จะมีสุขได้อย่างไร หากใจไม่ดีกว่าเดิม ... (ท่านชุติปัญโญ)


ความสุขจึงมิได้อยู่ที่ว่า เราแสวงหาวัตถุหรือเกียรติยศได้มากหรือน้อยเพียงใด จนหรือรวยต่างกันเพียงใด แต่ขึ้นอยู่ที่การฝึกใจให้รับรู้อารมณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรู้เท่าทันมากกว่า

ผมยังคงติดอกติดใจข้อเขียนของท่านชุติปัญโญอย่างไม่เสื่อมคลาย ...

หนังสือของท่านเล่มนี้ ชื่อ "จะยากอะไร ถ้าอยากให้ใจมีสุข" ...พิมพ์ครั้งที่ 4 แล้วครับ

 

ข้อเขียนนี้เป็นบทสุดท้ายในเล่มนี้

 

"จะมีสุขได้อย่างไร หากใจไม่ดีกว่าเดิม"

 

ผู้อ่านเคยตั้งข้อสงสัยไหมว่า ความสุขที่เราเรียกหาในชีวิตนี้มีความสมหวังกี่เรื่อง เรื่องใดที่ประทับใจไม่เคยลืมเลือน ? เรื่องใดที่คิดถึงคราใดจะร้องไห้ทุกที ? และเราเฝ้าถามหาความรู้สึกแบบใดมากกว่ากัน ?

เมื่อประมวลความรู้สึกที่เป็นความสุข และความทุกข์ที่เกิดขึ้นในใจของเรา คำตอบที่ได้มามักจะบรรจบลงที่ว่า "เราถวิลหาความรู้สึกที่เป็นสุขมากกว่าความทุกข์ แต่สิ่งที่เราจมอยู่กลับเป็นความทุกข์ที่ฝังอยู่ในความทรงจำ"

 

บางคนอาจจะปฏิเสธว่า ชีวิตของตนไม่ได้ทุกข์แต่อย่างใด ทว่าถ้ามองเข้าไปลึก ๆ แล้ว เราดำเนินชีวิตอยู่ท่ามกลางความทุกข์ที่เป็นปัญหาตลอดเวลา แต่เราเพิกเฉยต่อรายละเอียดที่มีจึงไม่รู้ว่าอะไรคือความทุกข์ที่ต้องเจอ

ยิ่งเราหวังในใจว่า เทคโนโลยีสมัยใหม่จะช่วยทำให้ความสุขเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม วิธีการค้นหาความสุขจึงแปลกตามากขึ้น จนเราเองก็ตกเป็นเหยื่อของความทุกข์ที่อ้างว่าเป็นสุขแทน

 

บางคนชอบเที่ยวกลางคืน เพราะคิดว่า ความสนุกที่ใฝ่หาจะเติมเต็มความรู้สึกที่ขาดหายไปได้

บางคนชอบร้องรำทำเพลง เพราะคิดว่า เสียงเพลงที่ขับกล่อมจะช่วยปลอบใจให้คลายเหงา

บางคนชอบแต่งตัวตามแฟชั่นสมัยใหม่ เพราะคิดว่าความไฉไลที่มีจะทำให้ชีวีมีสีสันจนกลบเกลื่อนความทุกข์ได้

บางคนชอบทำตัวแบบผู้ดีตีนแดง เพื่อพลิกแพลงความรู้สึกว่าตัวเองสมบูรณ์พร้อม เพื่อลดความเปล่ากลวงในความรู้สึกให้เหลือน้อยลง ฯลฯ

 

เมื่อมองชีวิตที่กำลังดำเนินไปของคนยุคใหม่ที่คิดว่า จะมีความสุขมากขึ้น แต่ทุกอย่างที่ได้มากลับฟ้องขนาดของความทุกข์ว่ามีความซับซ้อนมากกว่าคนยุคเก่าหลายเท่า เป็นความซับซ้อนทั้งวิธีการเสพและการแสวงหา

