที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง เพราะหลงทางนั้นเสียเวลา แต่หลงคุณค่าที่จะเกิดมีสำหรับชีวิต เราจะเสียใจตลอดกาล..."
ผมขอใช้ความรู้สึกของผมร้อยเรียงเชื่อมโยงบทบันทึกงามนี้ครับ
ขอบคุณมากครับสำหรับบันทึกและความรู้สึกดีๆที่มีให้กันตลอดเวลาครับ
:)
สวัสดีครับ คุณ ครูเอ
บุญรักษา ครับ :)
สวัสดีครับ คุณพี่ ดาวลูกไก่ ชื่นชมยินดี :)
ยินดีที่พี่ให้เกียรติเข้ามาสม่ำเสมอ แต่ไม่แสดงตัวนะครับ อิ อิ คราวหน้า ต้องแสดงนะ จะบอกให้ :)
สวัสดีครับ คุณเอก :)
บุญรักษา ครับ :)
แวะเข้ามาอ่านค่ะ อิอิ
ตัวอักษร...ล้วนมีเสน่ห์
ส่งกลิ่นอบอวลไปไกล...แสนไกล...
และคุณค่าของแต่ล่ะสิ่ง...อยู่ที่มุมมอง..
ของแต่ละคน จริงไหมค่ะ
เป็นกำลังใจให้คนเขียน...เขียนต่อนะค่ะ
อิอิอิ
สวัสดีค่ะอาจารย์
ได้แต่ร้อง อ้าว อ้าวว แล้วก็ อ้าววว อยู่ดัง ๆ ในใจ
เล่นซ่อนแอบกันอย่างนี้ ก็ไม่ได้แปะ โป้งกับอาจารย์สิคะ
ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวสวมวิญญาณนักสืบ สืบผ่านข้อ 3 4 5 6 7
เคยอยู่ ...
1. มหาวิทยาลัยที่มีต้นนนทรีเยอะ ๆ
2. โรงเรียนสอนคอมฯ เอกชน
3. ศูนย์คอมฯ มหาวิทยาลัยช้าง
4. คณะคุณหมอ มหาวิทยาลัยช้าง
5. ศูนย์กลยุทธ์ฯ มหาวิทยาลัยช้าง
6. คณะรักสัตว์ มหาวิทยาลัยช้าง
7. ห้องสมุดใหญ่ มหาวิทยาลัยสมเด็จย่า
ปัจจุบัน ...
ครูของครู ...มหาวิทยาลัยเก่าแก่แห่งหนึ่งในภาคเหนือ
ใบ้อีกนิด..สิคะ
สัญญาว่าจะตามกลิ่นหนังสือต่อไปค่ะ
สวัสดีครับ พี่ ดาวลูกไก่ ชื่นชมยินดี
ขอบคุณครับ พี่ ดาวลูกไก่ ชื่นชมยินดี ที่ร้อง อ้าว ๆๆๆ และ อ้าว อิ อิ
- yainob ตามเข้ามาขอบคุณที่นำทางสว่างและทางออกให้ค่ะ
- คงเป็นเพราะ .....(เติมกันเองนะ)....ที่ทำให้ได้เรียนสร้าง blog จากอาจารย์ Handy เมื่ออาทิตย์ที่แล้วและได้อ่านเรื่อง " สลดใจกับการศึกษาไทย ในมิติการพัฒนาครู-อาจารย์" ที่อาจารย์ Handy เล่าให้ฟัง ทำให้ได้คิดและเลือกที่จะเปลี่ยนแนวทางเดินชีวิตใหม่ ไม่เดินไปตาม road map ที่เคยวาดไว้ และยิ่งได้เข้ามาอ่าน "เราไม่อาจเดินบนเส้นทางสองสาย...ในเวลาเดียวกันได้" ยิ่งทำให้รู้ว่า อนาคต..จะไม่เสียใจกับสิ่งที่เลือกไว้ในวันนี้ เพราะมีคนนำทางแล้ว ไม่หลงทางแน่นอน
- ขอบคุณอีกครั้งค่ะ ผู้นำทาง
สวัสดีครับ อาจารย์ yainob
บุญรักษา ครับ :)
สวัสดีครับอาจารย์
ด้วยความชื่นชม อิอิ
อ่านบันทึกนี้เหมือนได้ทบทวนตัวเองคะ
เพราะสิ่งที่เคยเกิดและกำลังคิดอยู่ ก็เรื่องนี้คะ :)
อ่านบันทึกของอาจารย์แล้วรู้สึกมีกำลังใจ
ที่จะอะไรในชิวิตอีกมากมายค่ะ
ขอบคุณสำหรับบันทึกดีๆคะ
* ตามมาถูกทางเพราะอ่านบันทึกของอาจารย์ Handy
* อ่านบันทึกนี้แล้วทำให้เข้าใจชีวิตมากขึ้น
* อะไรที่ยังไม่ได้ทำก็จะรีบทำ
* ต้องขอบคุณมากนะคะสำหรับบันทึกดีดีที่นำมาให้อ่าน
สวัสดีครับ อาจารย์ Handy :)
ขอบคุณครับ :)
ขอบพระคุณ ท่าน ครูบา สุทธินันท์ ปรัชญพฤทธิ์ ที่ได้ให้เกียรติ ครับ .. :)
ด้วยความยินดีครับ น้อง มะปรางเปรี้ยว :)
ดีใจที่ข้อเขียนที่นำมาใส่ไว้มีประโยชน์
สวัสดีครับ คุณครูนฤมล hello_kitty
ขอบคุณครับ :)
สวัสดีครับ คุณครู ทิวาวรรณ จันทะรัด
ขอบคุณครับ :)
เป็นสมาชิกใหม่ยังไม่ค่อยเข้าใจวิธีการเขียนขออภัยด้วยถ้าผิดพลาด ถูกค่ะชีวิตมีสองทางให้เลือกเสมอไม่มีใครได้อะไรพร้อมกัน ขึ้นอยู่ว่าจะเลือกสิ่งใด สำหรับตัวเราตัดสินไม่ถูกว่าจะเลือกเส้นไหนจึงเป็นทุกข์ใจอยู่ตลอด มันเหมือนว่าตอนแรกเราวิ่งหนีเงาแต่พอเราตังหลักได้หันกลับมาเงามันวิ่งหนีเรา จึงรู้สึกว่าเหนื่อยมาตอนนี้ไม่รู้ว่าจะวิ่งหนีหรือหันหน้าสู้ ใครก็ได้ช่วยชี้แนะด้วยขอบคุณค่ะ
ถ้าไม่คิดสู้ ก็ต้องหนีตลอดชีวิตอ่ะครับ คุณ aamlug ;)
เลือกเดินเส้นทางที่คิดว่า มีความสุขที่สุดเถอะครับ
สวัสดีค่ะ ตอนนี้ขออยู่เฉยๆก่อนตั้งหลักให้หมั่นเพื่อที่จะก้าวออกไปโดยไม่ล้ม(สิ่งที่ล้มคือใจ)
ขอให้กำลังใจแล้วกันนะครับ คุณ aamlug ;)