สิ่งที่น่าห่วงสำหรับชีวิตของเราที่ตามหาความสุขอย่างผู้ไม่รู้ก็คือ ความสุขจะราคาแพงขึ้น ความสุขจะต้องรอการเติมเต็มที่ยาวนาน โดยมีวัตถุเป็นตัวแปรมากกว่าเดิม

 

ทว่าความสุขในทางพระพุทธศาสนานั้น ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ไกลเกินเอื้อม กลับอยู่ใกล้ ๆ แค่ปลายจมูกของเรา เป็นความรู้สึกที่ไม่ต้องลงทุนแต่สามารถรับรู้ได้ โดยการค้นหาด้วยวิธีง่าย ๆ คือ "เริ่มจากใจ"

ความสุขเป็นภาวะที่ได้รับการตัดสินจากจิตใจเป็นหลัก เพราะถ้าจิตบอกว่า สิ่งที่สัมผัสนั้นทำให้เกิดความอึดอัดขัดเคือง กระวนกระวายต่ออารมณ์ที่เข้ามาในใจ ภาวะเช่นนี้ไม่ใช่ความสุขแต่อย่างใด

 

แต่สิ่งใดที่ผ่านเข้ามาในห้วงของความรู้สึก แล้วทำหน้าที่ประสานกายและใจให้ปลอดโปร่ง และต่อยอดเป็นความดีงามระหว่างตัวเราและผู้อื่นได้ด้วยความลงตัว ภาวะเช่นนี้จัดว่า เป็นความสุขที่ชีวิตใฝ่หา

ความสุขจึงมิได้อยู่ที่ว่า เราแสวงหาวัตถุหรือเกียรติยศได้มากหรือน้อยเพียงใด จนหรือรวยต่างกันเพียงใด แต่ขึ้นอยู่ที่การฝึกใจให้รับรู้อารมณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรู้เท่าทันมากกว่า

 

ขณะเดียวกันเราก็ไม่ปฏิเสธว่า การมีวัตถุหรือเกียรติยศไม่ใช่สิ่งที่ชาวโลกควรมี เพราะตราบใดที่ดำรงอยู่บนโลกใบนี้ การแสวงหาบนพื้นฐานของการดำเนินชีวิตก็ยังต้องมีอยู่ แต่นั่นก็ไม่ใช่ดัชนีที่ชี้วัดว่า คนที่ร่ำรวยจะมีความสุขมากกว่าสามัญชนธรรมดา

แต่หากมีใจรับรู้ภาวะที่เกิดขึ้นอย่างเท่าทัน เมื่ออารมณ์ร้ายผ่านเข้ามาก็รับรู้ และปรับให้อยู่ในจุดที่สมดุล โดยไม่เข้าไปยึดเกาะไว้จนอึดอัด แต่รับรู้ด้วยความรู้สึกที่เป็นกลาง ๆ เราย่อมสัมผัสกับความสุขได้ แม้จะไม่มีวัตถุอะไรเป็นหลักประกันก็ตาม

 

ทว่าหากผู้ใดมีวัตถุช่วยทำให้เราสบายกาย แล้วรู้จักต่อยอดความสุขในมิติของจิตใจให้เพิ่มขึ้นมากขึ้นกว่าเดิม เขาย่อมสามารถรับรู้ทั้งความสบายทางกาย และความสุขทางจิตวิญญาณได้ด้วยภาวะที่ลงตัว

แต่มีคนจำนวนน้อยยิ่งนัก ที่จะค้นพบศิลปะในการน้อมรับความสุขให้อยู่กับตัวเองนาน ๆ เพราะส่วนมากจะคิดถึงสิ่งที่ปรากฎในรูปแบบของความทุกข์มากกว่า ความสุขที่ควรจะได้สัมผัสจึงหลีกหนีไปจากใจ โดยไม่รู้ว่าจะหวนกลับคืนเมื่อไร

 

"จะมีสุขได้อย่างไร หากใจไม่ดีกว่าเดิม" จึงเป็นคำที่ช่วยกระตุ้นเตือนว่า เราสามารถปั้นแต่งความสุขให้กับชีวิตได้ทุกขณะจิต เว้นแต่ว่าเราจะยอมเปิดใจเพื่อเรียนรู้ และพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นหรือไม่

หากยอมรับที่จะฝึกใจของตัวเอง น้อมรับปัญหาที่มีเพื่อนำไปสู่การแก้ไข ใจที่มีความพร้อม ผนวกกับความยินยอมที่ต้องการผลักดันตัวเองให้ไปสู่ภาวะที่ดีกว่า ย่อมเป็นแรงขับให้ก้าวไปสู่ความสุขที่ยั่งยืนได้

 

แต่หากยอมรับที่จะจมอยู่กับจิตใจที่หดหู่ และเศร้าหมองกับอารมณ์ที่กดทับตัวเองให้มีแต่ความทุกข์ ใจที่อ่อนแอและความท้อแท้ที่มี ย่อมขุดหลุมฝังเราให้อยู่ในความทุกข์นั้นตราบชั่วนิรันดร์

 

ชีวิตจะมีความสุขได้อย่างไร หากว่าใจไม่ดีกว่าเดิม

 

 

ได้รับอะไรจากข้อเขียนนี้ไหมครับ ...

ขอให้ค้นพบความสุขและรู้จักตนเองมากขึ้นนะครับ

 

บุญรักษา ทุกท่าน ครับ :)

หมายเลขบันทึก: 171841เขียนเมื่อ 20 มีนาคม 2008 11:16 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 มิถุนายน 2012 11:08 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (16)
  • ดีจังเลยครับ
  • ความสุขเริ่มจากใจ
  • สงสัยต้องไปหาหนังสือเล่มนี้อ่าน
  • คงดีกว่าเรื่องแมว เป็นแน่แท้
  • อิอิๆๆๆ

สวัสดีคะ

ชอบประโยคนี้คะ

"... ที่จะค้นพบศิลปะในการน้อมรับความสุข..."

การค้นหาความสุขที่แท้

การอ่อนน้อม หรือ น้อม รับ ก็สำคัญยิ่ง

ขอบคุณคะ

สวัสดีครับ อาจารย์ขจิต

  • ขอบคุณอาจารย์ที่สามารถรับสารจากท่านชุติปัญโญได้จริง
  • ลองไปหาอ่านดูนะครับ อ่านแล้วใจจะสงบ
  • 555 ... อาจารย์ไม่รักแมวเหรอ อิ อิ

ขอบคุณครับ :)

สวัสดีครับ คุณ ดอกแก้ว  :)

  • ขอบคุณที่ให้เกียรติเข้ามารับสิ่งดี ๆ นะครับ
  • ประโยคนี้ "... ที่จะค้นพบศิลปะในการน้อมรับความสุข..." ... รู้สึกดีจังครับ
  • ขอให้สุขภาพแข็งแรง และมีลมหายใจเพื่อคนที่รักนะครับ

ขอบคุณนัก  ๆ ครับ :)

ะสุขหรืออทุกข์อยู่ที่ใจจริงๆค่ะ....

และ"......ที่จะค้นพบศิลปะในการน้อมรับความสุข...." เป็นประโยคที่ดีจงๆด้วยค่ะ.

[ แต่สำหรับศาสนาของหนูนั้นสอนให้เราพึงระลึกไว้เสมอค่ะว่า....มนุษย์ทุกคนนั้น....ย่อมถูกทดสอบทั้งในยามทุกข์และในยามสุขค่ะ....(แม้ในขณะที่มีความสุขก็อย่าหลงลืม.......และยิ่งเมื่อมีทุกข์ก็ยิ่งต้องระลึกถึง.........)

เมื่อเราได้สัมผัสกับความสุขก็อย่าลืมความทุกข์ที่ยืนรอคอยเราอย่างอดทน....

และเมื่อเราเจอกับความทุกข์ก็จงพึงระลึกไว้เถิดว่า....ความสุขก็กำลังจะเดินเข้ามาหาเรา....เมื่อทุกข์นั้นหมดไป.....]

  • ไม่กล้ารักแมวครับ
  • กลัวได้เป็นนายก(ยกขยะ)
  • ฮ่าๆๆ
  • แต่น้องแมว ไม่แน่นะ
  • ฮ่าๆๆๆ

สวัสดีครับ น้อง * ~Wardah~*

  • ข้อเขียนนี้เป็น "สัจธรรม" นะครับ หมายความว่า ไม่มีข้อจำกัดใด ๆ ทางด้านศาสนา เพียงแต่เราต้องยอมรับซึ่งกันและกัน ครับ
  • พวกเราทุกคนกำลังรอ "ความสุขก็กำลังจะเดินเข้ามาหาเรา....เมื่อทุกข์นั้นหมดไป " ... เนาะ
  • ขอให้มีความสุขในการทำงาน ครับ

ขอบคุณมาก :)

สวัสดีครับ อาจารย์ขจิต :)

  • อาจารย์มายืนยันแล้วนะครับว่า "รักน้องแมว" อิ อิ
  • นอกจากรักแมวแล้ว นายกฯ ยังชอบกับข้าวด้วยครับ คือ "ปิ้งแมว" หรือ เอาแมวเข้าไมโครเวฟ ... ครับ อิ อิ
  • แต่ที่เคยได้ยินนี่ มีคนเอากระดูกแมวไปต้มในน้ำซุปนะครับ เค้าอร่อย แต่ผมกินไม่ลง (เพราะชอบหมามากกว่า อิ อิ)

ขอบคุณครับ :)

สวัสดีค่ะ เจี้ยวเห็นด้วยนะคะ ใจต้องมาก่อน ความสุขหาได้ง่ายๆจากใจของเราเองค่ะ

ขอบคุณนะครับ คุณ เต้าเจี้ยว ต.ที่2 ทีมเลขา 3 ต.  ..

ว่าแต่แวะมาได้ยังไงครับเนี่ย อิ อิ

สุขอยู่ที่ใจ ใช่ที่อื่น :)

เห็นด้วยมากๆ ค่ะอาจารย์

ความสุขหรือไม่สุข ขึ้นอยู่กับเราทั้งนั้น

ขอบคุณนะคะ ^ ^

สวัสดีครับ อาจารย์ กมลวัลย์

  • ยินดีครับที่แวะมาเยี่ยมบันทึกธรรม ๆ นี้
  • ใจเราคือผู้บอกว่า ขณะจิตนี้ เราสุข หรือ เราทุกข์ ...
  • ปล่อยวาง ไม่ใช่หมายว่า วางทิ้ง ครับ
  • อิ อิ :)

ขอบคุณนะครับ :)

ขอบพระคุณมากครับอาจารย์

  • เป็นบันทึกที่มีคุณค่า อ่านแล้วโดนใจ หลายวรรคตอนครับ
  • ต้องยอมรับว่า ท่านชุติปัญโญ เฉียบ คม นุ่ม ลึก ยิ่งนัก
  • ท่านเจ้าของ Blog คิดอะไรอยู่ก็พอรู้ๆกัน
  • สิ่งที่นำเสนอด้วยศรัทธา เป็นเช่นไร ย่อมเป็นเครื่องฟ้องจิตใจของผู้นำเสนอ แลฯ
  • ตามมาจาก Comment ที่ท่านไปวางไว้ให้ ที่ บันทึกนี้  ของ yainob ครับ

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ Handy  ด้วยใจจริงครับ

และเข้าใจความนัยที่ผมต้องการนำเสนอ

ผมแค่ชอบอ่านหนังสือของท่านชุติปัญโญน่ะครับ ... มิได้ครึ่งหนึ่งของท่านชุติปัญโญเลย ...

แต่หากมีประโยชน์ต่อเพื่อนและกัลยาณมิตร ผมก็ขออนุโมทธาบุญให้ท่านผู้เขียนครับ :)

สั่งชื้อหน้งสือไปทางไยใหมบอกหมด สั่งชื้อจะยากอะไรถ้าอยากให้ใจมีสุข กับ หวังวันหนึ่งความสุขจะอยู่เคียงข้างเรา

หากหาหนังสือไม่ได้ อาจจะต้องเดินหาดูจากร้านหนังสือใหญ่ ๆ ดูนะครับ ;)

โชคดีครับ ;)

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท